ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 67 ช่วยฉันด้วยค่ะ ซิลวี่!!!
- Home
- All Mangas
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 67 ช่วยฉันด้วยค่ะ ซิลวี่!!!
มือของผมยืนเข้าไปหาเด็กสาวผมสีทองตรงหน้า ใกล้เข้าไปเรื่อย ๆ ดวงตาทั้งสองของเธอมองมาที่ผมอย่างสับสน ดูเหมือนเหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นคงทำให้เธอปรับตัวไม่ได้ แต่ไม่เป็นไร ผมสัญญาไว้แล้วว่าผมจะช่วยเธอเอง
“มาช่วยแล้วค่ะ ซิลวี่”
มือของเด็กสาวค่อย ๆ เลื่อนมาหามือของผมอย่างช้า ๆ ดวงตาของพวกเราทั้งสองคนสบเข้าหากัน แววตาของเธออดูเริ่มสั่นไหวมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่มือของพวกเราเข้าใกล้กันดวงตาสีฟ้านั่นก็ทอประกายมากขึ้นจนมันเริ่มดูใสกระจ่างราวกับท้องฟ้าแห่งแดนเหนือ
“จะเป็นภาระของพี่ออโรร่าจริง ๆ เหรอพี่ซิลเวีย”
“ถ้าจับมือนั้นไป มีแต่ทำให้พี่ออโรร่าเจ็บมากขึ้นนะ”
เสียงของเหล่าเด็กในบ้านของเอลดรานดังขึ้นมาราวเสียงที่สะท้อนไปมาทั่ว ๆ เงาสีดำทั้งหลายที่ปกคลุมเริ่มก่อรูปร่างกลายเป็นร่างเงาของเด็ก ๆ ที่ถูกคุณพ่อและไรน์จัดการไป หน้าตาของมันเรียกได้ว่าน่ากลัวมากเพราะแม้จะเป็นเด็กพวกนั้นแต่ก็บิดเบี้ยวไปมา รูปร่างไม่คงที่
ใจของผมแทบหล่นวูบ ความกลัวทั้งหลายต่อสิ่งประหลาดเหล่านี้ทำเอาขาของผมเริ่มสั่น หัวใจเริ่มเต้นถี่รัว แต่เมื่อคิดถึงคำพูดของทั้งคุณพ่อและไรน์มันก็ทำให้ผมพยายามที่จะฝืนใจและยังคงยื่นมือของตัวเองและยิ้มให้กับเด็กสาวตรงหน้าต่อไป
กับความทรมานของซิลวี่จากชะตากรรมน่ะ พวกแกมันก็แค่ของเด็กเล่นเท่านั้น
“ไม่นะ ไม่ใช่..”
“ไม่ใช่อะไรกันล่ะพี่ซิลเวีย คว้ามือของพี่ออโรร่าแล้วจะทำอะไรต่อเหรอ จะให้ท่านปกป้องหรือบาดเจ็บต่อไปงั้นเหรอ”
“ดูสิ นี่เพราะพี่หายตัวไปพี่ออโรร่าที่เป็นนักบุญเลยต้องสละพลังจนแทบล้มเพื่อแบกภาระที่พี่หายไปคนเดียวเลยนะ”
“ตัวถ่วง ตัวถ่วง”
“เงียบนะคะ เหล่าวิญญาณร้ายทั้งหลาย!!”
หุบปากไปเลยนะไอ้พวกผีเด็กเปรต!!!
ผมตะโกนใส่เจ้าพวกผีด้านหลัง พวกมันจงใจที่จะทำให้ซิลวี่สับสน แน่นอนว่ามันได้ผลมากเพราะตัวซิลวี่นั้นยังไม่รู้ว่าพวกเด็กที่เธอรู้จักมานานต่างเป็นปีศาจของเอลดราน หรือจริง ๆ แล้วที่เอลดรานสร้างปีศาจพวกนี้มาก็เพื่อรอมาใช้ปั่นหัวซิลวี่ในเวลานี้ก็ได้
“นั่นสินะ… ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ค่ะท่านออโรร่า”
มือที่อีเพียงแค่นิดเดียวก็จะคว้าไว้ได้เริ่มถอยห่างออกไป ดวงตาสีฟ้าเริ่มหม่นลงรอยยิ้มแปรเปลี่ยนจากความยินดีกลายเป็นรอยยิ้มที่แสนดูถูกตนเอง
“ฉันน่ะคงเป็นได้แค่ภาระจริง ๆ นั่นล่ะค่ะ”
“ใช่แล้ว เป็นแค่ภาระ ๆ”
เสียงของเหล่าเด็กน้อยทั้งหลายต่างพยายามตอกย้ำคำดูถูกตัวเองของซิลวี่เรื่อย ๆ ยิ่งทำให้ดวงตาที่หมองอยู่แล้วนั่นดำดิ่งลงไปในความสิ้นหวังมากกว่าเดิม รอยยิ้มของเธอนั้นดูแทบไร้อารมณ์
“นั่นสินะคะ ทั้ง ๆ ที่ท่านออโรร่าเชื่อมั่นในตัวฉันขนาดนั้น ทว่าแม้แต่ความกล้าที่จะคว้าไว้ยังไม่มีไหนยังทำให้ท่านออโรร่าต้องมาใช้พลังอันมากมายจนเกือบเป็นอันตรายอีก”
ท่าทางภาพของสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นคงถูกส่งให้ซิลวี่เห็นแน่นอน ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของมณีหรือเจ้าเอลดรานแต่ไม่ว่าจะใครมันก็น่าหงุดหงิดและต่อยหน้าสักครั้งจริง ๆ
“เรื่องนั้นน่ะ อย่าคิดมากเลยน่ะคะ ไม่เห็นเหรอคะว่าตอนนี้น่ะฉันสบายดีขนาดไหน”
ผมพยายามยกแขนขึ้นเพื่อแสดงให้เธอเห็นว่าตัวเองนั้นแข็งแรงเพียงใด ไม่ใช่แค่นั้น ยังสงรอยยิ้มที่สามารถเยียวทุกสิ่งได้อย่างรอยยิ้มของออโรร่าน้อยไปให้ด้วยต่างหาก
“ดูสิคะ ไม่มีแม้แต่บาดแผลเลยจริงไหม”
“แต่ความจริงที่ว่าฉันวิ่งหนีท่านออโรร่า.. หนีคนทที่แสนสำคัญของฉันมานั้นยังไม่เปลี่ยนแปลงไป”
ความคิดและคำพูดแง่ลบจำนวนมากได้ถูกแผ่ออกมาจากเด็กสาวผมสีทอง ดูท่าว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันจะหนักหนาสาหัสกับเธอเกินไปสินะ ซิลวี่
“เพราะงั้นท่านออโรร่าไปเถอะค่ะ ด้วยพลังของท่านออโรร่าแล้ว ไม่ว่าสิ่งใดก็สามารถจัดการได้ ให้ฉันไปด้วยมีแต่เป็นตัวถ่วง… ไม่สิ มีแต่ทำให้ท่านออโรร่าเจ็บปวดเปล่า ๆ”
น้ำเสียงของซิลวี่เริ่มเบาลงเรื่อย ๆ มันแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดมากมาย เธอค่อย ๆ ก้มหน้าของตัวเองต่ำลงเพื่อหลบสายตาของผม
“ถูกต้องแล้วพี่ซิลเวีย ออกไปจากที่นี่ก็มีแต่ทำให้คนอื่นเจ็บปวด มาอยู่กับพวกเราที่นี่ต่อเถอะ”
“ใช่แล้ว ๆ อยู่ที่นี่พี่ไม่เจ็บปวด พี่ออโรร่าไม่เจ็บปวด ไม่มีใครต้องเจ็บปวด เป็นทางออกที่ดีไม่ใช่เหรอ”
ดีกับผีน่ะสิ เจ้าพวกผีเด็กตายยาก!! อย่ามาปั่นหัวเพื่อนรักของผมนะ!!
“อย่าไปฟังเจ้าพวกนั้นนะคะ สำหรับฉันแล้วซิลวี่น่ะไม่เคยเป็นตัวถ่วง ไม่เคยเป็นสักครั้งเดียว คุณน่ะแข็งแกร่ง แข็งแกร่งมากกว่าใคร ๆ หรือแม้แต่ฉันเอง”
ซิลเวียเงยหน้าขึ้นมามอง ดวงตาของเธอนั้นเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาที่ไหลลงอาบแก้มเล็ก ๆ ทั้งสอง ดวงตาของเธอสั่นไหวและเปราะบางยิ่งกว่าแก้วที่หากมีอะไรไปกระเทือน มันก็พร้อมที่จะแตกสลายได้ตลอดเวลา
“ไม่ค่ะ…. ฉันน่ะไม่ได้เป็นแบบที่ท่านออโรร่าคิด ตั้งแต่เด็กแล้วฉันน่ะไม่เคยทำอะไรสำเร็จสักอย่าง ไม่ว่าจะทางดาบหรือเวทมนต์ ไหนยังถูกปีศาจหลอกลวงจนเกิดเรื่องวุ่นวายมากมายอีก ฉันน่ะคือความล้มเหลวอย่างแท้จริง”
“ไม่ใช่ ซิลวี่น่ะไม่ใช่แบบนั้นเลย แม้จะรู้จักกันไม่นานแต่ผมรู้นะว่าเธอน่ะพยายามมากกว่าใคร ๆ ทั้งมือที่จับดาบไม่เคยปล่อย หรือกระทั่งจิตใจอันแข็งแกร่งซึ่งพยายามช่วยผมอยู่ตลอดก็ด้วย ตอนที่ซิลวี่ออกมาพูดเพื่อช่วยเหลือผมน่ะเท่มากเลยนะรู้ไหม”
ถึงแม้จะเกิดเรื่องวุ่นวายมากมายตามมาหลังจากความเข้าใจผิดเหล่านั้น แต่สุดท้ายการที่เธอพยายามที่จะก้าวออกมาพูดกับพ่อของตัวเองเพื่อช่วยผมนั้นมันช่างราวกับวีรบุรุษในนิทานไม่มีผิด คนที่อ่อนแอน่ะไม่มีวันกล้าที่จะทำอะไรแบบนั้นแน่นอน
“เรื่องนั้นไม่ว่าใครหากเพื่อท่านออโรร่าล่ะก็ ต้องทำเหมือนกันหมดนั่นล่ะค่ะ”
“แต่ตอนนั้นคนที่พูดมันก็คือซิลวี่ไม่ใช่เหรอ แค่นั้นมันก็เพียงพอที่จะบอกถึงความกล้าที่มีออยู่ในตัวซิลวี่แล้ว”
ไม่รอช้าผมใช้มือทั้งสองข้างคว้ามือเล็ก ๆ ที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมา ความรู้สึกอันอบอุ่นได้แผ่ออกมาจากมือของเธอ ร่างเล็ก ๆ นั่นสะดุ้งขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะมองมาที่ผมอย่างสับสน
“ท่านออโรร่า…?”
“ซิลวี่น่ะไม่ได้ไร้พลังหรอกนะ ความจริงนั้นผมรู้แล้วล่ะว่าตลอดมาซิลวี่ถูกซิลฟอร์เทียใช้เพื่อปกป้องเมืองแห่งนี้มาตลอด”
“คะ?”
เธอดูตกใจกับคำพูดของผม สีหน้านั่นเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ผมไม่รอช้าใช้พลังของตัวเองถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้น ช่วงเหตุการณ์ของผมกับซิลฟอร์เทียให้กับเธอ นั่นทำให้เธอยิ่งสับสนกว่าเดิม
“ซิลฟอร์เทียน่ะเหรอคะ นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“นี่น่ะคือสิ่งที่พิสูจน์ความแข็งแกร่งของซิลวี่ ดูสิคะ ตัวฉันที่เพียงแค่ครั้งเดียวก็ถึงกับยืนไม่ได้ แต่ซิลวี่น่ะ ทนกับสิ่งนี้มาตลอดหลายปี ทนปกป้องคนอื่นมาตลอด ทั้งแบบนั้นซิลวี่ก็ยังลุกขึ้นสู้ต่อไปได้โดยไม่ยอมแพ้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่พิสูจย์เหรอคะว่าซิลวี่น่ะแข็งแกร่ง”
“ท่านออโรร่า….”
“เรียกอัลสิคะ! พวกเราน่ะคือเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ”
!!
สีหน้าของเธอดูตื่นตระหนก ความสับสนมากมายเริ่มถาโถมเข้าสู่ร่างเล็ก ๆ ของซิลวี่ และเหมือนเจ้าของสถานที่แห่งนี้จะรู้ดีถึงความเปลี่ยนแปลงที่ผมกำลังสร้างขึ้นทำให้บรรยากาศรอบ ๆ เริ่มที่จะสั่นสะเทือน
“ไม่พี่ซิลเวีย พี่อย่าไปเชื่อยัยนี่ มันโกหก มันกำลังจะทำให้พี่ไปพบกับความทุกข์”
“ใช่แล้ว พี่น่ะเคยทำอะไรได้บ้าง เป็นเพียงแค่เครื่องมือที่มีไว้ใช้งาน เธอตรงหน้าก็คงคิดหลอกใช้พี่แบบคนอื่น ๆ นั่นล่ะ”
พวกผีเด็กพวกนี้นมันคงยังไม่ยอมแพ้ แต่เรื่องนั้นใครสนกัน ผมที่กำมือของซิลวี่แน่นได้เร่งพลังของตัวเองเพื่อขับไล่พวกมันออกไป ยามที่แสงเหล่านั้นต้องเข้ากับวิญญาณร้าย พวกมันกรีดร้องอย่างทรมานจนพูดออกมาไม่เป็นภาษา
“จะเชื่อคนที่เอาแต่บอกว่าคุณไม่มีวันทำได้ หรือจะเชื่อฉันที่เชื่อมั่นในตัวคุณกันล่ะคะ ซิลวี่”
“เรื่องนั้น….”
“ถ้างั้นฉันจะพูดแล้วกันนะคะ… ซิลวี่ ช่วยฉันด้วยค่ะ”
“คะ…ท่านออโรร่า?”
“เอลดรานและยังไพรินนั่น ตัวฉันน่ะสู้คนเดียวไม่ไหวหรอกค่ะ ฉันตอนนี้ที่พลังปั่นป่วนจนใช้อะไรอื่นไม่ได้นอกจากการถ่วงเวลาเท่านั้น เป็นเพียงแค่เด็กสาวไร้พลังคนหนึ่ง”
“ไม่จริงหรอกค่ะ ท่านออโรร่าน่ะยังสู้อยู่ไม่ใช่เหรอคะ”
“แต่ก็สู้ด้วยตัวคนเดียวไม่ได้หรอกค่ะ นักบุญน่ะทำได้แค่ช่วยเหลือผู้อื่นเท่านั้นแต่ว่าผู้ที่จะสังหารปีศาจได้นั้นมีเพียงแค่อัศวิน มีแค่ฮีโร่เท่านั้นค่ะ”
“ฮีโร่?”
“ผู้ที่ลุกขึ้นสู้ในช่วงเวลาที่คนอื่นเลือกที่จะถอย ผู้ที่เอาชนะใจของตัวเองได้แม้ยามที่มืดมน ไม่ว่าอุปสรรคจะมากมายแค่ไหนก็ยังเลือกที่จะสู้ต่อไป… นั่นล่ะคือซิลวี่ค่ะ”
ผมกล่าวออกมา โดยสิ่งนี้คือสิ่งที่ออกมาจากใจของผมอย่างไม่แสรแสร้ง ผมรู้สึกเช่นนั้นกับเด็กน้อยคนนี้ที่พยายามสู้เลือดตาแทบกระเด็นกับสารพัดสิ่งโชคร้ายในชีวิตของเธอ ผมกำมือเล็ก ๆ นั่นแน่น
“เพราะฉะนั้น ช่วยฉันด้วยค่ะซิลวี่”
แย่แล้วออโรร่า รีบออกมาข้างนอกก่อนเร็ว เจ้านั่นมันรู้แล้วว่าเธอกำลังจะช่วยยัยหนูนั่นอยู่น่ะ!!
เสียงของราสที่ดังขึ้นและมิติที่สั่นสะเทือนทำเอาการเชื่อมต่อของผมและซิลวี่เริ่มขาดออกจากกัน มือของพวกเราเริ่มไม่รู้สึก ภาพต่าง ๆ เริ่มจางหาย แม้ผมจะพยายามจับมือเล็ก ๆ นั่นแน่นเพียงใดมันก็ยังเริ่มที่จะหลุดออกไป เพราะฉะนั้น….
“ช่วยหน่อยนะคะ… ฮีโร่ของฉัน”
และตอนนั้นเองที่ทุกอย่างตัดออกไป พร้อมกับความหนาวเย็นที่สะเทือนแผ่ไปทั่ว เสียงหนึ่งที่ดังใกล้เข้ามาทำให้ผมรีบโยกตัวหลบอย่างรวดเร็วไปตามสัญชาตญาณ
ฉับ
ดาบแหลมคมถูกวาดลงมาจนเฉี่ยวผมไป ยังดีที่ราสได้เรียกเอาไว้ ทำให้สิ่งที่ขาดไปมีเพียงปลายผมบางเส้นก็เท่านั้น
“แฮก ๆ แกคิดว่าแกกจะทำสำเร็จงั้นเหรอยัยหนู ไม่มีวัน ไม่มีวันที่แกจะทำลายความแค้นหลายร้อยปีของข้าได้”
“เหนื่อยน่าดูเลยนะคะ”
ผมมองงเลอดรานที่ตอนนี้กำลังยืนหอบเหนื่อยจ้องผมด้วยแววตาอาฆาตสุดลึกล้ำ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวมากกว่าเดิม มือที่เคยกำดาบแน่นก็เริ่มจับอย่างไร้เรี่ยวแรง ดูท่าราสน่าจะล่อให้มันดึงพลังออกไปเยอะน่าดู
“คิดว่าจะหลอกข้าได้ง่ายงั้นเหรอ แฮก ๆ ก็สมแล้วที่เป็นสาวกของพระเจ้าผู้ชั่วช้านั่น”
“ดูเหมือนคุณจะคุมไพลินไม่ได้อีกต่อไปสินะคะ”
ไพรินในมือของมันแม้จะมีสีหมองหม่นแต่ครั้งนี้แม้จะเข้าใกล้ผมขนาดนี้ก็ไม่ได้ใช้พลังใด ๆ เลยแม้แต่น้อย ไม่สิบางทีอาจจะเป็นเพราะ…
ผมเหลือบตามองไปที่ซิลวี่ซึ่งบัดนี้ร่างกายของเธอไม่ได้เรืองแสงอีกต่อไป ทั้งวงแวทมากมายที่ล้อมรอบตัวเธอก็มอดดับลงไป
“ใช้มันไม่ได้แล้วสินะคะ พลังของพระเจ้าน่ะ”
“หึ ขอแค่จัดการแกได้ ยัยนี่ก็จะสิ้นหวังอีกครั้งและตอนนั้นข้าก็จะพิธีใหม่ก็ไม่สาย แม้จะไร้พลังแห่งเวลาแต่ข้าคือวอร์สเธน ปีศาจแห่งเหมันต์เจ้าไม่มีวันสู้ข้าได้หรอก”
มันเริ่มร่ายรำดาบอีกครั้งหนึ่ง ท่าดาบที่รวดเร็วยิ่งกว่าครั้งตอนมันแสร้งตัวเองเป็นเอลดราน ไม่ใช่แค่นั้น ทุกการฟาดฟันต่างตามมาด้วยพลังเวทมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นคลื่นความเย็นหรือน้ำแข็งขนาดยักษ์
“ขอพระเจ้าทรงชี้นำคมดาบแห่งข้า เพื่อปกป้องข้าจากปีศาจอันชั่วช้า ดาบของข้าคือดาบของพระองค์ ด้วยแมตตาแห่งท่านอันตรายใด ๆ ก็จักไม่มาถึงตัวข้า”
ตอนนั้นเองที่มือของผมมันขยับขึ้นมาปัดป้องดาบของวอร์สเธนออกไป ไม่ว่าเขาจะวาดดาบมาเร็วขนาดไหน มือของผมก็เคลื่อนไปปัดมันได้อย่างทันท่วงที
“นี่มัน…. พรแห่งวิถีดาบ”
“รู้จักด้วยสินะคะ”
ไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่ผมก็แค่ขอร้อง ขอร้องให้พระเจ้าช่วยให้ผมสามารถรับดาบของเจ้านี่ได้เท่านั้น ดูเหมือนสิ่งที่เขาให้มาจะเป็นพรที่ทำให้ผมสามารถปัดป้องดาบได้อัติโนมัติสินะ ว่าง ๆ ต้องไปขอบคุณแล้วสิ
มันกำมืออย่างโกรธแค้น ทันทีที่รู้ว่าผมได้ใช้พรอะไรไป ท่าทางน่าจะมีความทรงจำกับพรนี่น่าดูสินะ
“ทำไม ๆ ทำไมถึงต้องนำเวลาแห่งความอับอายกลับมาหาข้าอีกครั้งด้วย เจ้าคนชั่วช้า.. แค้น ข้าแค้นพวกเจ้า ตายซะ ตายไปซะให้หมด!!”
วอร์สเธนที่สติแตกไป ได้ถล่มฟันดาบรัว ๆ เข้าใส่ผม ทุกครั้งมันก็ถูกดาบในมือของผมรับได้อย่างทันท่วงที ทว่าแม้จะรับดาบนั่นได้ แต่คลื่นไอเย็นนั่นก็ยากที่จะสามารถป้องกันด้วยพลังปัจจุบันของผมเอง พร้อมกันแรงที่มีอยู่ก็เริ่มเหมือนถูกดาบในมือดูดกลืนไป
ท่าทางจะมาถึงขีดจำกัดแล้วสินะ
แม้ความเร็วและปฏิกิริยาตอบสนองจะได้มาจนเหนือมนุษย์ แต่ร่างกายก็ยังเป็นมนุษย์ เป็นเด็กสาวธรรมดา ไม่มีทางที่จะสามารถรับแรงของจอมอสูรได้ จนตอนนั้นเองที่มืออันไร้เรี่ยวแรงได้อ่อนลงจนดาบของจอมปีศาจผ่านการป้องกันเข้ามาได้
ฉึบ ดาบที่เย็นยะเยือกได้บาดเข้ากับผิวหนังที่หน้าจนความเย็นเหล่านั้นมันบาดลึกเข้าไปจนรู้สึกแสบแม้จะเป็นแผลเล็ก ๆ ที่เรียกได้ว่าเฉี่ยวแต่ความรู้สึกเจ็บปวดที่ได้รับมันก็หนักเอาการ
ร่างกายที่แบกรับพรทรงพลังและภาระจากการป้องกันเริ่มส่งเสียงประท้วง ขาที่สั่นจนไร้เรี่ยวแรง แขนที่หนักอึ้งจนราวกับไม่ใช่แขนของตัวเอง
ดูท่าจะมาถึงขีดจำกัดแล้วสินะ…
“ฮ่า ๆ สุดท้ายชัยชนะก็เข้าข้างข้าสินะ”
ปีศาจร้ายหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง มันค่อย ๆ ย่างเท้าสามขุมเข้ามาหาผม มือนั่นกำดาบแน่นรอยยิ้มได้แสยะออกราวกับยินดีในเหยื่อที่กำลังจะสังเวยให้กับมัน
“ด้วยชีวิตของเจ้า ด้วยพลังมหาศาลที่เจ้ามี ครั้งนี้แหละกลอริเอล ไม่สิ เรสเวนทั้งหมดจะต้องพินาต!!!”
ดาบของมันง้างเข้าใส่หวังจะตัดคอของผม ตอนนั้นเองผมได้หันไปมองด้านหลังก่อนที่จะตะโกนออกมา
“ช่วยฉันด้วยค่ะ ซิลวี่!!!!”
พริบตานั้นเองที่แสงสีฟ้าสองเส้นได้ระเบิดออกมา ทิศทางหนึ่งคือจากเมืองกลอริเอล อีกทิศหนึ่งคือร่างของซิลวี่ที่อยู่ด้านหลัง และมันตามมาด้วยสัมผัสของความเย็น แต่เป็นความเย็นที่แตกต่างจากวอร์สเธอ มันคือความเย็นสบายที่ยามสัมผัสก็ทำเอาใจที่ว้าวุ่นสงบลง
แกร๊ง
เสียงโลหะกระแทกกันจนส่งเสียงดังกังวาน แรงกระแทกมหาศาลได้ทำเอาบรรยากาศรอบ ๆ สั่นไหวอย่างหนักจนราวกับอากาศกำลังถูกฉีกกระชากออก
ที่ตรงนั้นเองคือร่างของหญิงสาวอันแสนคุ้นตา ตอนนี้เธอนั้นยืนยกดาบที่ใสกระจ่างดั่งคริสตัลรับเข้ากับดาบของจอมปีศาจ แสงสีฟ้ากระจ่างใสกำลังเข้าปะทะกับแสงสีน้ำเงินหม่นอันชั่วช้า ไอเย็นของสองพลังต่างดันสู้กันไปมาไม่มีหยุด
แววตาของเธอที่สับสนตอนนี้ได้กระจ่างชัดเต็มไปด้วยความมั่นใจ ร่างกายที่สั่นเทา บัดนี้ได้ยืนสงบนิ่ง องอาจและยิ่งใหญ่
ผมสีทองที่งดงามดุจราวทองคำตอนนี้แปรเปลี่ยนกลายเป็นสีฟ้าอันงดงามดุจท้องฟ้าแห่งแดนเหมันต์ มันได้ทอแสงออกมาสอดรับกับพลังแห่งซิลฟอร์เทีย
รอยยิ้มที่เคยหายไปจากหน้าของเธอ ตอนนี้ได้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง และมากกว่านั้นมันเป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ความแข็งแกร่งดุจผู้พิทักษ์แห่งสวรรค์
“มาช่วยแล้วค่ะ อัล”
เป็นพระเอกได้แปปเเดียว สลับบทบาทแล้วซะงั้น แต่เอาเถอะ มอบบทหล่อให้คนอื่นบ้่างเดียวชาวบ้านเขาจะหาว่าไรท์ลำเอียง