ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 61 ราสเวน แสงแห่งความหวัง
- Home
- All Mangas
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 61 ราสเวน แสงแห่งความหวัง
ผมรีบวิ่งผ่านประตูทางออกที่เปิดเอาไว้ ตาก็แอบเหลือบมองเจ้าคนใส่หน้ากากที่ใจเย็นรอคอยให้ผมเดินผ่านไปอย่างง่ายดาย ผิดกับคุณพ่อและไรน์ที่ก้าวเท้าขยับเพียงนิดเดียว เวทจำนวนมหาศาลก็ถล่มเข้าใส่ทันที
ทันทีที่แยกออกไปเสียงดังกัมปนาทดังขึ้นมาจากข้างหลังบ่งบอกถึงการต่อสู้อันดุเดือดของทั้งสามคนได้เริ่มต้นขึ้นเป็นที่เรียบร้อย
‘แล้วคิดเหรอยังว่าจะทำอย่างไรต่อ จริงอยู่ว่าพลังในตัวเจ้าเริ่มกลับมาเสถียรอีกครั้งแต่ถึงแบบนั้นเจ้ายังต้องรับมือกับพวกคนเถื่อนพวกนั้นอยู่นะ’
นั่นสินะ เรื่องนั้นก็น่ากังวลจริงนั่นล่ะแต่ไม่ต้องห่วงหรอกผมว่าผมมีทางแน่นอน ตอนที่ได้ฟังคำพูดของไรน์มันก็ทำให้ผมเริ่มนึกได้น่ะ
‘เรื่องไหนล่ะ ความหวัง ความกลัว หรือว่ามิตรภาพ’
ก็ทั้งหมดนั่นล่ะ ผมเริ่มพอเข้าใจแล้วว่าตัวเองต้องทำอะไร เพราะฉะนั้น นายเองก็เป็นกำลังให้ผมด้วยนะ ราส
‘หึ ไว้ใจอสูรในตำนานผู้นี้ได้เลย’
ตรงหน้าของผม เมื่อมองไกลออกไปที่สุดขอบปลายสายตานั้นมีเส้นสีดำขนาดใหญ่ พวกมันไม่ใช่ปีศาจสีดำแบบที่เจอในเมืองแต่คือเหล่าคนเถื่อนทั้งหลายที่กำลังโห่ร้องอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาแต่ละคนแต่งกายด้วยชุดหนังสัตว์บ้าง มีสีแดงของเลือดป้ายอยู่ตามตัวบ้าง
ธงที่บอกสะบัดไปมานั้นถูกทำมาจากหนังสัตว์หยาบ ๆ ที่กลางนั่นถูกประทับด้วยสีแดงเป็นสามเหลี่ยมวงรอบด้วยวงเวทอย่างหยาบ ๆ อันเป็นสัญลักษณ์ของเหล่าผู้บูชาในปีศาจ
หากจำไม่ผิด ลัทธิเหล่านี้มีมานานแล้วแม้จอมมารจะถูกกำราบไปก็ยังมีคนบูชาเพื่อขอพลังจากเหล่าปีศาจเหมือนเดิม ส่วนใหญ่จะอยู่ทางตอนเหนือของทวีปด้วยที่ดินแดนเหล่านั้นอยู่ชิดกับดินแดนของปีศาจในอดีต
เอาล่ะถึงจะมีความคิดบ้างแต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะสำเร็จไหม… ราสนายพอมีหนทางสู้กับพวกเขาได้ไหม ไม่ต้องเอาถึงตายแต่ให้เห็นว่าตัวของนายแล้วรู้สึกสู้ไม่ได้ก็พอ
‘คำถามประหลาด ถ้าจะเอาแบบนั้นก็มีแต่ต้องใช้พลังทางกายภาพหรือไม่ก็เวทมนตร์ปราบเอา ตอนนี้ข้ายังอยู่ในร่างอสูรมนตรายังใช้พลังเองไม่ได้ ที่สนับสนุนเจ้าได้มีแต่ความรู้เท่านั้น’
แย่เลย อย่างน้อยท่านายสามารถเปลี่ยนร่างออกมาเป็นนกตัวใหญ่ ๆ ไฟลุกท่วมได้เรื่องมันคงจะง่ายกว่านั้นเยอะ
‘ไอ้ได้มันก็พอได้นะเรื่องนั้น’
หือ จริงเหรอ
‘แต่ออกมาแค่ร่างนะ แถมร่างนี่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากแสดงตัว ขนาดจับต้องตัวยังไม่ได้เลย เพราะงั้นจะเรียกว่าร่างก็ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ’
หืมมมม น่าเสียดายจังเลย นี่ถ้าเกิดอย่างน้อยเจ้าราสสามารถเรียกไฟยิงใส่ได้สักหน่อยคงทำให้เรื่องมันง่ายขึ้นเยอะนี่อย่าว่าช่วยสู้เลย เอาเป็นโล่ให้ ธนูยิงมาคงทะลุโดนผมหมด
‘ปากเสียจริง ๆ เจ้ามองข้าเป็นอะไรกันแน่เนี่ย’
สัตว์อสูรผู้น่าเคารพที่ไม่ว่าอันตรายอะไรก็ทะลุผ่านไง… เดี๋ยวนะ..อ่ออออออ
นินทาเจ้าราสในหัวอยู่ชั่วครู่ จู่ ๆ คำบางอย่างก็วิ่งผ่านหัวของผมจนเกิดเป็นความคิดบางอย่างขึ้น มันเป็นความคิดที่ทำเอาผมเผลอแสยะยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย
แบบนี้ก็ได้นี่นา!!!!
‘เอาล่ะ จะให้สอนเวทสายจู่โจมตอนนี้คงไม่ทันเพราะฉะนั้นคงมีแต่ต้องพึ่งพลังศักดิ์สิทธิ์แล้วล่ะแต่ก็หวังพลังทำลายจากมันมากไม่ได้หรอกนะ… หือ นั่นเจ้ายิ้มอะไรของเจ้าน่ะ’
ไม่ราส ไม่ต้องสอนใช้เวทศักดิ์สิทธิ์สำหรับการต่อสู้หรอก ผมมีวิธีใช้งานมันให้เหมาะกับสถานการณ์ในตอนนี้แล้วล่ะ
‘ว่าไงนะ?’
เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง ตอนนี้คิดว่าพลังที่มีอยู่น่าจะพอทำได้ ก็หวังพึ่งแต่นายแล้วล่ะนะว่าจะเป็นยอดอสูรในตำนาน ได้ขนาดไหนน่ะ
‘รอยยิ้มเจ้าช่างชั่วร้ายนัก ข้าล่ะชักไม่วางใจแผนในหัวของเจ้าแล้วสิ’
อย่าคิดมากน่า เอาล่ะมาฟังแผนของผมเลยดีกว่า
ตอนนั้นเองที่ผมเล่าแผนในหัวของผมให้เจ้าราสฟัง เมื่อมันรับรู้แผนทั้งหมด ดวงตาทั้งสองของมันก็เบิกกว้างออกมาพร้อมมองมาที่ผมอย่างไม่ไว้วางใจสักเท่าไหร่
‘แน่ใจนะว่าจะได้ผล’
คิดว่าได้นะ ยิ่งสำหรับคนเถื่อนพวกนั้นนี่ผมว่ายิ่งได้ผลสุด ๆ เลยเชื่อผมเถอะ
‘เอาไงเอากัน หวังว่าที่เจ้าทำมันจะได้ผลนะ ถ้าไม่ได้ผลล่ะก็หัวเจ้าได้เลือดอาบหามกลับบ้านเก่าแน่นอน’
ถ้าแบบนั้นจริง ผมรีบร่ายเวทหาทางกลับจุดเกิดเลยเอ้า!!!
‘จุดเกิดอะไรของเจ้า ภาษาโลกไหนกันแต่เอาเถอะถือว่าข้าขอเสี่ยงกับเจ้าแล้วกันนะ’
เมื่อตกลงคำแล้ว ผมก็ค่อย ๆ ก้าวออกไปอย่างช้า ๆ พยายามทำตัวให้สำรวมมากที่สุด ให้การก้าวเดินของตัวเองนั่นนิ่งสงบและสง่างามเหมาะสมแก่บุคคลที่ถูกกล่าวขานว่านักบุญ
“นั่น ดูนั่นท่านนักบุญ”
“บ้าน่าตัวคนเดียวงั้นเหรอ ใครก็ได้ออกไปช่วยท่านเร็วเข้า!!!”
“ไม่ได้ครับ ที่ทางเข้าออกมีกลุ่มคนปริศนาปิดทางเข้าออกดักพวกเราไว้ทุกทิศทางเลย ตอนนี้อัศวินทั้งหลายกำลังปะทะกับพวกมันอยู่ครับ”
ทหารทั้งหลายที่กำแพงเมื่อเห็นผมต่างร้องตะโกนอย่างตกใจ พวกเขานั้นกำลังตอนแรกตั้งใจจะตั้งรับแต่ทันทีที่เห็นนักบุญของพวกเขาก็เริ่มกับอาการของตัวเองไม่อยู่
และเป็นอย่างที่คิด นอกจากผมแล้ว เจ้าพวกคนในหน้ากากพวกนั้นมันไม่คิดจะยอมให้ใครผ่านออกไปได้ ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไรแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขาน่าจะต้องเกี่ยวกับผมแน่นอน
ราวกับว่าพวกเขาอยากให้ผมมาเจอกับปัญหานี่คนเดียวอย่างไงอย่างงั้น
“แล้วจะให้ท่านลุยคนเดียวเนี่ยนะ… พวกเราโดดลงจากกำแพงมันเนี่ยล่ะ ไปช่วยท่านนักบุญ!!”
เฮ้ย ใจร่ม ๆ!!
ไม่นึกว่าความศรัทธา มันจะทำให้คนเป็นเอามากขนาดนี้ เพราะหากผมไม่ร้องห้ามตอนนี้เริ่มมีคนคิดจะปีนลงมาจากกำแพงเพื่อช่วยผมแล้ว ถึงจะรู้สึกซึ้งใจแต่ขอร้องล่ะ อย่าให้เลือดมันนองมากขึ้นเพราะผมเลยนะ ขอล่ะ!!!
“ไม่ต้องค่ะ….”
“ท่านนักบุญ?”
ผมตะโกนห้ามไปทำเอาพวกเขาแต่ล่ะคนต่างชะงักแล้วมองมาที่ผมอย่างไม่เข้าใจ ซึ่งนี่มันก็พอรู้เหตุผลอยู่เพราะถึงจะเป็นนักบุญ แต่ก็ยังเป็นเด็กอายุไม่ถึงสิบ พลังแม้จะมากแต่ก็ยังอ่อนประสบการณ์ การออกไปลุยเดี่ยวกับศัตรูนับพันนมันก็ออกจะห้าวไปหน่อย
“พวกเขาเหล่านั้นไม่ใช่ศัตรู… เป็นแค่เหล่าผู้หลงผิดที่ไม่เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าอันเป็นผู้สร้างของพวกเรา และนี่คือหน้าที่ของเราที่จะแสดงให้พวกเขาเห็นถึงปาฏิหาริย์”
ไม่รอช้าผมได้ยกมือของตัวเองขึ้น จากนั้นคำสวดจำนวนมากได้ร่ายออกมาจากปากอย่างไม่หยุดหย่อน
“ข้าคือผู้นำเส้นทางแสงของพระองค์ผู้ยิ่งใหญ่ ขอแสงแห่งพระองค์จงเป็นเจิดจรัสในตัวข้า”
ร่างกายของผมเริ่มส่องประกายจเจิดจ้าขึ้นเรื่อย ๆ จนราวกับมันเป็นแสงของพระอาทิตย์ ถึงแม้จะสว่างแต่ก็ไม่แสบตา เป็นแสงที่อบอุ่น
ซึ่งนี่ก็ไม่ได้มีอะไรนอกจากเวทเรืองแสงธรรมดา ๆ ไว้ประกอบฉากให้ดูขลังเท่านั้น…
“ข้าผู้ซึ่งเดินตามเส้นทางของตัวตนอันยิ่งใหญ่ ขอพระองค์ปกป้องข้าจากอันตรายที่หวังจะกล้ำกรายขัดขวางตัวข้า”
ที่ทั่วร่างของผมตอนนี้เริ่มมีออร่าสีทองมาปกคลุมร่างกาย มันไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกจากบาเรียป้องกันอาวุธระยะไกล เพื่อไม่ให้ระหว่างเดินไปช่วยซิลวี่แล้วมีธนูมาลอยปักใส่หัวผมนอนตายคาที่เสียก่อน
“อำนาจใดล้วนอยู่ใต้พระองค์ ขอพระองค์ปกปักข้าจากมนตราอันชั่วร้ายที่มิอาจให้อภัย”
ออร่าแสงสีฟ้าได้กระจายออกมาจากร่างของผม มันคือออร่าไว้สำหรับป้องกันเวทมนตร์ ซึ่งแน่นอนว่ามันป้องกันเวทใหญ่ไมได้ แต่ถ้าเป็นพวกเวทเล็ก ๆ ล่ะก็ การันตีได้ว่าสัมผัสละอองพวกนี้เมื่อไหร่เป็นได้สลาย
‘นี่เจ้าร่ายเวทป้องกันตัวเองไม่ยั้งเลยนะเนี่ย’
รู้จักไหมพวก เขาเรียกว่าประกันภัย มีไว้หายห่วงกว่า
เหล่าคนเถื่อนทั้งหลายที่เห็นผมเดินเข้าใกล้ด้วยตัวคนเดียวด้วยร่างอันสว่างไสว ต่างตื่นตระหนกพลางชี้มาด้วยแววตาสับสนมากมาย แต่ว่าเมื่อตั้งสติได้พวกเขาก็รีบหาทางโจมตี
ลูกศรจำนวนมากได้พุ่งเข้าหา แต่พวกมันนั้นช่างไร้ประโยชน์เมื่อเจอเข้ากับพลังป้องกันระดับเทพเจ้าคุ้มหัว ทั้งหมดต่างเบี่ยงทิศทางออกไปทางเดินและปักลงพื้น ไม่มีแม้แต่โอกาสจะได้เข้าใกล้
สุดยอดจริง ๆ นี่ล่ะของประกันภัย
ผมค่อย ๆ ยกมือขึ้นผสานกันเหมือนกับการสวดวิงวอนก่อนจะพยายามเดินช้าลงเรื่อย ๆ เพื่อให้ฉากมันดูยิ่งใหญ่กว่าเดิม
‘เอาล่ะใกล้ได้เวลาของข้าแล้วสินะ’
อือ ฝากด้วยนะ สุดยอดสัตว์ในตำนาน….
“โอ้ผู้พิทักษ์ศักดิ์สิทธิ์ โปรดสดับฟังคำวิงวอนแห่งข้า ณ ยามคับขันนี้ ข้าขอวิงวอนแด่ วิหคเพลิงศักดิ์สิทธิ์ ร่างแห่งเปลวเพลิงสวรรค์ ผู้พิทักษ์เบื้องฟ้า แด่ผู้อุ้มชูเพลิงนิรันดร์ ข้าวิงวอนขอความช่วยเหลือ จากกองเถ้าแห่งสิ้นหวัง จงผงาดขึ้น เร่วมรบเคียงข้างพวกข้า ต่อกรความมืดมิดที่คุกคามดินแดนแห่งนักรบ”
ตอนนั้นเองที่ร่างกายของผมเริ่มมีเปลวเพลิงหมุนวนรอบตัว ลมเริ่มโบกพัดจนเส้นผมสีขาวของผมพลิ้วไหวไปตามสายลม มันยิ่งส่องประกายเมื่อต้องกับแสงของพลังศักดิ์สิทธิ์จนภาพยิ่งดูอลังการมากขึ้นดุจดั่งเทพลงมาจุติ
“จงกางปีกแห่งเปลวเพลิงของท่าน ผลักไสเงามืดด้วยแสงเจิดจ้า ทอแสงศักดิ์สิทธิ์ เป็นดั่งความหวังท่ามกลางห้วงแห่งความวุ่นวาย”
ยิ่งเห็นฉากนี้พวกคนเถื่อนยิ่งร้อนรน พวกเขาเมื่อเห็นว่าธนูหรือหน้าไม้ทำอะไรผมไม่ได้ การใช้เวทจึงเริ่มเกิดขึ้น เปลวไฟ น้ำแข็ง หรือกระสุนเวทจำนวนมากได้พุ่งเข้าใส่
พวกมันทั้งหมดได้สลายไปกลายเป็นละอองสีฟ้างดงามเมื่อยามต้องกับม่านพลังที่ผมสร้างขึ้นจนเหล่าคนเถื่อนยิ่งสับสนหนักว่าเดิม
“ในนามแห่งความบริสุทธิ์และยุติธรรม ข้าวิงวอนขอพลังแห่งเจ้า จงร่วมรบกับพวกข้า ปล่อยเสียงร้องแห่งสวรรค์ เพื่อเป็นสัญญาณรุ่งอรุณที่ปลดเปลื้องราตรีอันน่าสิ้นหวังนี้….”
ผมชูมือขึ้นฟ้า จากนั้นดวงตาทั้งสองจ้องมองเหล่าวิญญาณสีดำจำนวนมากที่ยังคงพยายามฝ่าเข้าไปในม่านบาเรียของซิลฟรอเทีย จำนวนของพวกมันมากมายจนราวกับเป็นเมฆหมอกสีดำ
นี่ล่ะของประกอบฉากขึ้นสุดยอด
ไม่รอช้า เพื่อการเปิดตัวอันยิ่งใหญ่ ผมได้ยังเวทศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่ของตัวเองขึ้นไปบนฟ้าเหนือหัวของตัวเอง เมื่อเวทศักดิ์สิทธิ์สัมผัสเข้ากับวิญญาณร้ายพวกมันได้สลายไปจนเกิดช่องว่างขนาดใหญ่กลายเป็นแสงที่สาดส่องลงมาใส่ตัวผม
“จงปรากฏกาย..วิหคสวรรค์ ราสเวน”
สิ้นเสียงคำร่าย เงามืดทั้งหลายได้ถูกแทงทะลุด้วยจุดแสงสว่างเจิดจ้า ก่อนประกายแสงสีแดงทองจะขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว เผยร่างอันวิหคศักดิ์สิทธิ์ที่ทั้งร่างเปล่งประกาย ขนเพลิงสีแดงทอง ปีกใหญ่ที่สยายออกมา สาดแสงอบอุ่นราวกับอ้อมกอดของทวยเทพ แสงสีทองค่อย ๆ แผ่รัศมีตัดทะลุความมืดมิด
“เอาล่ะ ได้เวลากลายเป็นความหวังกันแล้วล่ะค่ะ ราสเวน”
ใครเห็นชื่อตอนแล้วคิดว่าจะได้เจอฉากสุดยอดล่ะก็… คุณคิดถูกครึ่งเดียวครับ เรื่องนี้ไม่สามารถให้ความงดงามคุณได้มากขนาดนั้นหรอกนะ