ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์ - บทที่ 60 ออโรร่าน่ะ คือแสงแห่งความหวังของทุกคน
- Home
- All Mangas
- ซวยแล้ว! ผมดันโดนเตะมาเกิดใหม่เป็นนักบุญหญิงศักดิ์สิทธิ์
- บทที่ 60 ออโรร่าน่ะ คือแสงแห่งความหวังของทุกคน
“รู้แล้วยังจะขวางงั้นเหรอ”
“เพราะรู้ไงล่ะ… ว่าคุณน่ะ เอาชนะผมไม่ได้หรอก”
คำพูดสุดห้าวถูกกล่าวออกมาจากชายปริศนา น้ำเสียงนั้นไม่มีแม้แต่ความลังเลหรือความกลัว มั่นเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจอย่างแท้จริงในคำพูด
“ปากดีจริงเชียว คนแบบนี้น่ะฉันเจอมาเยอะแล้ว”
“ไม่รู้ว่าคุณเป็นใครและมีจุดประสงค์อะไร แต่ขอร้องล่ะ เปิดทางให้พวกเราด้วยค่ะ”
รอยยิ้มของชายในหน้ากากเผยออกมาก่อนที่เขาจะหันหน้ามาทางผม ดาบในมือได้ถูกชี้ไปที่คุณพ่อและไรน์
“แน่นอน สำหรับเธอนั่นย่อมสามารถผ่านไปได้ ทว่าอีกสองคนนั้นคงไม่ได้”
“แบบนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับการช่วยเหลือศัตรูของพวกเรา.. ไม่สิ คุณน่ะคือศัตรูของพวกเราเหรอเปล่า”
ถึงจะเป็นคำถามที่แปลกจนทั้งสองคนข้าง ๆ ผมถึงกับมองมาอย่างสงสัย แต่ผมนั้นรู้สึกเช่นนั้นจริง รู้สึกว่าคนตรงหน้านั้นไม่ใช่ศัตรู ผมจับไม่ได้เลยถึงความรู้สึกมุ่งร้ายมาจากตัวของคน ๆ นี้
“เป็นคำถามที่น่าสนใจมากนักบุญเอ๋ย… ยามนี้ข้าบอกอะไรมากไม่ได้ แต่ขอยืนยันว่าข้าไม่ได้เป็นศัตรูกับเจ้าแน่นอน แค่เจ้าน่ะนะ”
สิ้นคำพูดของเขา ร่างที่อยู่ห่างไกลออกไปก็หายไปราวกับเป็นภาพติดตา จากนั้นคุณพ่อที่รู้สึกตัวก่อนใครเพื่อนก็พุ่งตัวออกไปในระดับความเร็วที่ใกล้เคียงกัน
เสียงดาบปะทะกันดังมาอย่างไม่หยุดหย่อน เสียงดังถี่ขึ้นเรื่อย ๆ บ่งบอกถึงความเร็วเหนือมนุษย์ของทั้งสองที่เพิ่มระดับขึ้นจนแม้แต่ตาของผมยังมองแทบไม่ทัน
ทุกครั้งที่ดาบกระแทกกัน พลังเวทของทั้งสองที่ถ่ายทอดผ่านดาบได้เข้าปะทะอัดกัน แรงมหาศาลได้ระเบิดออกมาเป็นคลื่นจนสิ่งรอบข้างสั่นสะเทือน
นี่มันการต่อสู้ของมนุษย์จริงเหรอ…
นี่เป็นคำถามที่ผมได้แต่ถามในใจ จริงอยู่ที่ผมคุ้นเคยกับคุณพ่อมานาน ทว่าท่าดาบและพลังทั้งหมดนี้ ผมไม่เคยเห็นเขาใช้มันมาให้เห็นเลยสักครั้ง
ท่าดาบของคุณพ่อถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง การเคลื่อนไหวของเขานั้นช่างลื่นไหลดุจสายน้ำที่สามารถต่อท่าได้อย่างต่อเนื่องไม่มีติดขัด ทว่ามันก็รุนแรงดุจดั่งพายุที่โหมกระหน่ำ
“ไม่นึกว่าคนที่ทิ้งการต่อสู้ไปนานแล้วอย่างคุณจะยังขยับได้ดีขนาดนี้นะครับ ขอชื่นชมเลยนักรบในตำนานซิกค์ฮาร์ต”
การควบคุมพลังเวทของคุณพ่อไม่ต้องพูดถึงว่ายอดเยี่ยมกว่าใครที่ผมเคยเห็นมาทั้งชีวิต เขาสามารถใช้มันได้ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ทั้งการถ่ายทอดเวทลงเท้าเพื่อเร่งความเร็ว การเสริมแรงที่แขนในชั่วพริบตาเพื่อเร่งความเร็ว
ทว่าทั้งที่ความสามารถนั่นมันก็เหนือกว่าใครหน้าไหนในโลกใบนี้ก็ตาม แต่นั่นก็ยังไม่พอที่จะล้มชายผู้นี้ได้ ชายปริศนาคนนี้
“หึ แกต่างหากเป็นตัวอะไร ใช้พลังแบบนี้เกินกว่าสามัญสำนึกไปแล้ว”
การเคลื่อนไหวของชายแปลกหน้านั้นเรียกได้ว่ารวดเร็วเท่ากับคุณพ่อทว่าที่แตกต่างออกไปนั้นคือระหว่างที่ทั้งสองปะทะกัน เขาก็จู่โจมจากทิศทางอื่นด้วยเวทมนตร์หลากหลายชนิด
กระสุนเวทย์ ลูกไฟ หรือแม้กระทั่งกำแพงหินผา ทั้งหมดล้วนถูกร่ายพุ่งเข้าใส่คุณพ่อจนแทบไม่มีเวลาให้ตอบโต้ดีที่เจ้าไรน์เข้าไปช่วยทำให้พอจะปัดป้องเวทเหล่านั้นออกไปได้แต่ก็ตามนั้น พลังของเด็กย่อมไม่เท่ากับผู้ใหญ่ ก็มีหลายส่วนที่หลุดมาถึงคุณพ่อ
“ใช้เวทโดยไม่ร่าย แถมมีแต่เวทระดับสูงทั้งนั้น มนุษย์ไม่ควรทำได้… แต่ก็จับกลิ่นอายจากปีศาจจากแกไม่ได้เหมือนกัน”
“แหม ๆ ก็ผมเป็นมนุษย์นี่นา มนุษย์สามัญเหมือนกับพวกคุณนี่ล่ะ!!”
พลังเวทมหาศาลได้ระเบิดออกมาจากร่างภายใต้ผ้าคลุมสีแดงฉาน วงเวทจำนวนมากได้ปรากฏขึ้นด้วยหลากหลายสีสัน บ่งบอกถึงชนิดเวทจำนวนมากที่กำลังจะถูกปลดปล่อย
‘ยัยหนู เจ้านี่มันกำลังร่ายเวทขนาดใหญ่รีบหาทางทำอะไรสักอย่างเร็ว’
เข้าใจแล้ว….
“ขอพระองค์ผู้ยิ่งใหญ่ทรงปกป้อง…”
“ด้วยร่างกายแบบนั้นขอแนะนำว่าอย่าทำดีกว่านะ”
ผมสะดุ้งเมื่อเสียงเย็นเยือกพูดเข้าใส่ และมันเป็นอย่างที่เขาบอกจริง ๆ เพราะด้วยสภาพของผมปัจจุบันนั้น ขนาดร่ายเวทป้องกันเข็มของพวกปีศาจก็ยากแล้ว แต่นี่คือพลังเวทมหาศาลขนาดที่คุณพ่อและไรน์ยังลำบาก
แต่จะปล่อยเอาไว้ก็ไม่ได้เหมือนกันไม่ใช่เหรอไง…
คิดแบบนั้นผมก็เริ่มที่จะร่ายคำสวดต่อ
“ไม่อยากช่วยเพื่อนงั้นเหรอท่านนักบุญ? ยิ่งนานชีวิตของนางผู้นั้นก็จะแย่เอานะ”
ผมถึงกับชะงักเมื่อคำพูดนี้มันเสียดแทงเข้าไปในใจ จริงอย่างที่เขาว่า เอลดรานน่าจะหวังอะไรในตัวของซิลวี่ หากยิ่งปล่อยนานไปก็ไม่รู้ว่าชีวิตของซิลวี่จะเป็นอย่างไร ยิ่งเขารู้ว่าแผนการตัวเองล้มเหลวไปหลายส่วน คงรีบดำเนินการโดยไม่สนอะไรแน่นอน
“ออโรร่าไปเถอะ”
ไรน์ที่ถอยออกมาจากการต่อสู้ระหว่างสุดยอดมนุษย์ทั้งสอง ตามลำตัวของเขามีบาดแผลอยู่เต็มไปหมด ทั้งรอยของเปลวเพลิงที่ไหม้ตามผิวหนัง หรือรอยช้ำของการถูกหินกระแทก ทั้งหมดนี้เขาเข้าไปเพื่อรับความเสียหายแทนคุณพ่อทั้งนั้น
“เอ่อ ให้ฉันรักษานายก่อน”
“แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก.. พลังพวกนั้นน่ะ ใช้เอาตอนที่จำเป็นก็พอแล้วล่ะ”
ไรน์พูดพลางยิ้มออกมาให้กับผมก่อนที่เขาจะหันไปมองประตูเมืองซึ่งบัดนี้ถูกเปิดอ้าไว้ด้วยฝีมือของชายปริศนาผู้นี้
“ตรงนี้ปล่อยให้ผมกับคุณซิกค์จัดการเอง ออโรร่าไปช่วยเพื่อนคนนั้นเถอะ”
“แต่ว่าถึงเป็นแบบนั้น ด้วยพลังของผมในตอนนี้มันจะ…”
ใช่ พลังของผมที่ยังคงปั่นป่วนอยู่นั้นเอง ถึงแม้จะผ่านจุดนี้ไปได้แต่ว่าก็ไม่รู้ว่าจะสามารถจัดการศัตรูที่เป็นคนได้ไหม เพราะเวทศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่มีแต่เวทสนับสนุนกับรักษาไม่ก็จัดการปีศาจ แล้วยิ่งสภาพเป็นแบบนี้ อย่าว่าแต่สนับสนุนเลย แค่เอาตัวเองให้รอดคงยาก
น่าเจ็บใจจริง ๆ
ผมเผลอกำมือของตัวเองอย่างเจ็บใจเมื่อนึกถึงความไร้ประโยชน์ของตัวเองในปัจจุบัน ความมั่นใจก่อนหน้านี้ในพลังที่มีมันทำเอาให้จิตใจตอนนี้ของผมดำดิ่งลงไปกว่าเดิม
“ไม่เป็นอะไรหรอกออโรร่า เชื่อผมเถอะ ถ้าเป็นออโรร่าจะต้องทำได้แน่”
ไรน์ยิ้มให้ก่อนที่เขาจะยื่นมือของตัวเองมาคว้ามือของผม มือของเขาค่อย ๆ มีแสงสว่างจาง ๆ ส่องออกมา ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มรู้สึกถึงความอบอุ่นของมือเด็กชายตรงหน้า
“ท่ามกลางความมืดมิดที่มองไม่เห็นทางอันใด ออโรร่าน่ะคือแสงแห่งความหวัง ที่จะช่วยเหลือคนที่หลงทางให้กลับมาในแสงสว่างเหมือนที่เธอเคยทำมันให้กับผมไง พลังน่ะ ไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้ออโรร่าแข็งแกร่งหรอกนะ แต่เป็นจิตใจต่างหาก”
“แต่ว่านั่นน่ะ แค่ความหวัง.. แค่จิตใจอะไรนั่นน่ะมันยังไม่พอ… ความหวังที่ไร้พลังน่ะมันก็ทำอะไรไม่ได้หรอก”
มือที่ว่างอยู่ของผมบีบแน่น ผมเผลอมองต่ำลงไม่กล้าสบกับตาที่มองมาหา ในใจรู้สึกราวกับตัวเองกำลังดำดิ่งไปในจุดของความสิ้นหวังทีล่ะเล็กทีล่ะน้อย
“เชื่อในตัวเองสิ พลังไม่ใช่ทั้งหมดของตัวตนของเธอ แต่หากนั่นทำให้แสงสว่างที่เจิดจ้าต้องหม่นหมองล่ะก็ ผมจะเป็นคนช่วยเอง อืม หากพลังที่ปั่นป่วนนี่เป็นสิ่งที่ทำให้ออโรร่ากลัวล่ะ ผมจะทำให้ความกลัวนั่นหายไปเออง”
ความอบอุ่นเริ่มแผ่ออกมาจากมือที่ส่องสว่างนั่นก่อนที่มันจะเริ่มถ่ายเทเข้ามาในตัวผม ผมรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่เริ่มแผ่กระจายไปทั่วไปตัว ความปั่นป่วนและวุ่นวายทั้งหมดในร่างที่เคยรู้สึกได้ราวกับพายุที่บ้าคลั่งและโหมกระหน่ำมันเริ่มค่อย ๆ สงบลง
“เป็นไง เริ่มรู้สึกดีขึ้นใช่ไหม”
“นายทำได้ไงกัน?”
“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือรู้สึกดีขึ้นแล้วใช่ไหมล่ะ”
“นั่นก็…”
“ไม่ว่าอันตรายอะไรที่รออยู่หลังจากนี้ ผมมั่นใจว่าออโรร่าจะต้องผ่านมันได้แน่นอน เพราะว่าออโรร่าคือก็ออโรร่า คือแสงแห่งความหวังของทุกคน และอย่าลืมสิว่าออโรร่าไม่ได้สู้คนเดียว ออโรร่ามีทั้งผม ทั้งคุณพ่อ แล้วก็ทุกคนในกลอริเอลด้วย”
ราวกับร่างกายและจิตใจที่กำลังดำดิ่งสู่ก้นมหาสมุทรถูกฉุดกลับขึ้นมาเหนือผิวน้ำอันสว่างไสว จิตใจที่เคยหม่นหมองของผมได้เริ่มจางหาย ความมั่นใจที่หายไปได้กลับมาอีกครั้ง ผมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือที่อบอุ่นนี่
รอยยิ้ม คือสิ่งที่มันยังคงแสดงอยู่ เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากจิตใจและความหวังดี ดวงตาสีม่วงยังคงมองมาที่ผมด้วยความอบอุ่นไม่ต่างจากแสงสว่างที่มือทั้งสองนี่จนทำเอาจิตใจสงบลงปั่นป่วนไปชั่วครู่
เอ๋….. นี่มัน
“เฮ้ย ไอ้เด็กเปรตอย่าฉวยโอกาสตอนที่ฉันกำลังสู้อยู่สิฟะ เห็นหมดนะโว้ย บังอาจจีบลูกฉันเหรอ จัดการไอ้หน้ากากบ้านี่ได้ เอ็งเป็นรายต่อไปแน่”
“ผมแค่ให้กำลังใจออโรร่าเท่านั้นเองนะคุณพ่อ”
“ใครพ่อเอ็งฟะ! ออโรร่าลูกพ่ออย่าไปฟังมัน!!”
“คะ?”
เหตุการณ์ที่เปลี่ยนอย่างกะทันหันทำเอาผมปรับตัวไม่ทัน พลางมองหน้าของคุณพ่อที่โกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าตอนเจ้าหน้ากากมันมาหาเรื่องเสียอีก แต่เมื่อรู้ว่าผมมองมาคุณพ่อก็ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“ไม่ต้องห่วงลูกพ่อ อยากทำอะไรก็ทำเถอะ แม้จะผิดพลาดแม้จะเกิดอะไรขึ้น แต่จำไว้ว่าข้างหลังของลูกมีพ่อที่คอยช่วยอยู่เสมอ”
มันเป็นคำที่แสนธรรมดาแต่ก็ทำให้ผมรู้สึกสุขใจมากกว่าคำไหนที่ได้ยินมา มันคือความห่วงใยอย่างแท้จริงของผู้เป็นพ่อที่ส่งมาให้กับลูก นั่นทำให้จิตใจที่สับสนทั้งหมดหายไปราวกับไร้ตัวตน
“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะคุณพ่อ แล้วก็ไรน์ ไม่รู้ว่านายทำได้ไงแต่ก็ขอบคุณมากนะ!!”
ไม่นึกว่าชีวิตนี้จะได้คนมาปลอบเหมือนเด็กแบบนี้ แต่ก็..ดีใจมาก ๆ เหมือนกัน ขอบคุณมากเลยทุกคน
‘เจ้ามีมิตรสหายที่ดีมากเลยนะ ยัยหนู’
อื้อ
ผมรีบวิ่งออกไปทันทีอย่างไม่รอช้า ความช่วยเหลือที่พวกเขาให้มาผมจะต้องตอบแทนมันให้ดีที่สุด ใช่แล้ว ผมจะต้องช่วยซิลวี่ให้ได้!!!
—————————————————————————————————-
ตอนนี้ก็จะได้เห็นทั้งปัญหาในใจและการพัฒนาทางอารมณ์ของตัวออโรร่าบ้างครับว่าก้าวหน้าไปกับเนื้อเรื่องด้วย ที่จริงน้องก็แอบมีปมในใจหลายส่วนทั้งเรื่องหน้าที่และพลังของตัวเอง แต่เป็นอย่างไรต่อก็คอยดูกันครับ
ปล.ทุกคอมเม้นคือกำลังใจ