ชีวิตบัดซบเพราะถูกส่งมาต่างโลก เลยสร้างปาร์ตี้สุดโหดไปตบเกรียน - ตอนที่ 45 การปฏิเสธตัวเองในอดีต ก็เท่ากับเป็นการปฏิเสธตัวเองในตอนนี้ด้วยเช่นกัน
- Home
- All Mangas
- ชีวิตบัดซบเพราะถูกส่งมาต่างโลก เลยสร้างปาร์ตี้สุดโหดไปตบเกรียน
- ตอนที่ 45 การปฏิเสธตัวเองในอดีต ก็เท่ากับเป็นการปฏิเสธตัวเองในตอนนี้ด้วยเช่นกัน
เรื่องราวของแม่ทัพคนที่ 7 งั้นเหรอ?
จะว่าไปแล้ว เรื่องที่ฟรังซ์ ออลเดลเล่าครั้งแรกนั่นก็มีกล่าวถึงเหมือนกันนี่… ถึงจะพูดถึงแค่ครั้งเดียวเองก็เถอะ
ถ้าจำไม่ผิด… เจ้านั่นบอกว่าแม่ทัพที่สู้กับจอมมารหน่ะมี 7 คน แล้วต่อมา 6 ใน 7 คน ได้กลายเป็นมหานักปราชญ์….
เราเองก็คาใจมาตลอดว่าอีกคนนึงคือใคร… เพราะจาก 6 คน ก็มีพระเจ้าคนนึง กับดันเจี้ยนมาสเตอร์อีก 5…
เราเองก็หาหนังสือแบบเดียวกันมาตลอด แต่ไม่มีถูกกล่าวถึงเลยซักนิด เหมือนกับมีคนจงใจลบข้อมูลส่วนนั้นออกไปเลย…
แต่ถือวิสาสะเอามาอ่านเองแบบนี้นี่ ยัยนั่น…. เมอร์ลินจะโกรธรึเปล่าเนี่ย… แถมในส่วนลึกของจิตใจ เรากลับรู้สึกว่า ไม่ควรไปแตะต้องมันซะนี่…
กรที่กำลังลังเล พยายามก้าวเท้าขวาเข้าไปข้างในห้องแต่ก็ต้องชักเท้ากลับออกมาเพราะรู้สึกผิดอยู่ในใจ แต่แล้วความอยากรู้อยากเห็นก็เข้าครอบงำอีกครั้งเขาจึงก้าวเท้าเข้าไปอีก แล้วพอมาคิดดูว่าเมอร์ลินจะรู้สึกยังไงที่โดนรุกล้ำเข้าพื้นที่ส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาติ กรก็ชักเท้าหนีอีกจนไม่ได้เข้าไปเสียที จนแม้จะผ่านไปถึง 5 นาทีเขาก็ยังคงทำแบบนั้นอยู่ด้านหน้าห้องของเมอร์ลิน จนกระทั่ง…
〝ทำอะไรอยู่นะหืม!? 〞
〝! 〞
เพราะลังเลอยู่นานสองนาน เลยทำให้มีคนมาเจอเข้าจนได้ คนๆ นั้นเดินเข้าหากรอย่างช้าๆ และถามออกมาด้วยเสียงที่ดังฟังชัดจนกรตกใจสะดุ้งโหยงราวกับโดนจับได้ว่าแอบหนีออกนอกบ้าน และคนๆ นั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น… เธอก็คือเมอร์ลิน ที่เป็นเจ้าของห้องนั่นเอง
ตอนนี้เมอร์ลินที่เปลี่ยนชุดเป็นเสื้อคลุมอาบน้ำที่ยาวถึงเข่าและเกล้าผมไว้ด้วยผ้าเช็ดตัวเพื่อซับน้ำออกจากผมหลังแช่น้ำ กำลังเดินเข้ามาทางกรด้วยความเร็วปกติพร้อมกับส่งสายตาเพื่อขอคำตอบจากกร
〝ไม่มีอะไรหรอก… ก็แค่เดินผ่านมา——〞
〝แล้วทำไมถึงหยุดหน้าห้องฉันนานนักหล่ะหืม? 〞
〝นี่ดูอยู่หรอกเหรอเนี่ย? 〞
〝นายเนี่ยไม่ระวังหลังเลยนะ———!!! 〞
เมอร์ลินเดินเข้ามาถึงประตูและทอดสายตาเข้าไปในห้องตัวเองพร้อมกับก้าวแรก นั่นเลยทำให้เมอร์ลินตกตะลึงจนเบิกตาโพลง เพราะรู้เหตุผลที่กรด้อมๆ มองๆ ห้องของเธอ
แต่เมอร์ลินก็เปลี่ยนสีหน้ามาเป็นปกติอีกครั้งในเวลาไม่นาน แล้วก็เดินเข้าห้องไปก่อนที่จะปิดประตูห้องลงจนสนิท เป็นสัญญาณทางอ้อมว่าเธอไม่อยากให้กรเห็นมัน…
เฮ้อ!
เมื่อประตูถูกปิดลง กรถอนหายใจออกมาทั้งด้วยความรู้สึกเสียดายและโล่งใจ ก่อนที่จะยอมแพ้เสียง่ายๆ และเดินจากไปจากหน้าห้องของเมอร์ลินเพื่อมุ่งตรงไปยังห้องสมุดที่เป็นเป้าหมายเดิม แต่ว่า…
〝เข้ามาก่อนสิ…〞
〝เอ๋? 〞
เมอร์ลินที่หายเข้าไปในห้องราวๆ 10 วินาที เปิดประตูและโผล่หน้าออกมาพอให้กรเห็นหน้า พร้อมกับเชิญชวนให้กรเข้ามาในห้องราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่างได้แล้ว…
〝ไม่ได้ยินงั้นเหรอ? 〞
〝อะ อา… เข้าใจแล้ว…〞
เมื่อโดนเมอร์ลินถามย้ำอีกครั้ง กรจึงทำได้แค่ตอบกลับไปอย่างติดขัด เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงเปลี่ยนใจแบบนี้
และถึงจะไม่เข้าใจ แต่กรก็ยังเดินตามเธอเข้าไปในห้องแต่โดยดี…
❖❖❖❖❖
〝ที่เตียงหน่ะ… นั่งเลยก็ได้…〞
〝อะ อืม〞
เมอร์ลินแบมือไปทางเตียงที่เธอใช้นอนอยู่ทุกคืน เป็นการเชิญให้เขานั่งลงตรงนั้นได้เลย กรจึงไม่รอช้าที่จะนั่งลงที่ขอบเตียงและเริ่มมองไปรอบๆ ห้องของเมอร์ลินด้วยหางตาเพื่อเริ่มการสำรวจ…
ห้องของเมอร์ลินมีขนาดประมาณ 4×4 เมตรและมีเตียงอยู่ที่มุมขวาในสุด และข้างๆ หัวนอนด้านซ้ายก็มีโต๊ะไม้สี่เหลี่ยมเจ้าปัญหาตั้งอยู่ ตู้เสื้อผ้าและชั้นวางหนังสือ โต๊ะแต่งหน้าและกระจกวงรีตั้งพื้นขนาดเท่าตัวคน เฟอร์นิเจอร์ทุกๆ อย่างถูกจัดเรียงเหมือนกับห้องส่วนตัวของสาว ม.ปลาย ในการ์ตูนเด็กผู้หญิงยังไงอย่างงั้น ในความคิดของกรเลยรู้สึกว่ามันธรรมดาไปหน่อย…
〝เฮ้อ! ถูกเห็นเข้าซะได้นะ ฉันเนี่ยประมาทไปจริงๆ 〞
เมอร์ลินผู้เป็นคนเริ่มบทสนทนานั่งกอดอกอยู่บนเก้าอี้ที่คู่กับโต๊ะเจ้าปัญหาแล้วหันหน้ามาทางกร พลางแหล่มองหนังสือตัวต้นเหตุตาไม่กระพริบ
〝โทษทีนะ…〞
〝นายมันตาไวอยู่แล้วนี่นา… ช่างเถอะ〞
〝ขะ ขอทีเถอะน่า… ว่าแต่ทำไมห้องถึงเปิดอยู่หล่ะเนี่ย? 〞
เพราะถูกจิกกัด กรจึงพยายามเบี่ยงประเด็นไปยังสาเหตุของเรื่อง (ถึงที่จริงสาเหตุกว่าครึ่งจะมาจากตัวเองก็เถอะ)
เมอร์ลินที่ได้ยินคำถามของกรกลับมา ยกมือขึ้นมากุมศีรษะพลางขมวดคิ้วราวกับจะพูดเรื่องจริงจัง เลยทำให้กรเผลอกลืนน้ำลายในจังหวะที่เมอร์ลินกำลังจะตอบ
〝ภรรยานายนั่นแหล่ะ พอมาขอคำแนะนำจากทางนี้ ก็ดันลากฉันไปด้วยซะงั้น ให้ตายสิ! 〞
〝เอ๋! มีอาหน่ะเหรอ? 〞
แต่เนื้อความกลับเกินความคาดหมายของกร… เพราะสาเหตุของเรื่องกลับเป็นมีอาไปซะอย่างงั้น ในขณะที่กรกำลังคิดหาเหตุผล เมอร์ลินก็พูดแทรกขัดความคิดของกรอีก…
〝เธอคนนั้น… มีอาหน่ะ จะว่าไงดีหล่ะ… ถึงจะเป็นคนดีก็จริง แต่เหมือนจะดีไปหน่อยแล้วมั้ง…〞
〝โฮะๆ!! อะไรกันแบบนั้นก็ดีแล้วนี่〞
〝ทำไมต้องทำหน้าภูมิใจเหมือนลูกสาววิ่งแข่งชนะด้วยยะ! 〞
ต่อคำถามของเมอร์ลินกรได้ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงและสีหน้าภูมิใจและดีใจอย่างที่สุด เมอร์ลินจึงตบมุกของกรอีกครั้ง เพื่อหวังที่จะปรับอารมณ์ของตัวเองไปพร้อมกัน…
〝ดูเหมือนในหัวของเธอคนนั้นจะมีแต่เรื่องของนายหล่ะมั้งเนี่ย… ทั้งที่เรื่องแบบนี้มันไม่ควรปล่อยไปเลยแท้ๆ ที่จะชวนผู้หญิงคนอื่นเข้าห้องอาบน้ำกับผู้ชายของตัวเองเนี่ย〞
〝ฮะฮ่ะ! จะว่าไปแล้วเนี่ย มีอาเองก็ไม่เคยแสดงอาการหึงหวงเลยนี่นะ… ทั้งที่อยากเห็นแท้ๆ 〞
〝รสนิยมแย่จริงนะนายเนี่ย…〞
เพราะคำถามนี้ทำให้กรคิดอยู่ในใจประมาณว่า มีอาตอนหึงจะน่ารักขนาดไหนกันน้า แต่ก็ดันนึกภาพตามไม่ออกซะนี่… แล้วก็ต้องดึงสติตัวเองกลับมาอีกครั้ง เมื่อได้ยินคำจิกกัดของเมอร์ลิน
〝แต่ก็… ดีจังเลยนะ ที่มีคนเชื่อใจแบบนั้นหน่ะ…〞
ใบหน้าของเมอร์ลินดูเหมือนจะหมองลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะตอนนี้เธอไม่ได้สวมแว่นเหมือนทุกที แต่กรที่เห็นใบหน้าแบบนั้นก็ตีความได้ในทันที… เพราะใบหน้าในตอนนี้ของเมอร์ลิน มันเหมือนกับเขาเมื่อยามที่ต้องอยู่คนเดียวหลังพ่อแม่เสียชีวิตไม่มีผิด
กรที่เห็นเมอร์ลินแบบนั้นจึงสรรหาคำปลอบใจจากในหัวที่มีอยู่น้อยนิด แล้วพยายามตอบกลับเธอไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและน้ำเสียงจริงใจว่า
〝เธอเองก็เป็นคนที่ฉันเชื่อใจเหมือนกันนะ เมอร์ลิน〞
คิ้วของเมอร์ลินเลิกขึ้นในจังหวะเดียวกับที่คำพูดของกรจบลง ราวกับตัดสินใจบางอย่างได้ เมอร์ลินยิ้มออกมาที่มุมปากเล็กน้อยพลางเอื้อมมือซ้ายไปแตะปกหนังสือเจ้าปัญหา
เหมือนจะสื่อออกมาอ้อมๆ เลยว่าตัวเองไม่ได้คิดผิด ที่คิดจะบอกกรเรื่องนี้… เมอร์ลินถึงยิ้มเสียออกนอกหน้าแบบนี้
〝เรื่องของแม่ทัพคนที่ 7 นี่หน่ะ… ไม่ถูกกล่าวถึงทั้งในประวัติศาสตร์ของโลกนี้หรือนิทานเรื่องไหนเลยใช่รึเปล่า? 〞
สีหน้าของเมอร์ลินกลับกลายเป็นนิ่งเฉยเหมือนเดิมอีกในจังหวะที่ถามกรออกมาแบบนั้น
〝อืม หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอเลยหล่ะ〞
เมอร์ลินหรี่ตาลงเล็กน้อย พร้อมกับทำหน้าเหมือนจะถามกรออกมาว่า〝นี่หาข้อมูลนี้มาตลอดเลยสินะ? 〞 แต่กรก็ไม่ได้หลบสายตา ทั้งยังจ้องกลับตรงๆ นั่นเลยทำให้เมอร์ลินยอมแพ้…
〝เอาเถอะ…. ว่าแต่เห็นหน้าปกรึยัง〞
〝อืม….〞
〝งั้นเหรอ… งั้นคงพอรู้แล้วใช่ไหมว่าใครที่เป็นคนปิดผนึกจอมมาร〞
〝คนที่ 7 นั่นสินะ〞
〝อืม… แต่นั่นมันไม่ใช่เรื่องราวทั้งหมดหรอกนะ…〞
เมอร์ลินหยิบหนังสือที่ว่าขึ้นมาถือด้วยมือซ้าย พลางเปิดหน้าแรกของหนังสือขึ้นมาราวกับเพื่อนึกย้อนถึงเรื่องราวบางอย่าง
แววตาของเมอร์ลินในตอนนี้ช่างดูอ้างว้าง… ประกายของดวงตาสั่นระรัวราวกับหวาดกลัวบางสิ่ง นั่นเลยเป็นอีกครั้งที่กรอดเป็นห่วงไม่ได้
〝เมอร์ลิน… ถ้าไม่อยากเล่าหล่ะก็——〞
〝ไม่หรอก… ขอร้องหล่ะ ช่วยฟังทีเถอะ…〞
〝…………เข้าใจแล้ว〞
กรลุกขึ้นยืน แล้วยกมือห้ามเมอร์ลิน แต่เธอก็ปฏิเสธ กรจึงนั่งลงที่ขอบเตียงเช่นเดิม
พอมานึกๆ ดู ถ้าเธอไม่อยากเล่าก็คงไม่พากรเข้ามาในห้องตั้งแต่แรก… แต่กรก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดีที่เมอร์ลินทำสายตาเหงาหงอยทั้งที่ใบหน้านิ่งเฉย มันช่างเหมือนกับตัวของเขาเมื่อครั้งที่อยู่โลกเดิม… ราวกับกรได้กำลังมองภาพสะท้อนของตัวเองในอดีตอยู่ยังไงอย่างงั้นเลย
แล้วจากนั้นเมอร์ลินก็ปิดหนังสือลง วางมันไว้ที่โต๊ะเช่นเดิม จนกรเอียงคอสงสัย แต่พอเมอร์ลินบอกว่าตนจะเป็นคนเล่าปากเปล่าเอง กรจึงนั่งเอามือประสานกันในทันทีราวกับต้องการจะจดจำเนื้อหาทุกอย่างที่ออกมาจากปากของเมอร์ลิน
〝เฮ้อ! งั้น… จะเริ่มเล่าตั้งแต่แรกเลยแล้วกัน〞
❖❖❖❖❖
เมื่อครั้งที่โลกของเหล่าเทพเจ้ายังคงอยู่… ในตระกูลขุนนางได้มีเด็กผู้หญิงกำเนิดขึ้นมาและถูกเลี้ยงดูอย่างดี จนเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กสาวที่สดใสและมีรอยยิ้มที่เจิดจ้าราวกับแสงอาทิตย์
พ่อของเด็กสาวเป็นถึงแม่ทัพใหญ่กองทัพส่วนพระองค์ของหนึ่งใน『สภาสวรรค์ 7 ปีก』 ส่วนแม่ของเด็กสาวเป็นข้าราชการระดับสูงที่ดูแลกิจกรรมของ『สภาสวรรค์ 7 ปีก』ส่วนกลาง ทั้งยังเป็นจอมเวทย์หญิงอันดับ 3 ของดาวดวงนี้
แม้กระทั่งพี่ชายของเด็กสาวเองยังเป็นอัจฉริยะที่จบจากโรงเรียนจอมเวทย์อันดับหนึ่งของดาวดวงนี้ด้วยอายุที่น้อยที่สุด ทั้งยังเป็นผู้คิดค้นระบบ『ปืนเวทย์มนต์』และยังเป็นผู้พัฒนาเวทย์เฉพาะตัวดังเช่น『ออร่าเทพเจ้า』จนถึงระดับมาสเตอร์ ที่ว่ากันว่า ต้องใช้เวลาถึง 1,000 ปีกว่าจะไปถึงด้วยเวลาเพียง 100 ปีเท่านั้น และด้วยเหตุนี้เอง ทำให้พี่ชายของเด็กสาวถูกเชิญชวนให้เป็น『สภาสวรรค์ 7 ปีก』
เทียบกับเด็กสาวก็ไม่ใช่ว่าจะด้อยกว่ากันเสียทีเดียว… เด็กสาวนั้นเกิดมาพร้อมกับพลังเวทย์มหาศาลดังเช่นพี่ชาย แต่ที่ผิดปกติก็คือ เด็กสาวนั้นสามารถทำให้สมองประมวลผลเร็วขึ้นได้ดังใจนึก จนเรียกได้ว่าเป็นจุดแข็งของเธอ หากเทียบกับเด็กวัยเดียวกันที่เรียนเวทย์มนต์ด้วยกัน ต้องใช้เวลา 5 วินาทีในการร่ายเวทย์พื้นฐาน 2 วินาทีในการกำหนดตำแหน่ง และอีก 2 วินาทีในการทำให้ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจริง
แต่เด็กสาวนั้น… สามารถร่นเวลากระบวนการทั้งสามลงได้เกือบร้อยเท่า จนระยะเวลารวมในการใช้เวทย์เหลือเพียง 0.08 วินาทีเท่านั้น ทั้งที่เพื่อนร่วมชั้นต้องใช้เวลาเฉลี่ยเกือบ 10 วินาที
ในการทดสอบของชั้นเรียนทุกครั้ง จะมีเพียงเธอเท่านั้นที่แสดงปาฏิหาริย์ดังกล่าวให้แก่ผู้ชม ซึ่งรวมถึงพ่อแม่และพี่ชายของเธอได้เห็น นอกจากพี่ชายที่เป็นสุดยอดอัจฉริยะ ยังมีลูกสาวที่เป็นสุดยอดอัจฉริยะที่กำลังผลิบานอีก สำหรับพ่อแม่ของเด็กสาวจึงไม่มีอะไรน่าดีใจไปกว่านี้อีกแล้ว
เด็กสาวนั้น นอกจากจะมีชื่อเสียงด้านเวทย์มนต์ขจรขจายไปทั่วแล้ว กิตติศัพท์ในด้านความซุกซนและขี้แกล้งยังไม่เป็นสองรองใครอีกด้วย ทั้งเพราะเป็นลูกสาวเลยถูกเลี้ยงดูแบบปล่อยและค่อนข้างตามใจ ทั้งยังถูกแม่ที่รักการผจญภัยสั่งสอนให้รักในอิสระอีก แม้จะถูกพ่อที่เป็นคนเคร่งครัดดุอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอลดความซนลงเลยซักนิด ราวกับพรสวรรค์ด้านจอมเวทย์ของเธอมันติดตัวมาพร้อมความซุกซนด้วยยังไงอย่างงั้นเลย…
และแล้วมันก็เกิดขึ้น… อุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดมันได้เกิดขึ้นอย่างที่ไม่มีคิดว่าจะเกิด… เด็กสาวที่ดันทุรังออกไปเล่นในป่าทึบนอกเมืองกับเพื่อนร่วมชั้น ได้บังเอิญไปเจอเข้ากับปัญหาร้ายแรง… นั่นก็คือ『มอนสเตอร์』
รูปร่างของมันมีลักษณะคล้ายกับหมาป่าขนสีเงิน แต่ขนาดที่สูงกว่า 4 เมตรต่างหากที่เป็นปัญหา… เด็กสาวที่ตอบสนองได้เร็วที่สุดในกลุ่มรีบตะโกนบอกให้ทุกคนหนีไป โดยตนจะเป็นคนยื้อเวลาไว้ให้เพราะคิดว่าตัวเองที่เก่งสุดคงทำอะไรได้บ้าง แน่นอนว่านั่นคือสิ่งที่เด็กคิดได้เพราะยังอ่อนต่อโลก…
ในจังหวะที่เพื่อนคนอื่นๆ กำลังหนี นั่นกลับกระตุ้นสัญชาตญาณในการล่าของหมาป่ายักษ์ตัวนี้… หมาป่าพุ่งเข้าไปตะครุบเพื่อนสนิทของเธอ ร่างของเธอถูกฉีกกระฉากจนสิ้นลมต่อหน้าต่อตาของเด็กสาว ความทะนงในดวงตาของเด็กสาวแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว… เพราะมอนสเตอร์สนใจอยู่กับร่างไร้วิญญาณของเพื่อนสนิท เลยทำให้เพื่อนคนอื่นที่ตกใจกลัวหนีไปได้
และเมื่อเจ้ามอนสเตอร์ทานอาหารที่อยู่ตรงหน้าจนอิ่มแปล้ เป้าหมายต่อไปของมันก็คือเด็กสาว… เด็กสาวถอยกรูดไปด้านหลังด้วยความกลัวพลางยิงเวทย์ใส่หมาป่า แต่หมาป่ายังคงเดินเข้ามาทั้งอย่างงั้นราวกับไม่สนใจและพุ่งเข้ามาในจังหวะที่การยิงเวทย์หยุดลง
แต่เด็กสาวที่มีปฏิกิริยาตอบโต้สูง ได้ถีบตัวหลบไปด้านข้างจนไม่ถึงกับถูกเขมือบทั้งตัว เพียงแต่ว่าพอเด็กสาวมองผ่านไหล่กลับไปยังที่ๆ หมาป่ายืนอยู่ เธอถึงรู้ว่าแขนของเธอยู่ในปากของมัน…
เด็กสาวกระเสือกกระสนวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ทั้งที่เสียเลือดมาก แต่ไม่นานนักก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหวและสิ้นใจลงไปด้วยความสิ้นหวัง ณ กลางป่าพร้อมกับเพื่อนสนิท… ทว่ายังมีเรื่องราวต่อจากนั้นอยู่อีก…
หลายวันต่อมาเด็กสาวที่คิดว่าตัวเองตายไปแล้วฟื้นขึ้นมาที่บ้านของตัวเองโดยมีครอบครัวคอยเฝ้าอยู่รอบเตียง…
เด็กสาวนั้นตายไปแล้ว… หากแต่ได้ฟื้นคืนชีพขึ้นอีกครั้งอย่างปาฏิหาริย์ เพราะดูเหมือนก่อนจะสิ้นลม เด็กสาวนั้นได้จัดการหมาป่าด้วยเวทย์ระดับเทพเจ้าไปโดยที่ตัวเองยังไม่รู้ตัว… แถมพ่อและพี่ชายของเธอยังมาเจอเข้าหลังจากนั้นเพราะเพื่อนๆ วิ่งไปแจ้ง
เด็กสาวได้รับค่าประสบการณ์จำนวนมหาศาลจากพ่อและพี่ชาย ผลก็คือเด็กสาวผ่านเงื่อนไขการจุติและเลเวลถึงจุดที่กำหนดจนเกิดการจุติครั้งที่ 1 ขึ้น แม้เด็กสาวจะฟื้นขึ้นมาได้ แต่ผลลัพธ์ในครั้งนี้กลับทำให้ร่างกายของพี่ชายอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้… ซึ่งจะว่าไปแล้ววิธีนี้ ก็เป็นวิธีเดียวกับที่ฟรังซ์ช่วยกรไว้ในตอนที่จุติครั้งแรกนั่นแหล่ะ
ความหวาดกลัวถูกสลักลงบนจิตวิญญาณของเด็กสาวที่เคยมีรอยยิ้มสดใส บัดนี้มันได้แปรเปลี่ยนจนทำให้เด็กสาวกลายเป็นคนเงียบขรึมและสันโดษ… ด้วยความหวาดกลัวที่จะเข้าหาคนอื่นเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุให้เพื่อนสนิทตาย รวมถึงโทษความทะนงตนที่ทำให้พี่ชายและเพื่อนคนอื่นเดือดร้อน
หากเทียบกับมนุษย์ เธอยังเป็นเพียงเด็ก ป.4 อยู่เลยด้วยซ้ำ… มันจึงช่วยไม่ได้ที่เด็กสาวจะได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจจนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน พร้อมๆ กับรอยยิ้มของเด็กสาวที่เลือนหายไปพร้อมกับการฟื้นคืนของชีวิตเธอ
จะเรียกว่าโชคดีในโชคร้ายก็ได้…. เพราะผลจากการที่เด็กสาวจุติตั้งแต่เด็ก นั่นทำให้ความสามารถของเด็กสาวเหนือล้ำยิ่งกว่าผู้ใดในอาณาจักร ว่ากันว่าเด็กสาวในตอนนี้สามารถเอาชนะจอมเวทย์ที่เก่งที่สุดของตระกูลใน『สภาสวรรค์ 7 ปีก』ทั้งที่ยังเป็นเด็กเลยทีเดียว
ผลงานของเธอแทบจะล้มล้างทฤษฎีความเป็นไปได้ทั้งหมด… เธอสามารถจบจากโรงเรียนจอมเวทย์อันดับหนึ่งของดาวดวงนี้ด้วยอายุที่น้อยที่สุดเป็นการทุบสถิติพี่ชายตัวเอง แถมยังขึ้นสู่จุดสูงสุดของจอมเวทย์ในการเข้าถึงเวทย์มนต์ทุกสายถึงขั้นที่ 9 ในเวลาเพียง 80 ปี จนได้รับตำแหน่งจอมเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในดวงดาวในอีก 100 ปีถัดมา แต่ถึงแบบนั้นเด็กสาว ไม่สิ…. หญิงสาวกลับไม่ได้ดีใจเลยซักนิด กลับกันแล้วยังรู้สึกอ้างว้างเสียมากกว่า…
นั่นคือเรื่องราวของเจ้าหญิงอัจฉริยะหน้าตายก่อนหน้าที่จะมาเป็นแม่ทัพต่อต้านพระเจ้าองค์ก่อน ผู้ซึ่งถูกเรียกว่าจอมมารในภายหลัง…
อย่างที่รู้กันว่าสงครามนั้น เกิดจากความกลัวในพลังพระเจ้าของ『สภาสวรรค์ 7 ปีก』 ในสงครามแรกๆ เธอที่เป็นจอมเวทย์ที่เก่งที่สุดจึงได้รับหน้าที่ให้เป็นหนึ่งในหัวหอกสำคัญของทัพใหญ่…เพียงแต่มันไม่ได้ง่ายดายเลยซักนิด เพราะนั่นหญิงสาวต้องพบกับความสิ้นหวังอีกครั้งในสงครามย่อยที่ถูกส่งไปแนวหน้า
ต่อหน้าพลังอันเหลือล้นของเทพเจ้า… เธอรู้สึกจากใจเลยว่าตัวเองเป็นเพียงมดปลวกที่ทำได้แค่โดนเหยียบจนจมดิน และผลลัพธ์ของศึกที่เธอลงสนามครั้งแรกก็คือ พวกพ้องในกองทัพของเธอนั้นเสียชีวิตถึง 2 ใน 3 รวมถึงแม่ทัพอย่างเธอเองก็เสียชีวิตลงอีกครั้งเหมือนเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู
ปาฎิหารย์เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อก่อนตายเธอสามารถทำลายล้างลูกสมุนที่มีทั้งเทพและปีศาจ ซึ่งถูกอัญเชิญโดยพระเจ้าเสียไม่เหลือซักตน นั่นจึงทำให้เธอเข้าเงื่อนไข จนเกิดการจุติครั้งที่ 2 เพราะเหตุนี้เลยทำให้ศึกสำคัญหลังจากนี้มักจะมีชื่อของเธอสลักอยู่เสมอ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับจอมมารได้อยู่ดี
ความรุนแรงและดุเดือดปะทุขึ้นถึงจุดสูงสุดในศึกสุดท้าย… แม่ทัพทั้ง 7 มีแผนจะเป็นคนรับหน้าในศึกนี้เอง ซึ่งสองในเจ็ดนั้นก็คือหญิงสาวและพี่ชายของเธอนั่นเอง
แผนการในกรณีที่เลวร้ายที่สุด หากไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้มีอยู่ว่า… แม่ทัพทั้ง 6 ยกเว้นหญิงสาว จะต้องเสียสละร่างเป็นระเบิดมีชีวิตโดยใช้มหาเวทย์ที่มีแต่หญิงสาวเท่านั้นที่ทำได้ ซึ่งหญิงสาวก็ไม่ได้คัดค้านอะไร
ในช่วงสุดท้ายของศึกสุดท้ายนั่น… การโจมตีอันรุนแรงของจอมมารกระทบกับพื้นผิวดวงดาวของเทพเจ้า ทำให้ดาวทั้งดวงแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ จนไปรวมเข้ากับดาวอมนุษย์ที่อยู่ใต้อาณัติ และนั่นคือจุดที่จอมมารบ้าคลั่งจนไม่อาจควบคุมได้
แม่ทัพทั้ง 6 คน เข้าไปรับหน้าพร้อมกับให้เมอร์ลินเตรียมพร้อมเพื่อจุดระเบิด… เพียงแต่ว่าในจังหวะที่ทั้ง 6 คนเข้าไปรับการโจมตี… นั่นเป็นครั้งแรกหลังผ่านมาเนิ่นนานที่เธอหลั่งน้ำตา เพราะเห็นภาพของเพื่อนสนิทที่ตายไปซ้อนทับกับพวกเขา…
ทั้งที่คิดว่าจิตใจของตัวเองมันแห้งผากไปแล้วแท้ๆ … หญิงสาวเกิดอาการลังเล ก่อนที่จะจัดการสับเปลี่ยนกระบวนการเวทย์มนต์ทั้งหมดใหม่ในเสี้ยววินาที จากการ『ใช้พลังเวทย์ในร่างเป็นระเบิด』ไปเป็น『ใช้พลังเวทย์ในร่างสร้างผนึกพันธนาการ』แทน
หลังสงครามจบ… มีเพียงหญิงสาวเท่านั้นที่รอดกลับมาพร้อมร่างเนื้อ จะมีก็แต่จิตใจเท่านั้นที่เริ่มกลับมาเหมือนเดิม ซึ่งนั่นมันไม่คุ้มเลยที่ไปแลกกับชะตากรรมของจักรวาล… นั่นคือสิ่งที่หญิงสาวคิด
แต่เพื่อนๆ ของหญิงสาว… เหล่าแม่ทัพทั้ง 6 กลับบอกว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีแล้วด้วยรอยยิ้ม… เพราะอย่างน้อยก็สามารถทำให้จอมมารที่ว่าสงบไปได้อีกนาน เพราะแม้จะระเบิดฆ่าตัวตายไป แต่ถ้าเกิดทำอะไรมันไม่ได้ขึ้นมา… นั่นต่างหากคือหายนะอย่างแท้จริง
เพียงแต่คนอื่นกลับไม่ได้คิดแบบนั้น… ทั้งพวกสภา 7 ปีกแล้วก็เหล่าเทพเจ้า ต่างก็บอกว่า หญิงสาวนั้นใจโลเลไม่แน่วแน่… หากใช้เวทย์ระเบิดจอมมารก็คงตายไปแล้ว ไม่ต้องมานั่งกังวลการคืนชีพของสัตว์ประหลาดแบบนี้หรอก หรือไม่ก็ หากจัดการอย่างเด็ดขาดกว่านี้ดาวของพวกตนคงไม่ล่มสลาย ทั้งที่นั่นไม่ใช่ความผิดของเธอเลย
หญิงสาวที่คิดว่านั่นเป็นความรับผิดชอบของตัวเอง ต้องแบกรับตราบาปที่เคยฆ่าเพื่อนสนิทและและทำให้พี่ชายหยุดเติบโต สั่งทหารจำนวนมากไปตาย ทั้งยังพลาดโอกาสสังหารจอมมาร.. หญิงสาวจึงรับหน้าแบกความผิดทุกอย่างไว้แต่เพียงผู้เดียว ก่อนที่จะหายไปในกลีบเมฆหลังสงครามจบลงโดยที่ไม่มีใครรู้สถานภาพปัจจุบันแม้แต่น้อย…
ชื่อของเธอถูกลบออกจากตำราสำหรับเผยแพร่ด้วยหลายๆ สาเหตุ… ซึ่งสาเหตุหลักก็มาจาก เพื่อให้ตำนานที่สร้างมาเพื่อเข้าข้างฝ่ายตัวเองมีความน่าเชื่อถือ… เพราะหากบอกว่าคนที่เป็นคนผนึกคือเธอไปหล่ะก็ ต้องเกิดคำครหาแก่ศาสนจักรเป็นแน่… ตำนานที่ถูกเล่าขานมาแต่อดีตจึงกลายเป็นผู้กล้าทั้ง 5 ปราบจอมมารไปแทน
และทั้งหมดนี้เองคือเรื่องเล่าของหญิงสาว… แม่ทัพคนที่ 7 ผู้ซึ่งไม่เคยเผยสีหน้าอื่นนอกจากความเฉยชาให้ผู้ใดได้เห็น…
❖❖❖❖❖
〝ละเอียดน่าดูนะ… เหมือนอัตชีวประวัติมากกว่าหนังสือประวัติศาสตร์อีกนะเนี่ย〞
กรที่ยังคงนั่งเอามือประสานกันอย่างตั้งใจตั้งแต่ต้นจนจบ ถามออกมาด้วยความสงสัย เมอร์ลินจึงตอบกลับไปในทันทีเพื่อเป็นรางวัล
〝มันต้องละเอียดอยู่แล้ว… ก็เจ้าตัวเขียนเองนี่นา… 〞
เมอร์ลินเอื้อมมือไปจับมันอีกครั้งนึงในจังหวะที่ตอบ
〝นี่เมอร์ลิน… คือเธอเองใช่ไหม? 〞
กรถามออกมาด้วยเสียงที่แหบพร่า เพราะกังวลจนไม่รู้ว่าจะใช้คำพูดยังไงดี เมอร์ลินที่ได้ยินคำถามทั้งที่คาดเดาได้อยู่แล้วแต่ร่างก็ยังกระตุกเล็กน้อยอยู่ดี ก่อนที่จะตอบกลับกรไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ปกติ
〝………………อืม ใช่แล้ว〞
〝งั้นเหรอ….. โทษทีนะ….〞
〝จะขอโทษทำไมกันเล่า…. ฉันเป็นคนอยากเล่าเองนะ…〞
〝ไม่หรอก… ขอโทษจริงๆ 〞
〝นายนี่มันจริงๆ เลยให้ตายสิ〞
กรขอโทษเมอร์ลินถึงสองครั้ง ที่ทำให้เธอนึกถึงเรื่องราวในอดีตอันขมขื่นเพราะความเอาแต่ใจตัวเอง
ให้ตายสิ… อีกแล้วสินะ ที่ทำให้คนอื่นลำบากใจ…
ไม่แม้แต่ทำให้มีอาเป็นห่วง…. แต่กับเมอร์ลินก็ยัง….
ถ้าเป็นคนอื่นนี่คงไม่สนจริงๆ ด้วย… แต่นี่ดันเป็นเมอร์ลินที่เรา—— เป็นคนที่เราแคร์ซะอีก…
อยากจะบอกว่า〝มันไม่ใช่ความผิดของเธอเลยนะ〞อยู่หรอก… แต่เจ้าตัวคงไม่เปลี่ยนความคิดหรอก…
แต่ว่า… จะปล่อยเป็นแบบนี้ไม่ได้…
ทำไมเธอถึงเล่าให้เราฟัง… ทำไมเธอถึงยอมเปิดใจ…
เหตุผลมันก็ง่ายๆ อยู่แล้ว… นั่นเพราะเธอกำลังรออยู่… รอให้มีใครยื่นมือไปช่วยยังไงหล่ะ…
〝เมอร์ลิน เธอหน่ะ———〞
〝ความกลัว… คือสิ่งที่ผูกมัดเราสองคน〞
เมอร์ลินพูดขัดจังหวะกรออกมาก่อนด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย แต่แววตากลับมีแต่แรงปรารถนาบางสิ่งจากชายที่อยู่ตรงหน้าเช่นกร
〝สิ่งนั้นผูกมัดกับจิตวิญญาณของเราจนยากจะลืม… ไม่สิ กระทั่งความผิดพลาดในอดีตมันก็คอยย้ำเตือนพวกเราอยู่ตลอดว่าห้ามลืม…〞
พรึ่บ!
〝มะ เมอร์ลิน! 〞
เมอร์ลินลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างกะทันหันจนผ้าที่ใช้โพกศีรษะเพื่อซับน้ำร่วงลงกองกับพื้น และเดินมาทางกรอย่างเร็ว เลยทำให้ผมที่ปล่อยตามธรรมชาติจนถึงสะโพกไม่ได้ผูกเปียอย่างเคยปลิวไสวไปมา นั่นทำให้กรตกใจจนส่งเสียงเรียกชื่อของเมอร์ลินกลับไปแทน
〝นายเองก็มีใช่ไหม… เรื่องที่ตัวเองทำไว้… เรื่องที่อยากจะแก้… ฉันกับนายหน่ะเหมือนกันนี่… เป็นพวก〘ใช้ชีวิตผิดพลาด〙มาตั้งแต่แรก〞
เมอร์ลินกล่าวถึงฉายาที่ทั้งกรและเธอต่างก็มีอย่างอ้อมๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในขณะเดียวกันก็เดินเข้ามาใกล้กรมากกว่าเดิม จนกรที่ทำอะไรไม่ถูกเพราะถูกกดดันต้องถอยร่นขึ้นเตียงไปอย่างช่วยไม่ได้
〝ใจเย็นก่อนสิเมอร์ลิน! 〞
〝นายเองก็ทรมานกับมันไม่ใช่เหรอ… การใส่หน้ากากที่บอกว่า『ไม่เป็นไร』ต่อหน้าคนอื่นหน่ะมันยังไม่พอสำหรับเราสองคนรึไง? 〞
〝………….〞
เมอร์ลินกำลังทนทุกข์กับอดีต… เหมือนกับเรายังกับส่องกระจกมองตัวเองไม่มีผิด…
เพราะอ่อนล้าและยอมแพ้กับตัวเองที่เป็นแบบนั้น… เลยกลายเป็นคนขี้รำคาญไปซะทุกเรื่อง… งี้เองสินะ…
จะต่างกับเราก็ตรงที่เรายอมแพ้… แล้วกลายเป็นพวกงอมืองอเท้า ไม่ยอมทำอะไรแทนนั่นแหล่ะมั้ง
ในโลกเดิม เพื่อไม่ให้เจ้าพวกนั้นเป็นห่วง ฉันถึงต้องแสร้งยิ้มออกมาเป็นบางครั้งในตอนที่โดนเสือมันอัด…
ตอนนั้นเราทั้งเหงาแล้วก็อ้างว้าง… แต่ก็บอกใครไม่ได้… ตรงนี้ทั้งเรากับเมอร์ลินก็คงเหมือนกัน…
เพื่อที่จะไม่แสดงด้านอ่อนแอให้ใครเห็น… เราทั้งสองคนถึงต้องทนสวมหน้ากากบ้าๆ นั่น
แต่ฉันรู้ว่าพวกรินไม่ได้โง่จนถึงกับดูไม่ออก… แต่จะให้ทำไงได้หล่ะ ก็ในเมื่อมันทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้…
ถ้าไม่ตีสีหน้าแบบนั้น ทุกคนจะไม่เป็นห่วงกว่าเดิมหรอกเหรอ… นั่นคือสิ่งที่ฉันในอดีตคิด…
ต่างจากเราที่แสร้งยิ้ม… เมอร์ลินที่สวมใบหน้าเฉยชาอาจจะหลอกคนอื่นน้อยกว่าเราด้วยซ้ำ…
ฉันเชื่อว่าเราทั้งคู่ต้องทำมันอย่างไม่รู้ตัว… ทั้งนั้นก็เพื่อปกป้องไม่ให้ใครเห็น… จิตใจที่อ่อนแออันแท้จริง ซึ่งซ่อนอยู่ในจุดที่ลึกที่สุดของจิตใจ… ความกลัวที่สูญเสียสิ่งสำคัญไปนั่นหน่ะ…
〝เพราะงั้นจะทนไปทำไมกันหล่ะ… ลืมไปซะมันสบายกว่าไม่ใช่รึไง? 〞
เมอร์ลินเดินมาจนถึงขอบเตียงก่อนที่จะลงเข่ากับตัวฟูก แล้วก็คลานเข่าเข้ามาหากรที่นั่งเหยียดขาอยู่ที่ริมผนังเพราะถอยร่นไปด้วยความตกใจ พลางช้อนตามองกรด้วยแววตาที่อ้างว้างและไร้ซึ่งประกาย
〝อึก! 〞
ในจังหวะที่กรทำตัวไม่ถูก เมอร์ลินก็เข้าประชิดตัวกร แล้วก็ขึ้นคร่อมกรในตำแหน่งเอวของเขาอย่างรวดเร็วจนกรที่ตั้งตัวไม่ติดถึงกับกลืนน้ำลายเพราะซ่อนความร้อนใจไม่อยู่
〝เพราะงั้น… ช่วยทำให้ฉัน… ลืมเรื่องพวกนั้นทีสิ…〞
เมอร์ลินขึ้นคร่อมกรที่นั่งเอาหลังพิงผนังห้อง พูดออกมาด้วยน้ำเสียงโมโนโทน
แตกต่างจากในห้องน้ำที่มีสีหน้าขี้เล่น… แววตาของเธอตอนนี้ช่างดูว่างเปล่าราวกับต้องการถูกเติมเต็มโดยบางสิ่ง
ไม่ใช่! ไม่ใช่แบบนี้…
ถึงเธอจะทำแบบนี้ไปมันก็ไม่ช่วยให้เธอลืมได้หรอก!
กะอีแค่เรื่องอย่างว่า… มันจะไปทำให้เธอในตอนนี้ลืมได้ยังไง!
ถ้าแค่ลืมแล้วไม่ต้องทนทุกข์… คนเราก็ไม่จำเป็นต้องสร้างความทรงจำแบบนั้นตั้งแต่แรกแล้ว
เธอแค่ต้องการคนที่ยอมรับตัวตนที่เป็นเธอเท่านั้น
เมอร์ลินที่จมอยู่กับอดีตที่ผิดพลาดและคิดว่าตัวเองตัดสินใจผิด…
ทั้งเมอร์ลินที่ชอบเล่นมุกลามก…… เมอร์ลินที่ขี้แกล้ง…
แล้วก็เมอร์ลินที่ชอบจิกกัดชาวบ้านนั่นหน่ะ…
ถ้าเราไม่มีมีอาที่ยอมรับตัวตนทั้งหมดของเรา เราเองก็คงไม่ต่างจากเมอร์ลินหรอก… เพราะงั้นมันก็เหมือนกันนั่นแหล่ะ
ต้องบอกเมอร์ลิน… มีแต่ต้องสื่อไปให้ถึงเท่านั้น
ว่าตรงนี้… ยังมีอยู่ตั้งคนนึงที่ยอมรับในตัวเธอ
ชึบ!
〝! 〞
ในขณะที่กรกำลังคิดเรื่องของเมอร์ลินอยู่ในหัว เมอร์ลินที่ขึ้นคร่อมกรอยู่นั้นก็พยายามเอื้อมมือไปยังปมเชือกที่ใช้รัดเสื้อคลุมอาบน้ำของตัวเองเพื่อหวังจะปลดมันออกพลางมองไปที่กรด้วยสายตาไร้แววแต่กลับดูเศร้าสร้อยอย่างน่าประหลาด กรจึงรีบคว้าข้อมือนั้นของเมอร์ลินไว้ก่อนเพราะเข้าใจเจตนาของเธอ
〝เมอร์ลิน… ถึงทำแบบนั้นไปก็ไม่ช่วยอะไร… เธอน่าจะรู้ดีที่สุดไม่ใช่เหรอ? 〞
〝……………〞
〝การสร้างความสุขอีกอย่างมาฝังกลบความรู้สึกในตอนนี้ มันไม่ได้ช่วยบดบังความทุกข์ทนที่มีมาแต่เดิมได้หรอกนะ〞
เมอร์ลินที่ไม่ได้อยู่ในสภาพปกติที่ทั้งไม่ได้ผูกเปียหรือใส่แว่นก้มตาลงต่ำ ราวกับนึกอะไรบางอย่างอยู่ ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ขมขื่นพลางมีน้ำตาปริ่มที่ขอบตาอย่างไม่สมกับเป็นเธอ พร้อมกับตะโกนส่งเสียงดังไปยังกรด้วยน้ำเสียงสั่นระรัว
〝แล้วจะให้ฉันทำยังไงกันหล่ะ!!!!! นายเองก็รู้นี่นา ว่าการต่อสู้อยู่คนเดียว มันน่ากลัวแล้วก็ทรมานแค่ไหน… ทั้งที่เป็นอย่างงั้น… กลับไม่มีใครมองเห็น… ซักคนเดียว〞
เมอร์ลินก้มหน้าลงอีกครั้งจนผมปรกหน้า ในจังหวะเดียวกันนั้น ที่น้ำตาของเธอตกลงที่หน้าอกของกร
ทั้งที่กรคิดว่าบางทีเธอคงไม่หลั่งน้ำตา แต่เหมือนจะคิดง่ายไปหน่อย… ความรู้สึกนี้คงถูกอัดอั้นมานานโดยไม่มีใครเหลียวแล… ไม่สิ… เหมือนกับตัวเขาเมื่อครั้งอดีต คนที่สร้างช่องว่างของตัวเองกับคนอื่นก็คือตัวเขาเอง
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้ว่าตัวเองกับเมอร์ลินนั้นเหมือนกัน แต่เพราะเป็นแบบนั้น… กรที่เคยเจอสถานการณ์เดียวกันถึงรู้… ว่าสิ่งที่เมอร์ลินต้องการที่สุดคืออะไร…
〝!!!! 〞
〝ไม่รู้หรอกนะว่าต้องการรึเปล่า… แต่ฉันเองก็เป็นคนที่มองเห็นเธอแล้วนี่…〞
กรเอื้อมมือขวาของตัวเองไปแนบแก้มของเมอร์ลินที่คริ่มตัวเองอยู่พลางเช็ดน้ำตาให้เธอทั้งสองข้าง ก่อนที่จะพูดสิ่งที่เมอร์ลินปรารถนาออกมาด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนพลางยิ้มให้กับเธออย่างอ่อนโยน…
〝นอกจากนั้น… ทั้งฟรังซ์หรือเคลเบรอส… พวกแม่ทัพที่เป็นเพื่อนของเธอ… หรือแม้แต่มีอา… ฉันเองก็ยังเชื่อว่าพวกเค้าต้องมองเห็นและเข้าใจเธอแน่! 〞
〝มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไง! ฉันหน่ะ… เพราะความอ่อนแอของฉันเลยทำให้จอมมารถูกผนึกแทนที่จะถูกฆ่านะ! พวกนั้นจะไปเข้าใจได้ยังไง 〞
เมอร์ลินเถียงกรกลับด้วยเสียงกระเส่า น้ำตาของเธอที่ยังไม่หยุดไหลก็ได้กรใช้มือของตัวเองปัดออกให้อีก
〝ผิดแล้ว! เธอหน่ะเป็นคนอ่อนโยนต่างหาก! มันคนละความหมายกันเลยกับคำว่าอ่อนแอ〞
〝มันจะต่างกันตรงไหน… เพราะผลลัพธ์มันออกมาแบบนี้…〞
น้ำเสียงของเมอร์ลินเริ่มกลับมาปกติ ไร้ซึ่งเสียงสะอื้นแต่ยังคงมีน้ำตาปริ่มอยู่ กรจึงไม่ปล่อยโอกาสที่จะใช้คำพูดเพื่อพยายามสื่อความคิดที่ตัวเองอยากจะบอกไปยังเมอร์ลิน ก่อนที่กรจะผละมือออกมาเองแล้ววางไว้ข้างลำตัวเช่นเดิม
〝ต่างสิ… เธอเองก็รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว… ไม่เห็นจะผิดตรงไหนเลย ที่เธอเลือกทำในสิ่งที่เธอจะไม่เสียใจทีหลัง〞
〝…………〞
〝กลับกันแล้ว… ถ้าเกิดเธอเลือกใช้เพื่อนตัวเองเป็นระเบิดมีชีวิต… ต่อให้จักรวาลปลอดภัยก็จริง แต่แบบนั้นมันดีจริงๆ เหรอ? 〞
เมอร์ลินที่ยังคงมีน้ำตาปริ่มอยู่ที่หางตาซ้ายหรี่ตาลงเล็กน้อยราวกับกำลังหาคำตอบของคำถาม
〝ในแง่ของผลลัพธ์ มันต้องดีกว่า———〞
〝ไม่มีทาง! การทำแบบนั้นไม่ทำให้ใครดีใจหรอกนะ… แม้กับคนที่ตายไปแล้วก็ตามที…〞
กรตัดบทคำตอบของเมอร์ลินในทันที เพราะคำตอบของเธอไม่ได้มาจากใจจริงอย่างเห็นได้ชัด…
〝แล้วจะบอกให้ยกโทษให้รึไง? กับตัวฉันที่ฆ่าเพื่อนสนิท…. กับที่พลาดโอกาสโค่นจอมมารก็เป็นเพราะฉันหน่ะ? 〞
〝การให้อภัยตัวเองมันก็ไม่ได้แย่อะไรนี่นา… แต่ถ้าทำไม่ได้ อย่างน้อยก็ช่วยฟังคำขอร้องที่เอาแต่ใจของฉันหน่อยได้รึเปล่า? 〞
〝? 〞
คิ้วของเมอร์ลินเลิกขึ้นเล็กน้อย เป็นอาการแสดงออกทางสีหน้าว่าไม่เข้าใจสิ่งที่กรบอก
〝ฉันยอมรับในตัวเธอเมอร์ลิน… ทุกอย่างที่เป็นเธอ ทุกสิ่งที่ฉันมองเห็นและรู้เกี่ยวกับเธอในตอนนี้…〞
〝!!! 〞
〝ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม… ฉันทั้งยอมรับและเชื่อสนิทใจ ต่อให้นั่นเป็นคำโป้ปดที่ไร้ซึ่งเศษเสี้ยวความเป็นจริงก็ตามที… เพราะงั้นหล่ะก็… หากเธอไม่ยอมรับตัวเธอในอดีต ที่ทำให้เป็นตัวเธอในตอนนี้… ฉันก็คงไม่รู้จะเชื่อในตัวเธอที่เป็นแบบไหนดี…〞
〝นี่…. นาย…〞
เมอร์ลินเป็นฝ่ายเบิกตาโพลงอีกครั้ง แก้มของเธอแดงก่ำในจังหวะที่คำขอร้องออกมาจากปากของกรเพราะความหมายแฝงที่เขาพูดออกมา มันไม่ต่างอะไรจากการสารภาพรักแม้แต่น้อย เธอเองก็รู้ว่ากรไม่ได้หมายความแบบนั้น แต่ก็อดดีใจไม่ได้อยู่ดี ที่คำพูดที่เธออยากได้ยิน ออกมาจากปากของคนที่เธออยากให้พูดแบบนี้….
สิ่งที่ตามออกมา จึงเป็นน้ำตาระลอกใหญ่ของเมอร์ลินที่พรั่งพรูออกมาทั้งสองข้างผ่านแก้มที่แดงก่ำของเธอลงไปจนถึงคาง มันได้ไหลออกมาพร้อมความรู้สึกที่เธอทำหล่นหายไปนานแสนนาน… ราวกับหน้ากากเมื่อครั้งอดีตซึ่งทับถมเป็นกำแพงสูงเพื่อปิดกั้นความรู้สึกของตัวเองของเมอร์ลินได้พังทลายลงแล้ว
〝ฮึก! นายนี่… เห็นแก่ตัวจริงๆ ฮึก! เอาแต่ได้ชะมัดเลย…〞
เมอร์ลินเริ่มที่จะอดสะอื้นไม่ไหว แต่ก็ยังไม่ได้ปล่อยโฮออกมาต่อหน้ากร
〝…ก็บอกไปแล้วนี่นา〞
〝บ้าเอ๊ย! คนอย่างนายนี่มันบ้าจริงๆ! 〞
〝ก็ว่างั้นแหล่ะ…〞
ทั้งสองคนโต้ตอบกันไปมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา เพราะเหนื่อยอ่อน เมอร์ลินที่เถียงกลับด้วยเสียงกระเส่าทั้งที่ยังก้มหน้า พยายามปลดปล่อยร่างกายจากความเครียดสะสม และเมื่อเธอผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่เกร็งมาตลอดตั้งแต่เริ่มสนทนาจนถึงตอนนี้ก็…
ตุ๊บ!
〝โอ๊ะ! 〞
เมอร์ลินที่หมดแรง ทั้งเพราะจิตใจได้รับการเยียวยาขึ้นมาบ้างและเพราะความปรารถนาถูกเติมเต็ม จึงตกเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของกรที่พึงผนังอยู่ตามระเบียบ กรที่รู้ว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้มาก จึงพยายามกอดเธอเอาไว้ในอ้อมอกเพื่อหวังให้เธอผ่อนคลาย แล้วลูบศีรษะเธออย่างอ่อนโยนไปพร้อมกัน
〝อุ่นจัง… เหมือนกับคุณแม่เลยหล่ะ〞
〝มุกเก่าแล้วนะนั่น… มันต้องเหมือนพ่อไม่ใช่เหรอ? 〞
กรตบมุกที่เมอร์ลินหยอดมาได้ในทันที แต่เพราะความรู้สึกที่ออกมาจากปากของเมอร์ลินนั้นเป็นของจริง กรจึงไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านี้
〝ฮึก! ขออยู่แบบนี้… ซักพักนะ〞
〝นึกว่าจะปล่อยโฮแล้วซะอีก… เธอเนี่ยเข้มแข็งจริงนะ〞
〝ฮึก! ไม่รู้ด้วยแล้ว….〞
เมอร์ลินยังคงซบที่อกของกรอยู่เกือบ 15 นาทีพลางสะอึกสะอื้นพร้อมกับเผยความอัดอั้นตันใจออกมาเรื่อยๆ ในเวลาเดียวกัน กรที่เห็นแบบนั้นจึงปล่อยเลยตามเลย แต่ก็ยังลูบศีรษะปลอบเธออยู่ตลอดจนกระทั่งเมอร์ลิเหนื่อยจนผลอยหลับไปเลยทีเดียว…
❖❖❖❖❖
หลังจากที่เมอร์ลินอ่อนเพลียจนหลับไป กรได้อุ้มเธอให้นอนขนเตียงตามปกติ อนึ่ง โชคยังดีที่ตัวเมอร์ลินนั้นแห้งอยู่ก่อนแล้ว กรจึงไม่ได้ถึงกับถอดเสื้อคลุมออก เพราถ้าเป็นแบบนั้นกรคงลำบากแน่นอนในหลายๆ ความหมาย
〝ถึงกับหลับไปเลยเหรอเนี่ย… คงจะอัดอั้นมานานหล่ะสินะ…〞
กรเลื่อนผ้าห่มมาห่มให้เมอร์ลิน ก่อนที่จะพึมพำแบบนั้นออกมาด้วยอารมณ์หลายๆ อย่างผสมปนเปอยู่ในหัว
นี่เรา… กำลังมองภาพสะท้อนของตัวเองอยู่รึไงกันเนี่ย….
กรมองใบหน้าของเมอร์ลินที่หลับปุ๋ยพลางเอื้อมมือไปลูบที่แก้มของเธออีกครั้ง แต่เมอร์ลินที่หลับอยู่กลับตอบสนองกลับมาด้วยการยิ้มออกมาราวกับลูกแมวจนกรอดที่จะอมยิ้มไม่ได้
แต่ว่า… เพราะแบบนั้นแหล่ะฉันถึงเข้าใจ…
บาปและความผิดพลาดที่ทำไว้หน่ะ ไม่มีวันลบล้างได้หรอก…
พวกเราต่างก็หยุดอยู่กับที่ เพราะถูกโซ่ตรวนจากอดีตผูกมัดไว้…
แต่ต่อจากนี้… จะเป็นแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว
คิดว่าเรื่องนี้คงสื่อไปถึงแล้ว… แต่ถึงบอกเมอร์ลินไปแบบนั้นก็เถอะ…
เราเองยังยอมรับไม่ได้เลย… ตัวเราในอดีตหน่ะ…
〝…..แต่อย่างน้อยก็เป็นเพราะ『อดีตนั่น』… ฉันถึงช่วย『คนสำคัญ』เอาไว้ได้บ้างหล่ะนะ〞
กรเลื่อนมือไปลูบศีรษะของเมอร์ลินอีกครั้งเบาๆ ก่อนที่จะยันตัวเองเพื่อลุกจากเตียง และเดินไปยังประตูเพื่อที่จะปล่อยให้เธอพักผ่อน แต่จังหวะที่กำลังจะก้าวพ้นห้องของเมอร์ลินกรกลับได้ยินเสียงที่เบาราวกับกระซิบมาจากเตียงที่เมอร์ลินนอนอยู่
〝ขอบคุณนะ〞
〝!!!! 〞
พอหันหน้ากลับไปตามเสียงนั้น ก็เจอกับเมอร์ลินที่นอนหลบหน้ากรหันหน้าเข้าหากำแพง กรจึงรู้ว่าเธอตื่นนานแล้ว
ชอบแกล้งกันจริงนะ… งี้ก็ได้ยินหมดเลยสิเนี่ย…
ทำไมถึงชอบตื่นไม่ให้ซุ่มให้เสียงอยู่เรื่อยเลยนะ…
〝หึ! ได้เห็นน้ำตาของเจ้าหญิงหน้าตายมันก็ไม่เลวนักหรอก…〞
〝หนวกหูย่ะ… ไปตายซะ! 〞
เมอร์ลินดึงผ้าห่มมาคลุมโปงทั้งที่ยังหันหน้าหนีกรอยู่ พลางตะโกนไล่กรเพื่อกลบเกลื่อนความอาย เพราะหากเธอรู้ว่าตอนนี้ตัวเองหน้าแดงจนถึงหูหล่ะก็ คงจะแปลกใจไม่ใช่น้อยเลย…
กรที่เห็นแบบนั้น กลับอมยิ้มออกมาอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ก่อนที่จะบอกลาสั้นๆ ว่า〝คร้าบๆ! 〞แล้วก็เดินออกจากห้องไป โดยปล่อยให้เมอร์ลินนอนหน้าแดงเป็นเนื้อแตงโมในผ่าห่มอยู่คนเดียว….
❖❖❖❖❖
ย้อนกลับไปเล็กน้อย ในเวลาเดียวกับที่กรก้าวเท้าเข้า-ออกห้องของเมอร์ลินด้วยความลังเล
ที่นี่คือห้องสมุดซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายของกร… ขนาดนั้นเรียกได้ว่าใหญ่โตมโหฬาร เมื่อก้าวเข้าไปครั้งแรก สิ่งที่พบคือระเบียงครึ่งวงกลม โดยด้านซ้ายและขวาคือบันได ที่ไว้ใช้ลงและขึ้นตามลำดับ วัสดุที่ใช้สร้างทั้งห้องสมุดนั้นคือ ไม้เนื้อดีที่ฟรังซ์ ออลเดลคัดสรรค์มาแล้วทั้งสิ้น…
หากมองลงไปจากระเบียงจะมองเห็นห้องโถงขนาดใหญ่ทรงกลมที่มีตู้หนังสือวางเรียงรายเป็นแถวจำนวนมาก ทั้งสี่มุมของห้องยังมีห้องสมุดย่อยอีก และหากมองขึ้นไปด้านบนก็จะพบกับชั้นหนังสือที่วางเรียงรายติดผนังห้องสูงขึ้นไปถึงเพดานก็ปาเข้าไป 10 เมตรแล้ว…
ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ———
เสียงวิ่งเบาๆ ของเด็กสาวคนหนึ่ง ดังก้องทางเดินมาแต่ไกล จนมาถึงทางเข้าของห้องสมุด
และเมื่อเด็กสาววิ่งเข้ามาจนถึงระเบียง ก็รีบวิ่งไปที่ขอบระเบียงของห้องสมุด เธอกวาดสายตามองลงไปด้านล่างเพื่อหาใครบางคนอยู่…
〝กร! เอ๋ ไม่อยู่หรอกเหรอ…〞
เด็กสาวนามว่า มีอา ส่งเสียงเรียกชื่อของกรเบาๆ ด้วยข้อสงสัยที่มองไม่เห็นเจ้าตัว…
หลังจากอาบน้ำเสร็จ กรมักจะมานั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ห้องสมุด ดังนั้นมีอาที่อาบน้ำเสร็จแล้วจึงจะตามมาสมทบกับกรที่นี่เป็นประจำเช่นกัน นั่นจึงทำให้มีอาประหลาดใจไม่ใช่น้อย
มีอาที่คิดว่าตัวเองอาจจะมองพลาดไปตรงไหนจึงมองลงไปอีกครั้ง แล้วก็พบเข้ากับเด็กชายที่นั่งเก้าอี้ชิดโต๊ะยาว กำลังเปิดหน้าต่างอะไรบางอย่างอยู่กับชายวัยกลางคนสวมชุดพ่อบ้าน ซึ่งแน่นอนว่านั่นเป็นใครไปไม่ได้นอกจากฟรังซ์ ออลเดลในชุดองค์ชายกับเคลเบรอสร่างมนุษย์ในชุดพ่อบ้าน มีอาจึงไม่รอช้าที่จะกระโดดลงไปที่พื้นชั้นล่างสุดโดยไม่เสียเวลาลงบันได ทั้งที่มีความสูงถึง 20 เมตร แต่ด้วยสเตตัสของมีอาในตอนนี้ย่อมไม่เป็นปัญหาอยู่แล้ว
〝อ้าวๆ คุณหนู… ทำไมไม่ลงบันไดมาดีๆ หล่ะเนี่ย? 〞
ฟรังซ์นั้นยังคงนั่งมองหน้าต่างที่อยู่ตรงหน้า เพราะแม้จะไม่ได้มอง แต่ก็สัมผัสได้ว่าเป็นมีอา คนที่ถามออกมาจึงเป็นเคลเบรอสแทน…
〝กำลังหาตัวกรอยู่หน่ะคุณหมา… ว่าแต่เห็นกรบ้างรึเปล่า? 〞
〝ฮะฮ่ะ! งั้นหรอกเหรอ… แต่เสียใจด้วย ข้าไม่เห็นหรอก〞
〝งั้น… หรอกเหรอ〞
มีอาทำเสียดายออกมาอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่จะบอกทั้งสองคนว่า〝ขอบคุณนะทั้งสองคน งั้นฉันไปหากรก่อนนะ〞 แล้วจึงทำท่าจะกระโดดกลับขึ้นไปโดยไม่สนบันไดอีก แต่พอเธอเหลือบไปเห็นหน้าต่างที่ฟรังซ์กำลังดูอยู่เพียงเสี้ยววินาที ก็เบิกตาโพลงในทันทีทั้งที่อยู่ในท่าเตรียมกระโดด…
หน้าต่างแบนราบที่ถูกเปิดในแนวสายตาที่ฟรังซ์กำลังดูอยู่นั้น… มันคล้ายกับเป็นวิดีโอย้อนหลัง ซึ่งมีฉากหลังเป็นชั้นที่ 23 ของดันเจี้ยนแห่งนี้ แต่ที่ทำให้มีอาชะงัก คือตัวเอกที่กำลังแสดงอยู่บนหน้าต่างจอแสดงภาพเคลื่อนไหวนั้นต่างหาก
〝คุณฟรังซ์คะ… นั่นหน่ะ กรใช่ไหม? 〞
〖หืม? อ่อ… ถูกต้องแล้วครับคุณมีอา〗
แม้จะกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ก็ตาม แต่เด็กหนุ่มก็ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติอย่างเคยแทบจะทันทีที่ได้ยินคำถาม
กับฟรังซ์นั้น มีอาเลือกที่จะใช้ท่าทีที่สำรวมและคำพูดสุภาพ เพราะเป็นถึงคนให้ที่พักและอาหาร ทั้งยังเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตกรไว้ตั้ง 2 ครั้ง และแม้จะนับเพียงวัยวุฒิ ฟรังซ์ก็ยังแก่กว่าเธอโข นั่นจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว จะมีก็แต่กรเท่านั้นที่เรียกอย่างไม่เกรงใจ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มขี้เล่นคนนี้ไม่พอใจแม้แต่น้อย…
〖นี่เป็นบันทึกการต่อสู้ของคุณอุษณกรเมื่อเดือนที่แล้วหน่ะครับ… เป็นตอนที่เขาตายและจุติครั้งแรก〗
〝……………….〞
มีอาลุกขึ้นยืนและยื่นหน้าเข้ามาใกล้กับจอ บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเธอสนใจมันอย่างสุดๆ นั่นเลยทำให้ฟรังซ์กับเคลเบรอสหัวเราะแห้งๆ ออกมาพร้อมกัน แล้วพอชวนมีอาให้มาดูด้วยกัน มีอาก็รีบวิ่งแจ้นเข้ามายืนดูอยู่ด้านหลังของฟรังซ์อย่างไว
〝ว่าแต่สุดยอดไปเลยนะคะ… กรหน่ะเป็นคนที่มีสเตตัสทั่วไปแท้ๆ แต่ยังสามารถสู้กับมอนสเตอร์ชั้นสูงได้ขนาดนี้〞
มีอาเอียงคอสงสัยต่อภาพที่อยู่ตรงหน้า… อนึ่ง ภาพเคลื่อนไหวในตอนนี้ คือภาพของกรที่หลบการโจมตีมอนสเตอร์ทั้ง 5 ตัว ซึ่งเป็นตอนก่อนที่กรจะเจ็บสาหัส…
〖นั่นแหล่ะครับที่น่าสงสัย… ไม่มีทั้งฉายาและสกิลที่ใช้กู้สถานการณ์ได้เลยแท้ๆ … ถึงคุณอุษณกรจะมี『สุดยอดการประมวลผล』 เลยทำให้พอหลบการโจมตีทั้งหมดได้ก็เถอะ… แต่ที่น่าสงสัยที่สุดคงจะเป็นตอนนี้หล่ะมั้งครับ….〗
〝!!!! 〞
มีอายกมือทั้งสองข้างขึ้นมาป้องปาก ในช่วงที่ฟรังซ์เลื่อนภาพไปยังจุดที่กรโดนการโจมตีของมอนสเตอร์จนแขนซ้ายขาด หน้าอก ท้องและต้นขาขวาก็ถูกดาบเสียบอยู่ ในจังหวะที่น้ำตาของมีอาร่วงหล่นด้วยความเศร้าโศก เคลเบรอสก็เป็นคนปลอบเธอ แต่มีอาก็เช็ดน้ำตาออกแทบจะทันที
แววตาของเธอกลับมาไร้แววอีกครั้ง… นั่นคือตอนนี้มีอากำลังเข้าสู่โหมด『อัลติเมทมีอา』เพราะโกรธจัดนั่นเอง ก่อนที่จะเอ่ยถามฟรังซ์ออกมาด้วยเสียงเรียบๆ ราวกับน้ำตาที่ไหลก่อนหน้านี้เป็นของปลอมยังไงอย่างงั้น
〝มีอะไรน่าสงสัยในตัวกรเหรอคะ〞
〖อืม… คอยดูนะครับ…〗
แม้จะถูกถามด้วยเสียงเรียบๆ จนดูสยอง แต่ฟรังซ์กลับไม่ได้คิดมาก… เขาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงปกติ ก่อนที่จะเลื่อนภาพไปในตอนที่กรก้าวผ่านความสิ้นหวังและยืนหยัดขึ้นมาอีกครั้ง ในเวลาเดียวกัน นั่นก็ทำให้แววตาของมีอากลับมามีประกายอีกครั้ง เคลเบรอสที่ยืนอยู่ข้างๆ นั้นถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเลยทีเดียว
〝กร… ยืนขึ้นมาได้? 〞
〖ลองสังเกตที่ปากแผลดีๆ สิครับ…〗
มีอาและเคลเบรอสต่างก็หรี่ตาลง เพราะคำพูดของฟรังซ์ ทั้งสองต่างก็จ้องตัวกรที่ลุกขึ้นมานั่นตาเป็นมัน แล้วก็ต้องพบกับความเป็นจริงที่น่าตกใจ
〝เลือดไหลช้าลง… แทบจะหยุดเลย? 〞
〖ครับ… ปากแผลนั้นไม่ได้หยุดสนิทก็จริง แต่ก็สมานตัวกันด้วยความเร็วที่น่าตกใจมาก… แล้วทั้งที่เสียเลือดไปมากขนาดนั้นแท้ๆ แต่กลับยังขยับได้ตั้งขนาดนั้น ถึงจะจบลงที่อวัยวะภายในเสียหายจนถึงแก่ความตายตามปกติที่ควรก็จริง แต่คิดยังไงมันก็แปลกอยู่ดีครับ…〗
ฟรังซ์สัมผัสหน้าจอเพื่อเปลี่ยนภาพเป็นเคลื่อนไหวอีกครั้ง พร้อมกับปล่อยให้กรในหน้าต่างบรรเลงเพลงศึกอย่างบ้าคลั่งกับมอนสเตอร์ทั้ง 5 คนจนจบ ไม่ว่าจะเป็นมีอาหรือเคลเบรอสต่างก็อึ้งกิมกี่จนถึงขนาดร้องออกมาเป็นพักๆ ว่า〝ใช่มนุษย์แน่เหรอนั่น? 〞เลยทีเดียว
〖และที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือนี่ครับ….〗
ฟรังซ์ไม่รอช้าที่จะเปิดบันทึกหน้าต่างค่าสเตตัสของกร ซึ่งถูกบันทึกโดยเวทย์ตรวจสอบเฉพาะตัว ที่คิดค้นโดยเมอร์ลิน
เมอร์ลินและฟรังซ์เคยตั้งข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับสเตตัสว่า ค่าที่แสดงอยู่ในหน้าต่าง อาจจะไม่ใช่ค่าคงตัวเสมอไป… หากแต่อาจจะเป็นค่าเฉลี่ยของตัวเลขสเตตัสที่บุคคลนั้นสามารถสร้างได้ต่างหาก…
หากยกตัวอย่างง่ายๆ …. เมื่อคนเราต้องการขว้างวัตถุชนิดหนึ่งเช่นลูกบอล ระยะทางที่ได้ย่อมไม่เท่ากันในแต่ละครั้ง… ดังนั้นสิ่งที่จะใช้วัดเป็นค่ามาตรฐานเฉพาะตัวของสเตตัสนั้นๆ คงต้องมาจากค่าเฉลี่ยที่คนๆ นั้นสามารถทำให้เป็นไปได้เป็นแน่ ซึ่งทั้งฟรังซ์และเมอร์ลินต่างก็ทดลองและสรุปแล้วว่าข้อสันนิษฐานนี้มีความเป็นจริงสูงถึง 97%
เทียบเป็นกราฟเข้าใจง่ายๆ … ไม่ว่าจะเป็นค่าสเตตัสของใครก็ตาม ระหว่างที่ทำกิจกรรมซึ่งเกี่ยวข้องกับค่าสเตตัส กราฟของบุคคลนั้นมักจะเป็นกราฟเส้นตรงที่แทบจะขนาดกับแกน X ซึ่งก็แน่นอนอยู่แล้ว ว่าถึงแม้การโยนบอลแต่ละครั้งจะไม่เท่ากัน… แต่ยังไงก็คงไม่มีทางเบี่ยงเบนไปจากค่าเฉลี่ยมากเกินไปแน่นอน
แต่ในกรณีของกรนั้น… กราฟการเปลี่ยนแปลงของสเตตัสที่วัดได้เมื่อเข้าปะทะกับมอนสเตอร์นั้น พุ่งขึ้นสูงจนผิดปกติ… หากเทียบกับบุคคลทั่วไปที่เป็นกราฟเส้นตรง ของกรนั้นก็คือ… กราฟแบบพาราโบลาที่ตัวเลขโด่งขึ้นไปถึงจุดสูงสุดและลากกลับมาเท่าเดิมต่อไปเรื่อยๆ ยังกับกราฟ SIN Curve หรือเหมือนกับกราฟแสดงคลื่นไหวสะเทือนจากแผ่นดินไหว ยังไงอย่างงั้น
หากตีเป็นตัวเลข… ค่าสเตตัสของกรก่อนเข้าปะทะในช่วงแรก คือประมาณ 200 แต่ในจังหวะที่เข้าปะทะสเตตัสกลับพุ่งขึ้นสูงอย่างไม่น่าเป็นไปได้ถึง 30 เท่า ตั้งแต่น้อยสุดที่ 2,000 จุดจนถึงจุดสูงสุดที่เกือบ 7,000 จุดเลยทีเดียว
ค่าสเตตัสของกรก่อนเข้าปะทะในช่วงหลังจากที่ฆ่ามอนสเตอร์ตัวแรกได้ คือประมาณ 900-1,000 แต่ในจังหวะที่เข้าปะทะสเตตัสกลับพุ่งขึ้นสูงอย่างสะเปะสะปะ ตั้งแต่น้อยสุดที่ 5,000 จุดจนถึงจุดสูงสุดที่เกือบ 15,000 จุดเลยทีเดียว ซึ่งนั่นมันผิดธรรมชาติเอามากๆ จนไม่สามารถหาคำอธิบายได้… และแน่นอนว่าจนตอนนี้ทั้งฟรังซ์และเมอร์ลิน ต่างก็ยังไม่เข้าใจ
จะมีก็แต่เมอร์ลินเท่านั้นที่คิดว่าอาจจะเป็นเพราะข้อสันนิษฐานของตัวเองยังขาดตัวแปรบางอย่างก็เป็นได้ และเป็นเพราะตัวกรในตอนนี้มีพลังมากถึงขนาดไม่ต้องสนใจรายละเอียดในจุดนั้น (ถึงความจริงแล้วจะเป็นเพราะเมอร์ลินรำคาญที่จะคิดต่อแล้วก็ตาม) แต่กับฟรังซ์นั้นเขากลับคิดในอีกแง่นึง…
〖นี่เป็นแค่ข้อสันนิษฐานของผม… บางทีคุณอุษณกรหน่ะ… อาจจะไม่ใช่แค่ผู้กล้าที่อ่อนแอที่สุดธรรมดาๆ ซะแล้วหล่ะครับ…〗
〝〝!!!? 〞〞
แม้ในแท็กแสดงเผ่าพันธุ์ของกรเมื่อครั้งอดีตก่อนจะจุติ จะแสดงว่าเขาคือ『มนุษย์』อย่างชัดเจน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ฟรังซ์ เลิกกังขาได้ว่าเขานั้นใช่『มนุษย์ธรรมดา』แน่รึเปล่า? แต่อย่างใด
ทั้งสามคนต่างก็ทำหน้าสงสัยแบบเดียวกัน เพราะไม่รู้ข้อมูลอะไรและอธิบายอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย… จนกระทั่งเจ้าตัวเช่นกรที่เดินมาถึงห้องสมุดลงมาเจอกับทั้งสามคน ทั้งสามคนต่างก็ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่ตนควรถาม โดยเฉพาะมีอาที่ห่วงความรู้สึกของกรเลยไม่ถามออกไปและจ้องทั้งสองคนด้วยแววตาน่าขนลุก เรื่องนี้จึงจบลงแต่โดยดี? โดยที่กรไม่รู้…
แต่ถึงทั้งสามคนจะถามออกไปก็คงไม่ได้คำตอบอยู่ดี… เพราะความจริงเกี่ยวกับตัวของชายชื่ออุษณกรนั้น แม้แต่เจ้าตัวเองยังไม่ทราบเลยด้วยซ้ำ ว่าจะมีความลับสุดยอดแบบไหนรออยู่เบื้องหลังความสามารถพิเศษที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดของเขานั่นกันแน่…
❖❖❖❖❖