ชีวิตบัดซบเพราะถูกส่งมาต่างโลก เลยสร้างปาร์ตี้สุดโหดไปตบเกรียน - ตอนที่ 41 ขั้วอำนาจทั้งสองในหมู่นักเรียนผู้กล้า
- Home
- All Mangas
- ชีวิตบัดซบเพราะถูกส่งมาต่างโลก เลยสร้างปาร์ตี้สุดโหดไปตบเกรียน
- ตอนที่ 41 ขั้วอำนาจทั้งสองในหมู่นักเรียนผู้กล้า
หลังจากกองทหารของฮันซี่กลับมาจากภารกิจค้นหาตัวกรที่ถูกวาร์ปเข้าไปในมหาดันเจี้ยนโบราณ ก็ผ่านมาแล้วถึงหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่กรชนะทศกัณฑ์และเคลียร์ดันเจี้ยนสุดหฤโหดได้พอดิบพอดี…
หากปล่อยไว้นานนักเรียนผู้กล้าทุกคนจะยิ่งระสับระส่าย ดังนั้นพอทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ฮันซี่จึงเรียกรวมตัวทุกคนแล้วประกาศเรื่องที่กรเสียชีวิตไปแล้วในดันเจี้ยนอย่างเป็นทางการในทันที
และแน่นอนว่านั่นทำให้ทุกคนช็อคมาก แต่ไม่ได้หมายความถึงว่าตกตะลึงเมื่อเพื่อนร่วมโรงเรียนอย่างกรตาย เพราะนักเรียนส่วนใหญ่ไม่ได้ชอบกรมากนัก… แต่เป็นความตกตะลึงจากการที่มีคนตายจากอุบัติเหตุในการฝึก ทำให้ตระหนักได้ว่าตอนนี้ตัวเองไม่ได้อยู่ในโลกที่สงบสุขอีกต่อไปแล้ว และกำลังถูกฝึกเพื่อเป็นทหารไปสู้รบกับเผ่าอื่น เนื่องจากนั่นเป็นทางเดียวที่จะได้กลับบ้าน แถมนั่นยังเป็นแค่เรื่องแต่งของพระราชาอีกต่างหาก นั่นจึงทำให้ทุกคนหดหู่ไปนานมากเลยทีเดียว แต่ฮันซี่ก็ไม่ใจร้ายไส้ระกำขนาดที่จะบังคับนักเรียนที่ไม่มีกระจิตกระใจฝึก เขาจึงปล่อยให้ทุกคนจัดการความคิดของตัวเองอยู่นานพอสมควร จนกว่าที่งานศพของกรจะจบลง…
❖❖❖❖❖
ข้างในโลงศพมีเพียงแขนซ้ายของกรถูกพันผ้าสีขาวไว้เท่านั้น ตัวโลงวางไว้บนโต๊ะไม้คล้ายกับนั่งร้านต่ำๆ ชิดกับกำแพงห้องโถงห้องหนึ่งในราชวังตรงจุดที่อยู่ในสุด ล้อมรอบไปด้วยดอกไม้มากมายหลายชนิด ด้านหน้าก็มีรูปภาพของกรเป็นสีขาวดำโดยใช้เวทย์มนต์จำลองออกมา พร้อมถึงมีกระโถนปักธูปเทียนและพวงหรีด ตามพิธีศพของไทย ดังที่พวกรินขอไว้ แล้วพอเคารพศพเสร็จในวันนี้ก็จะนำทั้งโลงไปฝังโดยที่ไม่มีการสวด และจะสร้างป้ายหลุมศพตามประเพณีทหารของกองอัศวินอาณาจักรอาลันต่อไป…
〝ริน… ไม่เป็นไรใช่ไหม? 〞
〝เนย… อื้ม ไม่เป็นไรหรอก…〞
รินคลานเข่าออกมาอย่างสุภาพหลังจากที่ทำการนำธูปไปปักพร้อมกับเพื่อนสนิทสาวอีกคนซึ่งก็คือเนย ที่ทำผมทรงทวินเทลแบบต่ำสุดๆ นั่นเอง พอเห็นว่ารินดูเหนื่อยล้า เธอจึงถามออกมาด้วยความเป็นห่วง แต่รินที่บอกว่าไม่เป็นไรก็ดูไม่ค่อยหน้าเชื่อถือเท่าไหร่… แต่ก็แหงหล่ะ ผู้ชายที่ตัวเองชอบต้องมาด่วนจากไปแบบนี้ ใครหล่ะจะไม่เจ็บ… เนยคิดแบบนั้นอยู่ในใจจึงไม่ได้ซักไซ้ไล่ความต่อ แล้วเดินออกไปให้คนอื่นมาเคารพศพกรบ้าง
〝ริน มานี่แปปนึงสิ!!! 〞
〝อืมชาญ! แปปนึงนะเนย เดี๋ยวฉันกลับมา! 〞
〝อย่าฝืนหล่ะริน! 〞
〝อื้ม! 〞
รินถูกชาญกวักมือเรียก เธอจึงรีบวิ่งไปหาโดยที่มีอลิซและโชตยืนรออยู่ด้วยเหมือนกัน
〝มีอะไรเหรอชาญ? 〞
〝ริน… เธอคงไม่ได้บอกเนยใช่ไหม ว่ากรยังไม่ตายหน่ะ…〞
〝อย่าห่วงเลย… ฉันยังไม่ได้บอกใครเลย…〞
〝อื้ม ดีแล้วหล่ะ…〞
ชาญเตือนรินอีกครั้ง เพื่อไม่ให้เธอเผยความลับโดยไม่จำเป็น รินเองก็พยักหน้าตอบอย่างจริงจัง โดยที่หันหน้าไปมาเพื่อระวังว่าจะมีคนได้ยินรึเปล่าด้วยเช่นกัน
เรื่องที่กรยังไม่ตาย ต้องเก็บเป็นความลับ…
ปากของชาวบ้านมันไปไวกว่าแสงเสียอีก… ถ้าเกิดแพร่งพรายออกไปแม้เพียงคนเดียว มันต้องไปถึงหูของคนที่ไม่อยากให้รู้ที่สุด… ต้องไปถึงหูของเสือแน่นอน
เพราะงั้นไม่ใช่แค่ไม่บอกใคร… แต่ต้องพยายามทำเป็นว่ากรตายไปแล้วด้วย… นี่คงจะดีที่สุดแล้ว
นี่คงเป็นเรื่องที่เราควรทำในเวลาเดียวกับแผนการตามหากรในระยะยาว
ก็รู้ว่ามันยากหล่ะนะ แต่ก็คิดวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ออกแล้ว————
〝ว้าๆ!!!! นี่มันแย่จริงๆ เลยแฮะ… เป็นเพราะไอ้โอตาคุแท้ๆ ทุกคนถึงสลดกันหมด…〞
〝〝〝!!!!!! 〞〞〞
เสียงของคนบางคนพูดโพล่งออกมากลางงานศพของกรขัดจังหวะความคิดของชาญอย่างหน้าระรื่นและไร้มารยาท ซึ่งก็แน่นอนว่าไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นคนที่ชาญกลัวที่สุด เสือนั่นเอง…
〝ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเมื่อปีที่แล้วหรือตอนนี้ ไอ้โอตาคุนี่ก็สร้างปัญหาให้พวกเราตลอดเลยน้า〞
เพราะกรถูกดูแคลน อลิซและโชตจึงกำหมัดแน่นและเตรียมอ้าปากตะโกนกลับไปแล้ว เพียงแต่ถูกชาญจับมือไว้ และมองด้วยสายตาจริงจังว่าให้ใจเย็นๆ ไว้ก่อน
แล้วซักพักความไม่พอใจนั้นก็ถูกส่งต่อไปยังคนที่อยู่ในงานศพด้วย…
【จะ… จริงด้วย เพราะหมอนี่นั่นแหล่ะ!!!!! 】
【เดี๋ยวสิ… เขาตายแล้วนะ มาพูดถึงคนตายเสียๆ หายๆ แบบนี้หน่ะมัน….】
【จะ… จริงด้วย เพราะหมอนี่นั่นแหล่ะ!!!!! 】
【ใครสนกันเล่า! เป็นเพราะมัน… เป็นเพราะมันคนเดียว พวกเราถึงตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้!!!! 】
【อะไรกัน… โทษเขาคนเดียวแบบนั้นมันไม่ถูกนะ!!! 】
【เดี๋ยวสิ! ใจเย็นกันหน่อยทุกคน!! 】
เหล่านักเรียนที่ถูกปลุกปั่นด้วยคำพูดไม่กี่ประโยคของเสือ เริ่มโต้เถียงกันด้วยความร้อนรนกระวนกระวาย ทั้งยังโทษว่าเป็นความผิดของกรที่ตายไปแล้วอย่างไร้แก่นสารอีกต่างหาก ด้วยคำพูดที่ทำให้ทุกคนนึกถึงเหตุการณ์หนึ่งขึ้นมา นั่นจึงยิ่งทำให้ความเกลียดชังในตัวกรเพิ่มขึ้นในหมู่คนส่วนใหญ่เป็นอย่างมากทั้งที่กำลังอยู่ในงานศพของกรแท้ๆ
และแน่นอนว่าคนที่กำลังกัดฟัน และได้แต่ดูอยู่เฉยก็มีแต่พวกรินเท่านั้น เหมือนกับตอนที่เสือแฉสเตตัสของกรในตอนที่มาโลกนี้ครั้งแรก พวกรินยังคงทำได้แต่ดูอยู่เฉยๆ … ทำไมงั้นเหรอ? นั่นเป็นเพราะสาเหตุของความเกลียดชังในตัวของกรนั้น มันมาจากความสัมพันธ์ของทั้งห้าคนยังไงหล่ะ
รินและอลิซนั้นชอบกรที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กมาตั้งแต่ช่วงประถมแล้ว เพียงแต่ความรู้สึกพึ่งจะมาชัดเจนเอาก็ตอนที่พ่อแม่ของกรเสีย… พอขึ้นมา ม.ปลาย ที่เป็นช่วงวัยคะนองและหัวลิ้วหัวต่อ ทั้งอารมณ์ยังแปรปรวนง่ายจากหลายๆ สาเหตุ ทั้งปัญหามากมายรุมเร้าและฮอร์โมนในตัวเปลี่ยนไปในวัยรุ่นอายุเท่านี้ และที่แน่นอนที่สุดก็คือ ปัญหาเรื่องความรักนั่นเอง…
รินและอลิซสนิทสนมกับกรมากทั้งที่โรงเรียนและนอกโรงเรียน แต่ดูเหมือนจะสนิทมากไปหน่อย… มากเสียจนนักเรียนชายคนอื่นต่างพากันอิจฉา เพราะทั้งสองคนเป็นถึงระดับไอดอลของโรงเรียน… ในช่วงแรกก็เป็นแค่ความไม่พอใจธรรมดา แต่พอพวกผู้ชายทั้งหลายถูกปฏิเสธบ่อยๆ เข้า มันก็เริ่มทับถมขึ้นจนกลายเป็นความริษยาและความเกลียดชังในตัวกรที่ไม่มีอะไรซักอย่างแต่กลับถูกห้อมล้อมไปด้วยบุปผางามที่ทุกคนหมายปอง นั่นจึงเป็นผลลัพธ์ของความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเกินไปของทั้ง 5 คน
แม้ความจริงจะเป็นเพราะกรต้องทำตัวธรรมดา เพื่อปิดเรื่องสุดยอดการประมวลผลไว้ตามคำแนะนำของคุณหมอ เขาเลยจงใจทำให้ทั้งคะแนนสอบและความสามารถทางกีฬาอยู่ต่ำกว่ามาตรฐานเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้คิดเรื่องที่ว่าจะเป็นจุดสนใจเพราะมีรินและอลิซมาเกาะติดแม้แต่น้อย… ครั้นจะไล่ทั้งสองคนหรือตีตัวออกห่าง กรก็ไม่อยากทำ… ไม่สิ ไม่มีวันทำต่างหาก พวกรินและอลิซเองก็พอรู้อยู่ว่าควรจะเว้นระยะห่างบ้าง… แต่เป็นเพราะกรบอกว่า ไม่ต้องแคร์เพื่อรักษาน้ำใจของทั้งสอง ที่ไม่ต้องการให้กรโดดเดี่ยว เพราะไม่มีญาติเหลืออยู่ซักคน… กรจึงบอกปัดไม่ถูก
และแล้วเรื่องที่ทำให้ความเกลียดชังในตัวของกรทวีความรุนแรงขึ้นจนถึงขึ้นแตกหัก ที่คนเกือบทั้งโรงเรียนเกลียดกร ก็มาจากเสือนั่นเอง…
ในช่วง ม.4 เทอมสอง เสือที่เพิ่งย้ายเข้ามาในโรงเรียนด้วยวิธีสรรหานักเรียนภายนอกในเครือเดียวกัน ก็เกิดเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับพวกรุ่นพี่ทั้งในและนอกโรงเรียนเป็นประจำ… แต่แล้ววันหนึ่งที่เสือเห็นกรในโรงเรียน อยู่ดีๆ ก็เข้าไปท้าตีท้าต่อยกรอย่างไม่มีสาเหตุถึง 2 ครั้ง แล้วการทะเลาะครั้งที่สามนี้เอง ที่กรจงใจพูดบางสิ่งออกไปต่อหน้าไทยมุงจำนวนมากกว่าครึ่งของโรงเรียนเพื่อพุ่งเป้าความเกลียดชังมายังตัวเองอย่างจงใจ นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้กรเป็นจุดเริ่มต้นของความเกลียดชัง… ดังนั้นพวกรินจึงไม่อยากสร้างความเกลียดชังมากขึ้นไปอีก เพราะหากออกตัวปกป้องกระแสต่อต้านก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น พวกเธอจึงทำได้แค่นั้นมาตลอด แม้กรจะตายไปแล้ว แต่ความเกลียดชังก็ยังคงอยู่… พวกเธอจึงยังคงทำได้แค่กัดฟันเท่านั้น
〝ฉันที่เข้าไปด้วยก็ไม่เห็นเป็นอะไรแท้ๆ … เพราะอ่อนแอนี่แหล่ะน้าถึงทำให้ทุกคนลำบากหน่ะจริงไหม? 〞
【ใช่แล้ว เพราะมันนั่นแหล่ะ!!!!! 】
【ถ้าทุกอย่างไปได้สวย เราก็จะได้กลับบ้านแล้วแท้ๆ เชียว! 】
เสียงก่นด่าเริ่มรุนแรงและเห็นด้วยกับเสือมากขึ้น ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยก็ได้แต่นิ่งเงียบเพราะสู้จำนวนไม่ไหว คำพูดที่ออกมานั้นทั้งไร้สาระและเป็นคำกล่าวโทษเกินจริงทั้งสิ้น แต่สาเหตุนั่นคงเป็นเพราะทุกคนต้องการหาที่ระบายความเครียดอีกเช่นเคยนั่นแหล่ะ สำหรับนักเรียนผู้กล้าส่วนใหญ่ กรเป็นตัวตนแสนชั่วร้ายไปตั้งแต่ที่ถูกเสือชักจูงไปเรียบร้อย และเดิมทีคนส่วนใหญ่ก็ทำเป็นเมิน ไม่ก็เห็นด้วยกับที่เสือแกล้งกรเป็นประจำอยู่แล้ว สถานการณ์จึงเป็นไปในทางที่เสือได้เปรียบด้วยประการฉะนี้ แต่ว่า….
〝ทุกคน สงบสติอารมณ์กันหน่อย!!!! 〞
เสียงของหญิงสาวที่ดูเคร่งขรึมตะโกนออกมาขัดจังหวะจนนักเรียนเกือบ 500 คนเงียบกริบ แต่เธอไม่ใช่ทั้งรินและอลิซ
เธอใส่ชุดลำลองที่เป็นชุดสำหรับฝึกคล้ายชุดรัดรูปเหมือนกับทุกๆ คน แต่ออร่าที่แผ่ออกมานั้น คือราศีของผู้สูงศักดิ์ ผมสีดำ เกล้าผมเป็นมัดไว้ด้านหลังศีรษะอย่างเรียบร้อย และติดกิ๊บไว้ที่ศีรษะด้านหน้าข้างขวาด้วย
〝โห๋! แม้แต่ประธานนักเรียนยังออกตัวปกป้อง… ไอ้โอตาคุนี่มันน่าอิจฉาจริงๆ นะให้ตายสิ〞
〝เลิกเล่นลิ้นได้แล้วเสือ… นายกำลังทำให้ทุกคนแตกแยก! 〞
เธอคนนี้ก็คือ『อรัญญา จรัสบวรกุล』หรือที่ทุกคนรู้จักกันในนามประธานนักเรียน 2 สมัยตั้งแต่ที่อยู่ชั้น ม.4 เลยทีเดียว… เป็นคนที่ได้ชื่อว่าเคร่งครัดเรื่องระเบียบวินัยมากกว่าครูเสียอีก แถมว่ากันว่าสายตาของเธอที่ดูดุดันและเคร่งขรึมนั่นหนาวเย็นยิ่งกว่าแอร์ห้องปกครองเสียอีก
อนึ่ง เธอเป็นคนส่วนน้อยที่รู้ว่ากรทำลงไปเพื่อให้ตัวเองตกเป็นเป้าความเกลียดชังเสียเอง เธอจึงไม่ได้เกลียดกร ทั้งยังชื่นชมอีกด้วย แต่ที่ไม่ออกตัวปกป้องตั้งแต่ที่กรโดนแฉก็ด้วยเหตุผลเดียวกับพวกริน… แต่เรื่องที่ว่าร้ายคนตายแบบนี้ ยังไงก็ยอมให้ไม่ได้ ด้วยคุณธรรมที่อยู่ในใจนี้เองที่ทำให้เธอกล้าเถียงกลับไป ทั้งในฐานะมนุษย์และในฐานะประธานนักเรียนอย่างองอาจ
〝แล้วมันยังไงกันหล่ะหืม? แตกแยกงั้นเหรอ? พวกเราเป็นพวกเดียวกันตั้งแต่เมื่อไหร่งั้นเหรอ? 〞
〝อะ อะไรนะ! 〞
〝เรื่องที่ทางนี้ต้องการหน่ะ คือ การกลับโลกเดิม ซึ่งจุดนี้เรามีเป้าหมายเดียวกัน… แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องร่วมมือกันนี่นาจริงไหม? 〞
〝นาย!!! พูดแบบนั้นออกมาได้ยังไง!!!! 〞
ประธานตะโกนออกมาด้วยความไม่พอใจที่เสือพูดแบบนั้นออกมา แต่ก็พยายามใจเย็นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วจึงกอดอกตัวเองพร้อมกับวางท่าเหนือกว่าอีกครั้ง
〝นายคิดจะจัดการเรื่องนี้คนเดียวรึไง!!! คิดว่าจะทำได้รึไงกัน!!! 〞
〝แน่นอนอยู่แล้ว!!! เดิมทีฉันไม่เคยคิดเชื่อใจอาณาจักรนี้แต่แรกแล้วด้วยซ้ำ!!! 〞
〝ว่าไงนะ!!! 〞
〝อย่าโลกสวยไปหน่อยเลยน่าคุณประธาน!!! คิดจริงๆ เหรอว่าอาณาจักรนี้จะคุ้มครองเราได้… กรณีของไอ้โอตาคุก็เป็นตัวอย่างแล้วนี่! 〞
〝อย่าอวดดีไปหน่อยเลย!!! ที่นี่ไม่ใช่โลกเดิม… เราไม่รู้อะไรซักนิด คิดง่ายไปแล้วที่จะเอาตัวรอดในโลกนี้เองหน่ะ! 〞
〝ก็ยังดีกว่าเป็นเบี้ยถูกใช้แล้วทิ้งก็แล้วกัน! 〞
〝คนอย่างนายนี่มัน!!! 〞
ทั้งสองคนยังคงต่อล้อต่อเถียงกันไม่หยุด จากเรื่องที่กรเป็นต้นเหตุให้เส้นทางของทุกคนสั่นคลอน จนตอนนี้เรื่องบานปลายไปจนถึงความแตกแยกในหมู่คณะไปแล้ว ถึงขนาดที่ว่า มีคนคิดว่าสิ่งที่เสือพูดนั้นถูก แต่ความจริงแล้วมันก็ไม่ได้ผิดเสียทีเดียว…
〝ทุกคนหล่ะว่ายังไง!!!! คิดจริงๆ เหรอว่าถ้าอยู่ในความคุ้มครองของอาณาจักรแล้วจะปลอดภัย!!! 〞
〝เดี๋ยว! หยุดนะ คิดจะทำให้กลุ่มแตกรึไง!!! 〞
〝เรื่องนั้นไม่สำคัญอีกแล้ว!!! พวกนายคิดจริงๆ เหรอว่าถ้าเป็นแบบนี้จะหาทางกลับบ้านได้หน่ะหา!!! 〞
〝ทุกคนอย่าไปฟังนะ!!! ในอาณาจักรหน่ะมีพลังอำนาจเหนือกว่าข้างนอกนั่นนะ ยังไงต้องปลอดภัยกว่าอยู่แล้ว〞
〝อาณาจักรที่ไร้ความสามารถ แถมยังหวังใช้เราเป็นเบี้ยหน่ะเหรอ หืม? 〞
〝ฮึ่ย!!! 〞
เสือยังคงกดดันประธานนักเรียนต่อไป แถมยังพูดประโยคเชิญชวนพลางมองไปมาซ้ายขวาราวกับกำลังรับสมัครพรรคพวกอยู่ยังไงอย่างงั้น
พวกนักเรียนผู้กล้าคนอื่นที่อยู่ในช่วงร้อนรน บางคนที่คิดว่าคำพูดของเสือมีเหตุผลก็เริ่มก้มหน้าครุ่นคิด และเห็นด้วยมากขึ้นอยู่ในใจ ส่วนพวกที่เห็นว่าอยู่ในอาณาจักรปลอดภัยกว่าก็ทำได้แค่เหงื่อตกเท่านั้น
พวกที่เห็นด้วยเดินไปข้างหลังของเสือ ส่วนพวกที่เห็นด้วยกับประธานก็เดินเข้ามาด้านหลังของประธานนักเรียนด้วยเช่นกัน
〝นาย… คิดจะสร้างกองกำลังของตัวเองรึไงกัน!!!? 〞
〝หึ! ก็แค่กำลังเอาชีวิตรอดอยู่เท่านั้นเองแหล่ะ! 〞
เหล่านักเรียนผู้กล้าเกือบ 500 คนถูกแบ่งฝักแบ่งฝ่ายโดยที่ไม่มีการพูดจาอะไรทั้งสิ้น เพราะทุกคนต่างรู้ดีอยู่แล้วจากภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า
ด้านหลังของเสือมีนักเรียนถึง 2 ใน 3 ของโรงเรียน หนึ่งในนั้นแน่นอนว่ามีลินดาและเชษฐ์ที่เป็นอดีตปาร์ตี้ของกรอยู่ด้วย
ส่วนด้านหลังของประธานนักเรียนมีนักเรียนอยู่เพียงหนึ่งในสามเท่านั้น โดยที่พวกริน อลิซ โชต ชาญ รวมถึงเนยนั้นอยู่ในกลุ่มนี้
กลุ่มของเสือมีความเป็นเอกเทศจากตัวอาณาจักร และคิดใช้พลังผู้กล้าของพวกตนหาทางกลับบ้านเองอย่างลำพอง ส่วนกลุ่มของประธานตั้งใจอยู่กับอาณาจักร เพื่อที่พอเป้าหมายสำเร็จจะได้กลับบ้านตามเป้าหมายตั้งต้น ด้วยเหตุนี้เหล่านักเรียนผู้กล้าจึงได้แตกแยกเป็นสองกลุ่มโดยมีเสือและประธานเป็นผู้นำตั้งแต่เวลานี้
❖❖❖❖❖
หลังจากพิธีศพของกรจบลง ฮันซี่มีประกาศว่าหลังจากนี้สองสัปดาห์ เพื่อทดสอบความสามารถครั้งสุดท้าย เขาจะทำการปล่อยให้นักเรียนผู้กล้าทุกคนเดินทางด้วยตัวเอง เพื่อทำการฝึกฝนด้วยตัวเองในสายต่างๆ ตามที่ตัวเองต้องการอย่างอิสระ และหากต้องการก็สามารถทำงานในอาณาจักรนี้ได้ด้วยเช่นกัน แถมเวลานัดรวมตัวก็คืออีก 1 ปีให้หลังอีกต่างหาก ราวกับรู้ถึงความขัดแย้งในกลุ่มของนักเรียนผู้กล้าอยู่แล้วยังไงอย่างงั้น….
นั่นจึงเป็นโอกาสดีที่กลุ่มของเสือจะแยกออกไปหาทางกลับบ้านเองแล้วไม่กลับมาที่อาณาจักรนี้อีกเลย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ทุกคนกังวลขนาดนั้น เพราะดูเหมือนเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์บวกกับสเตตัสที่มากกว่าคนทั่วไปโขจะสร้างความชินในตัวนักเรียนผู้กล้าส่วนใหญ่ไปแล้ว จึงไม่มีใครบ่นออกมาด้วยความไม่พอใจเลยจนกระทั่งพิธีฝังจบลง…
ตึก! ตึก! ตึก! ตึก! ———
หลังจากพิธีฝังศพของกรจบลง พวกเสือและลูกกระจ๊อกทั้งสองต่างก็เดินไปที่ห้องพักก่อน เพื่อพักผ่อนตามคำสั่งของฮันซี่ ผ่านทางเดินหอพักชายชั้น 2
〝!!! 〞
แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเจอกับชายคนนึงที่ยืนกอดอกพิงกับผนังไม้ พลางยกแว่นขึ้นเล็กน้อยในตอนที่ทั้งสามคนเดินมาถึง
〝จะไฝว้เหรอว่ะ! อย่ามายืนขวางนะโว้ย!!! 〞
〝พวกแกไปรอที่ห้องก่อน〞
〝แต่ว่าลูกพี่!!! 〞
〝อย่าให้พูดซ้ำ ไปซะ!!! 〞
〝ดะ ได้ครับ!!! 〞
ลูกกระจ๊อก A และ B ต่างพากันโกยแนบเมื่อเสือตะโกนบอกด้วยเสียงเย็นชา แล้วพอหายออกไปจากสายตาจนแน่ใจแล้ว เสือก็เป็นฝ่ายเริ่มถามคนที่พิงกำแพงอยู่… ถามชาญออกมาในทันที
〝คุณรองประธานมีธุระอะไรงั้นเหรอ? 〞
〝นั่นน่าจะเป็นคำพูดของผมมากกว่า… นายคิดจะทำอะไร? 〞
ชาญเดินออกมาจากจุดที่พิง และยืนเผชิญหน้ากับเสือตรงๆ อนึ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำแบบนี้ ทั้งเสือและชาญต่างค่อนข้างไม่ตระหนกเมื่อยืนจ้องตากันหลังเกิดเรื่องทะเลาะเบาะแว้งเป็นปกติอยู่แล้ว แต่หนนี้เสือกลับตอบชาญกลับไปตามตรงราวกับไม่สนใจอะไรว่า…
〝เป้าหมายของฉันไม่มีอีกแล้ว… เพราะงั้นก็ต้องกลับบ้านไม่ใช่รึไง〞
〝เป้าหมายที่ว่า…. กรใช่ไหม? 〞
〝! 〞
เสือแสดงอาการตกใจเล็กน้อย แต่ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ครั้งนึงก่อนที่จะทำเป็นเมิน แล้วก็เดินเข้าหาชาญ แล้วก็เดินผ่านไปราวกับไม่สนใจ แต่แล้วคำพูดของชาญก็ดึงความสนใจของเสือกลับมาที่ตัวเองอีกครั้งจนได้…
〝ที่คิดคุมคนด้วยปากแบบนี้มันไม่ดีเท่าไหร่นะ… ผมว่าอำนาจของพ่อนายมันไม่ได้คุมกะลาหัวถึงต่างโลกนะเสือ〞
〝…….หืม? ตกใจจริงๆ นะเนี่ย ไม่คิดว่าจะรู้ไปถึงขั้นนี้…〞
เสือที่เดินผ่านไปแล้ว หันควับกลับมาในทันทีด้วยความสนอกสนใจ แต่ชาญก็ไม่ได้พูดต่อเพราะคิดว่าเสือคงเข้าใจดีอยู่แล้วว่าชาญหมายถึงอะไร…
เรื่องที่กรถูกแกล้ง ไม่มีทางที่จะไม่ถึงหูครูแน่นอน… แล้วทำไมถึงไม่เกิดการลงโทษขั้นรุนแรงเสียที สาเหตุสำคัญนั่นก็เป็นเพราะ ความลับสุดยอดของเสือนั่นเอง ซึ่งก็คือความจริงแล้วเขา…. เป็นถึงลูกของนายกรัฐมนตรีเลยนั่นเอง และแม้จะเป็นลูกนอกสมรสก็ตามที แต่ยังไงก็ได้อำนาจของพ่อคุมกะลาหัวตามที่บอกอยู่ดี (คุณก็รู้ที่นี่ประเทศไ*ย) ส่วนเรื่องที่ไม่มีใครรู้นั่นก็เป็นเพราะเรื่องนี้เพิ่งถูกพิสูจน์เมื่อตอนเสืออยู่ ม.3 แถมตอนนี้ยังใช้นามสกุลของแม่อีกต่างหาก เลยทำให้มีเพียงอาจารย์ใหญ่และคณะบริหารบางคนเท่านั้นที่รู้…
แต่วิธีแก้มันก็ไม่ได้มีวิธีเดียว… โซเชียลเน็ตเวิร์คเองก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยให้เรื่องที่เสือแกล้งถูกเปิดโปง พอมีหลักฐานออกสู่สาธารณะแบบนี้ ต่อให้ใหญ่มาจากไหนก็หนีไม่พ้นกระแสสังคมแน่นอน
แต่น่าเสียดายที่กรทำแบบนั้นไม่ได้… นั่นเพราะหากทำแบบนั้น ตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผยสู่โลก… ความสามารถของกร สุดยอดการประมวลผลนั้นไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป หากออกสู่สาธารณะก็มีโอกาสที่ความลับจะถูกเปิดเผยสูง นั่นคือสิ่งที่คุณหมอของกรบอกและห้ามทำเป็นอันดับหนึ่ง กรจึงไม่มีทางเลือกอื่นเลยนอกเสียจากยอมเป็นกระสอบทรายชั่วคราวนั่นเอง….
〝ผมหน่ะรู้เป้าหมายของนายอยู่แล้ว… เพียงแต่ไม่เข้าใจเหตุผล…〞
〝หืม? ไงต่อ〞
〝แล้วผมก็รู้ด้วยว่า… คนที่เป็นต้นเหตุให้กรติดอยู่ในดันเจี้ยนก็คือนาย〞
〝อ๋อเหรอ? แล้วไงต่อหล่ะ? 〞
เสือยังคงพูดกวนประสาทอยู่เรื่อยๆ แต่ชาญก็ยังใจเย็นพลางขยับแว่นอีกครั้ง แล้วชำเลืองมองเสือจากข้างหลังก่อนที่จะพูดต่อ
〝นายรู้มากกว่าที่ผมคิดไว้… แล้วคงรู้เรื่องความสามารถของกรด้วยสินะ… ถึงมีเป้าหมายแปลกๆ แบบนั้น〞
〝หึ! แปลกงั้นเหรอ? เพราะงั้นแหล่ะ แกถึงได้ไม่เข้าใจ…〞
〝ใช่… ไม่เข้าใจ! 〞
〝อ๋อเหรอ? งั้นเรื่องที่จะพูดก็มีเท่านี้ใช่ป่าว! 〞
เสือหันกลับไปทางเดิม แล้วก็รีบเดินเพื่อกลับไปที่ห้องของตัวเองโดยเมินคำพูดสุดท้ายของชาญที่บอกเขาว่า
〝นายต้องเสียใจทีหลังแน่ ที่ตัดสินใจแบบนี้…〞
เพราะกรหน่ะ… ยังไม่ตายยังไงหล่ะ
ชาญคิดแบบนั้นก่อนที่จะเดินจากไปในทิศตรงกันข้ามกับเสือ…
❖❖❖❖❖
〝มีอะไรรึเปล่าครับลูกพี่! 〞
〝ไม่มีอะไร! มันแค่มากวน〞
เมื่อกลับมาถึงห้องลูกน้องก็ถามออกมาทันทีทั้งด้วยความอยากรู้อยากเห็นปนเป็นห่วง เสือเองก็ตอบกลับไปอย่างไม่มีอารมณ์ ราวกับกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่
〝ลูกพี่น่าจะซัดมันให้เข็ดไปเลยนะครับแหม! 〞
〝ใช่แล้ว! ลูกพี่ไม่เคยแพ้ใครเลยนี่นา น่าจะจัดมันซักดอก… เอาให้หงอไปเลย ฮ่าๆ ๆ! 〞
แล้วพวกลูกกระจ๊อกทั้งสองก็พากันหัวเราะขำก๊าก ในขณะที่ยกยอปอปั้นลูกพี่ตัวเอง แต่เสือกลับคิ้วกระตุกในจังหวะที่หนึ่งในลูกน้องของเขาบอกว่า 『ไม่เคยแพ้ใคร』 และนั่นก็ได้ทำให้เสือนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตขึ้นอีกครั้งนึง พร้อมกับเรียกชื่อหนึ่งออกมา…
〝…….ยักษ์สวมฮู้ด〞
〝〝!!!! 〞〞
ลูกน้องทั้งสองคนเบิกตาโพลงทันที ที่ได้ยินชื่อฉายานั้นออกมาจากปากของเสือที่เป็นลูกพี่อย่างกระทันหัน
〝มะ ไม่เอาน่า ลูกพี่! อันนั้นไม่นับสิครับ ฮะฮ่ะ ฮะฮ่ะ〞
〝ไอ้หมอนั่นมันสัตว์ประหลาดชัดๆ เลยนะครับ〞
〝……………〞
เสือยังคงนิ่งเงียบต่อคำบอกปัดของทั้งสองคน ซึ่งก็ไม่แปลก… เพราะในวงการนักเลงหรือพวกช่างกล รวมถึงพวกนอกกฏหมายหลายต่อหลายกลุ่มแล้วชื่อนี้ คือตัวตนที่มีชื่อเสียงถึงขนาดที่ไม่มีซักคนในวงการนี้ที่ไม่รู้จัก ในช่วงที่เขาอยู่ ม.2-ม.3
『ยักษ์สวมฮู้ด』….. หนึ่งในตำนานประจำเมืองของพวกกร… มีพละกำลังมหาศาลราวกับยักษาสมชื่อ รวดเร็วดุจดั่งสายลม ทั้งยังมีความคล่องตัวสูง แถมยังสามารถหลบการโจมตีได้ทุกอย่างไม่แม้แต่กระสุนปืนตามคำเลื่องลือ… บ้างก็ว่าเป็นอดีตมาเฟีย บ้างก็ว่าเป็นอมนุษย์ที่มีตัวตนจริงๆ … แต่ทั้งหมดนั่นคือข่าวลือ… เพราะความจริงแล้วเขาก็คือมนุษย์เท่านั้นแหล่ะ เพียงแต่ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาเท่านั้นเอง
ส่วนสูงพอๆ กับเด็ก ม.ต้นขึ้น ม.ปลาย ไม่รู้ทั้งเพศและชื่อ ไม่มีใครรู้อายุที่แท้จริง… ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีตัวตนจริงๆ หรือไม่… แต่สำหรับคนที่เคยพบเห็นและเข้าไปปะทะนั้นยังคงตราตรึงใจในรูปของความเจ็บปวดอยู่เสมอ ซึ่งพวกเสือเองก็เป็นหนึ่งนั้นด้วย เรื่องที่รู้ก็มีเพียงแค่ มันสามารถหลบการโจมตีได้ทุกแบบแม้จำนวนคนจะมากกว่าสิบหรือสามสิบเท่าก็ตามที แถมยังไม่เคยได้รับบาดเจ็บ แม้ว่าจะโดนรุมด้วยหมัด มีดพร้า ปืนปากกาก็ไม่เคยมีแผลเลยซักครั้ง… ทั้งยังไม่มีใครเคยเห็นหน้า จะรู้ว่าเป็นมันได้ก็ต่อเมื่อเห็นคนที่ว่าสวมเสื้อกันหนาวสีดำคลุมฮู้ดไว้ที่ศีรษะจนเห็นแค่ปากอยู่ตลอดเวลา ที่กลางหลังมีรูปหน้ายักษ์สีเขียวสะท้อนแสงเป็นเงาเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีใครเลียนแบบได้เอาไว้เท่านั้น
วีรกรรมของมันเป็นที่โจษจันมาก จนกระทั่งช่วงที่พวกกรก่อนจะขึ้น ม.ปลาย เทอมนึง มันก็ได้หายตัวไปอย่างลึกลับและไม่ปรากฏตัวออกมาอีกเลย จนตอนนี้ได้กลายเป็นตำนานประจำเมืองไปจริงๆ เสียแล้ว… และแน่นอนว่าจนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่า『ยักษ์สวมฮู้ด』ที่ว่าเป็นใครมาจากไหน… หากแต่คนที่รู้ ต้องเป็นคนที่รู้เรื่องของบุคคลที่มีความสามารถจำเพาะแบบที่ว่านี้เท่านั้น ซึ่งคงมีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นเอง…
〝ไม่จำเป็นต้องคิดถึงมันหรอก….〞
〝ลูกพี่? 〞
เสือเดินไปนั่งไขว่ห้างที่เก้าอี้ช้างหน้าต่าง มองออกไปยังท้องฟ้าที่อยู่แสนไกล พลางทำหน้าเสียดายบางอย่าง เท้าคางด้วยมือขวาก่อนที่จะพูดออกมาว่า…
〝『ยักษ์สวมฮู้ด』นั่น… ฉันฆ่ามันไปแล้ว〞
〝〝!!!!? 〞〞
ลูกน้องทั้งสองตัวสั่นเล็กน้อยเมื่อได้ยินแบบนั้นออกมาจากปากของเสืออย่างเย็นชา แล้วความเงียบก็เข้าปกคลุมห้องนั้นไปพักนึง ก่อนที่จะถึงเวลาฝึกซ้อมประจำวันของเหล่านักเรียนผู้กล้า…
❖❖❖❖❖
【สำเร็จจนได้นะไอ้หนู! 】
เสียงของชายวัยกลางคนดังขึ้นในสติของกรอีกครั้ง ทั้งยังพูดจาด้วยความสนิทสนมอีกต่างหาก แต่กรก็กลับไม่ได้ตระหนก และตอบกลับไปด้วยเสียงโมโนโทน…
นายมัน… คนที่โผล่มาในหัวฉันตอนที่จุติครั้งที่ 3….
【ใช่แล้ว!!! น่าดีใจจริงๆ ที่ยังจำกันได้…】
แล้วมีธุระอะไรกัน…. ว่าแต่ที่แสดงความยินดีนี่… แสดงว่าฉันยังไม่ตายใช่ไหม?
【ที่จะพูดคือเรื่องนั้นนั่นแหล่ะ! สุดยอดไปเลยนะที่สามารถจุติครั้งที่ 4 ได้… ทั้งที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อนแท้ๆ เชียว 】
อืม… ก็ไม่เกินความคาดหมายเท่าไหร่
【ไม่ตกใจเท่าไหร่เลยนะไอ้หนู】
ไม่มีอะไรจะเหนือความคาดหมายไปกว่านรกนั่นอีกแล้วหล่ะ….
【งั้นเหรอ… คงลำบากมาเยอะมากสินะ… ขอโทษด้วยจริงๆ …】
ไม่ใช่เรื่องที่นายต้องขอโทษ… หรือไม่งั้นคงต้องเคลียร์กันหน่อยถ้านายมีเอี่ยวกับเรื่องนี้หน่ะนะ
【หน้ามือเป็นหลังมือเชียวนะไอ้หนู… แต่ถ้าถามว่าข้าเกี่ยวไหมหล่ะก็ ต้องบอกว่าเกี่ยวเต็มๆ เลยหล่ะนะ… 】
ถ้าเจอกันฉันอัดแกแน่…
【ฮะฮ่ะฮ่า! เจ้านี่ยังน่าสนุกเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย… คึกคักแบบนี้ค่อยวางใจหน่อย 】
อย่าเปลี่ยนเรื่อง…
【ไม่ต้องห่วง… บอกไปแล้วนี่ ว่าอีกไม่นานเจ้าจะรู้เอง… 】
แล้วจะโผล่มาทำไม?
วูม!
เหมือนกับเหตุการณ์ที่กรจุติครั้งที่ 3 ระหว่างการสนทนาก็ได้มีแสงสว่างสะท้อนเข้ามาในทัศนวิสัยของเขา เป็นอีกครั้งที่บ่งบอกว่ากรกำลังจะตื่นขึ้นจากภวังค์สู่โลกความเป็นจริง
【เฮ้อ! น้อยชะมัด ทั้งที่ข้ายังอยากคุยกับเจ้าอีกหน่อยแท้ๆ … 】
ถามสุขภาพกันบ้างเหอะตาแก่…
【โห๋! เรียกข้าแบบเดียวกับเมื่อก่อนเลยงั้นรึเนี่ย… ช่างเป็นความบังเอิญที่น่ากลัวจริงๆ … 】
ไม่ชอบเลยแฮะ ที่ตกเป็นรองในด้านข้อมูลแบบนี้เนี่ย
【ก็บอกแล้วไงว่าอีกไม่นานเจ้าจะรู้เอง… แล้วที่ข้ามานี่ก็มาเพื่อจะแสดงความยินดีเท่านั้นไอ้หนู… 】
กวนประสาทนี่ นับเป็นการแสดงความยินดีงั้นเหรอ?
【เจ้าเองก็กวนเหมือนกันนั่นแหล่ะ…. 】
วูม!
แสงสว่างเริ่มจ้าขึ้น จนสติเริ่มเด่นชัด พร้อมๆ กับเสียงของชายวัยกลางคนที่เริ่มเบาบางลง ชายกลางคนคนนี้จึงรีบตัดเข้าประเด็นสำคัญในทันที
【ไอ้หนู… ข้ารู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรขอให้เชื่อใจ… แต่เจ้าควรจะไว้ใจฟรังซ์ ออลเดล 】
หืม? เอาเถอะ… นั่นค่อยคิดหลังจากตื่นก็ได้… ว่าแต่รู้จักไอ้เด็กนั่นด้วยงั้นเหรอ?
【ใช่แล้ว รู้จักดีเลยหล่ะนะ… แล้วก็เรื่องสุดท้ายไอ้หนู ข้าขอแสดงความยินดีแก่เจ้าอีกครั้ง——— 】
ก่อนที่แสงสว่างจะเข้าโอบล้อมสติจนกรตื่นขึ้นมา ชายวัยกลางคนก็ปรับเปลี่ยนน้ำเสียงจนฟังดูเป็นทางการและจริงจัง ก่อนที่จะกล่าวยินดีกับกรว่า…
【———เจ้าสามารถเคลียร์หนึ่งในมหาดันเจี้ยนโบราณทั้ง 8 ได้สำเร็จจริงๆ ด้วย เก่งมากไอ้หนู… ยินดีด้วย!!! 】
แล้วกรที่ยังไม่ทันได้ตอบกลับชายวัยกลางคน ก็ฟื้นชีพจากความตายอีกเป็นครั้งที่ 4 แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือ…
ตอนนี้กร ได้กลายเป็นชายที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก… ไม่สิ เป็นชายที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลไปแล้ว…
❖❖❖❖❖