ชีวิตบัดซบเพราะถูกส่งมาต่างโลก เลยสร้างปาร์ตี้สุดโหดไปตบเกรียน - ตอนที่ 1 ถูกความไร้เหตุผลนำมาสู่ต่างโลก
- Home
- All Mangas
- ชีวิตบัดซบเพราะถูกส่งมาต่างโลก เลยสร้างปาร์ตี้สุดโหดไปตบเกรียน
- ตอนที่ 1 ถูกความไร้เหตุผลนำมาสู่ต่างโลก
พอรู้สึกตัวอีกที ฉันก็อยู่ในห้องสีขาว …ไม่สิเหมือนกับว่าโลกใบนี้ ทั้งพื้นดินและท้องฟ้า ทั้งหมดมันเปลี่ยนเป็นสีขาวหมดเลย ไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากฉัน เครื่องเกมที่น่าจะอยู่ติดตัวฉันเองก็ไม่มีด้วย
ขณะที่กำลังคิดแบบนั้น รอบๆตัวของกรก็มี เหล่าผู้คนในวัยหนุ่มสาวปรากฏขึ้นมามากมาย มีกระทั่งที่สีผิวและเครื่องแบบแตกต่างจากเขา ทั้งที่ใส่ชุดนักเรียนอยู่ ชุดลำลองและชุดแปลกๆที่ไม่รู้จักเองก็มี
โอ๊ะ!!! ทางนั้นมีพี่สาวใส่ชุดมิโกะด้วยหล่ะ!
ไม่นะ! เดี๋ยวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!!!!!!!
อย่าปล่อยให้กิเลสเข้าครอบงำสิตัวฉัน ก่อนอื่นเรียบเรียงสถานการณ์ก่อน ใจเย็น〜เข้าไว้〜
ฟู่-ฮ่า… ฟู่-ฮ่า… ฟู่-ฮ่า…
หลังจากกรหายใจเข้า-ออกยาวๆ 3 ครั้ง กรก็ตั้งสติแล้วกลับสู่ความเป็นจริงได้ในที่สุด
ทุกคนที่อยู่ที่นี่ เท่าที่สังเกตมีแต่พวกหนุ่มสาวอายุประมาณเราหมดเลยแฮะ แต่ก็มีเด็ก ม.ต้น หรือวัยทำงานขึ้นไปอยู่บ้างเหมือนกัน
จะว่าไปแล้ว… ยังไม่เห็นเพื่อนของเราซักคนเลยแฮะ
วูม〜
หลังสิ้นเสียงที่เหมือนกับ Special Effect ในหนังอวกาศ เหล่าเพื่อนร่วมชั้นและนักเรียนในห้องอื่นๆ ทั้งพวกรุ่นพี่และรุ่นน้องในโรงเรียนของกรก็ปรากฏตัวออกมาพร้อมกัน
〝แฮ่กๆ!!! กร อยู่ไหนหน่ะ อ๊ะ! เจอแล้ว! อยู่นี่เอง… 〞
เสียงของรินที่เหนื่อยหอบกำลังเรียกฉันมาแต่ไกล เพราะความสามารถพิเศษของฉันเลยทำให้แยกเสียงของทุกคนได้จนรู้ที่อยู่หมดแล้ว
แต่เพราะคนมันเริ่มเยอะฉันเลยไม่ได้ฝ่าดงไปหาและคิดที่จะรอทุกคนโผล่ออกมาทั้งหมดก่อนแทน
แต่รินนี่พยายามมาหาฉันแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมเลยแฮะ ผิดคาดเลย เริ่มอายแล้วสิ… ขอโทษที่ทำตัวขี้เกียจด้วยนะครับ
〝หวาๆ บรรยากาศแบบนี้มันหลอนสุดๆเลยอ่ะ 〜〞
〝ที่นี่มันที่ไหนกันฟะเนี่ย? 〞
〝ถึงถามแบบนั้นก็เถอะ ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันนั่นแหละ〞
หลังจากนั้นไม่นานพวกเราทั้ง 5 คนก็รวมตัวกันได้ ถึงจะโผล่มาในที่แปลกๆก็เถอะ แต่มีเจ้าพวกนี้อยู่ก็อุ่นใจขึ้นเยอะเลย แล้วเราก็เลยลองคิดหาสาเหตุของสถานการณ์ในปัจจุบัน
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ท่าทางของทุกคนดูกังวลไม่น้อยเลย… ก็แน่หล่ะ อยู่ๆก็มาโผล่ที่ไหนก็ไม่รู้นี่นะ
〝ก่อนอื่นเลย คงไม่มีที่ไหนในโลกมีสภาพเป็นสีขาวล้วนทั้งหมดแบบนี้แน่〞
〝แล้วผมก็คิดว่าไม่มีที่ๆ บรรจุคนได้ขนาดนี้อยู่บนโลกเหมือนกัน〞กรเริ่มเปิดประเด็นก่อนตามด้วยชาญที่สนับสนุนข้อเสนอของกร
อืม… จำนวนเท่าที่สังเกตได้จากการใช้ตาและหู ก็มีประมาณเกือบ 6,000 คนแล้ว นี่ยังไม่ใช่ทั้งหมดเหรอ เยอะไปไหมเนี่ย? แต่ก็อย่างที่ว่ามา ไม่มีที่ๆให้คนอยู่ได้ขนาดนี้หรอก ความเป็นไปได้อื่นงั้นเหรอ…
ไม่อยากจะคิดเลยแหะ แต่ก็เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้แล้วหล่ะ…
〝หรือว่าที่นี่… ต่างมิติ หรือ ต่างโลก งั้นเหรอ?〞
พอฉันพูดแบบนั้นออกมา ดูท่าจะมีคนยอมรับความเป็นจริงนี้ไม่ได้อยู่ คนๆนั้นก็คือ ชาญนั่นเอง
〝ต่างโลกเหรอ? ไร้สาระน่า มันจะเป็นไปได้ยังไง… จะ จริงสิหรือว่านี่เป็นโลกเสมือนจริงที่ไดร์ฟด้วยอุปกรณ์สุดทันสมัยกันหล่ะ? 〞
ข้อสันนิษฐานของชาญนั้นมีความสมเหตุสมผลและสามารถอธิบายได้ตามหลักความเป็นจริงอยู่หรอกนะ
แต่ว่า…..
〝โทษทีนะ แต่ทั้งหมดนี่หน่ะเป็นร่างกายที่มีเลือดเนื้อของแท้เลยหล่ะ… ฉันฟันธงได้เลย…〞
〝อะไรกัน…..〞
〝เห… ความสามารถของนายยังอยู่สินา〜 ค่อยโล่งอกหน่อย〞
ดูเหมือนความสามารถ『สุดยอดการประมวลผล』ของฉันจะมีความน่าเชื่อถือกับชาญในระดับนึงเลยนะเนี่ย แค่คำพูดก็เชื่อฉันซะแล้ว ส่วนอลิซที่รู้ว่าฉันยังคงใช้มันได้ก็รู้สึกโล่งใจแบบสุดๆ รู้สึกภูมิใจขึ้นมานิดๆเลยหล่ะ
〝อา…ฉันเองก็ลองตรวจสอบข้อมูลจากบทสนทนาของคนแถวๆนี้เท่าที่ระยะการรับรู้ของฉันไปถึงมาแล้วหล่ะน่ะ แต่ทั้งหมด 5,743 คนที่ฉันได้ยินหน่ะ ไม่มีใครรู้เรื่องเลยซักนิด ทุกคนสับสนกันหมดเลย….. 〞
〝เพราะงั้นคุณถึงคิดว่านี่เป็น… เรื่องเหนือธรรมชาติอย่างโลกต่างมิติงั้นเหรอ? มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน〞
〝ก็… ทำนองนั้นแหละมั้ง เพราะฉันคิดเป็นอย่างอื่นไม่ออกแล้วนี่นะ ตอนนี้ช่างเรื่องนั้นก่อนเถอะ ที่สำคัญคือ ใครทำ ? ต้องการอะไร ? จะกลับได้ยังไง ? ต่างหากหล่ะ——— อะ อ้าวทุกคนเป็นอะไรเหรอ ?〞
พอมองไปที่หน้าทุกคน ทุกคนดันทำหน้าอึ้งกันหมดซะงั้น
〝สุดยอดเลยนะ กรเนี่ย….. เวลาแบบนี้ยังใจเย็นได้อยู่อีก〞
〝ฮะฮะฮ่ะ….นายเนี่ย ยังพิลึกเหมือนเดิมเลย แต่ก็ทำให้ฉันอุ่นใจขึ้นเยอะเลยหล่ะ…〞
รินกับอลิซแสดงสีหน้าอุ่นใจและภูมิใจขึ้นมาเมื่อเห็นฉันพึ่งพาได้ ฉันเขินนะพวกเธอ พอเถอะ…
〝ความสามารถของนายนี่มันทำได้ขนาดนี้เลยเหรอฟะ …..นายนี่จะสุดยอดเกินไปแล้วให้ตายสิ〞
〝ถ้าไม่รู้จักกันมาก่อน ผมต้องคิดว่าคุณเพ้อเจ้อแน่ๆ แต่ถ้ากรเป็นคนพูดเองล่ะก็ ผมไม่แปลกใจเลย〞
อืม… ความสามารถของฉันที่ทำให้วิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วนี้คงทำให้ทุกคนตะลึงกัน แต่ที่ทุกคนรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเป็นเพราะฉันพึ่งพาได้สินะ ฮะฮะ! รู้สึกดีใจสุดๆเลยแฮะที่ฉันมีประโยชน์กับเจ้าพวกนี้
ตู้ม!!!!!!!!
ขณะที่กรกำลังคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ก็เกิดเสียงเหมือนกับมีของหนักๆตกลงมาจากที่สูง จนเกิดควันบดบังทัศนวิสัยไปทั่ว แล้วสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าทุกคนหลังจากควันเหล่านั้นหายไปก็คือ ร่างของชายวัยชราผิวสีขาวที่ดูแล้วคล้ายชาวยุโรป มีผมและหนวดเครายาวเฟิ้ม แต่กลับมีสีขาวส่องประกายงดงาม ขนาดนั้นสูงใหญ่ยิ่งกว่าภูเขาลูกใดๆที่ทุกคนรู้จัก กำลังนั่งเอามือซ้ายเท้าคางและมืออีกข้างวางพาดด้านข้างนั่งอยู่บนบัลลังก์ที่ทำจากหินอ่อนทั้งอัน การออกแบบคล้ายกับของโรมันโบราณมาก ท่าทางของชายชราที่นั่งอยู่นั้น ช่างดูแข็งแกร่งและน่ายำเกรงอย่างที่สุด สายตาที่มองมายังกรและทุกคนที่อยู่ที่นี้นั้น ราวกับสายตาของคนที่กำลังมองเศษดินหรือมดปลวกบนพื้นยังไงอย่างงั้น เห็นได้ชัดว่าไร้ความสนใจและรำคาญต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแบบสุดๆ
ไอ้แก่นี่…. ทำท่าทางน่ากระทืบชะมัด
เรื่องนั้นช่างมันก่อน แต่ว่าทั้งที่รู้สึกถึงแรงกดทับแท้ๆ แต่กลับสัมผัสร่างของตาแก่ที่นั่งอยู่นั่นไม่ได้แม้แต่นิดเดียว แล้วแรงกดดันทางจิตใจที่มหาศาลขนาดนี้มันอะไรกันฟะ เหมือนกับถูกทั้งโลกกดทับอยู่อย่างงั้นแหละ เกิดมาไม่เคยเจออะไรแบบนี้เลยแหะ เป็นตัวตนที่ยากจะเข้าใจ….
ไม่สิ… ฉันในตอนนี้ไม่เข้าใจเลยซักนิดเดียว ตัวตนที่เหนือความเข้าใจนั่น อยู่นอกเหนือหลักเหตุและผลไปแล้ว ทฤษฎีที่ฉันรู้ก็ใช้อธิบายอะไรไม่ได้เลยซักนิด และถ้าหากหมอนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเราทุกคนตกอยู่ในสถานการณ์แปลกๆนี้หล่ะก็ ตัวจริงของตาแก่นี่ก็คงจะเป็น…
〖อรุณสวัสดิ์ เด็กหนุ่มเด็กสาวทั้งหลาย ข้าคือคนที่พาพวกเจ้ามายังช่องว่างของมิติแห่งนี้เอง ตัวตนของข้าคือ ผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุดของการปกครองพิภพและดวงดาราทั้งมวล นามของข้าคือ『พระเจ้า』 ยังไงหล่ะ!!!! 〗
ชัดเลย… เอาเถอะก็พอเดาได้อยู่แล้ว เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นบ่อยๆ ในอนิเมะ เกมหรือนิยายอยู่แล้ว ฉันเลยไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่
อะ อ้าว!? ทุกคนตกใจกันหมดเลยนี่หว่า คนที่ยังใจเย็นอยู่ได้มีไม่ถึง 100 คนด้วยซ้ำ เจ้าพวกนี้เองก็ตกใจเหมือนกัน …..นี่ฉันไม่ปกติงั้นสินะ
หลังจากที่กรกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ ชายชราก็เริ่มพูดอีกครั้ง
〖ข้าจะมิกล่าวเยิ่นเย้อนักหรอก ขอสรุปความเลยแล้วกัน ที่ข้าพาพวกเจ้ามานี้ก็เป็นเพราะว่าจะส่งพวกเจ้าไปยังต่างโล——— 〗
〝ต่างโลกงั้นเหรอ!!!!!!!?〞
อุ๊ป!!!!
ตัวฉันตอบสนองกับคำพูดของไอ้พระเจ้านั่นไปโดยไม่ทันคิดกำลังรีบเอามือปิดปากตัวเองแน่น เป็นการตอบสนองที่เร็วจนแม้แต่พระเจ้าก็ยังต้องตกตะลึง
〖…..ไอ้หนูข้ายังพูดไม่จบ แล้วก็ระวังคำพูดด้วย อยากกลับบ้านเก่านักรึไง 〗พระเจ้าพูดพร้อมกับมองมาทางกรด้วยสายตามีเลศนัย
〝อึก!!! ขะ…ขอโทษครับ ผมตกใจมากไปหน่อย ฮะฮ่ะ! ฮะฮ่ะ! 〞
ตัวฉันที่หัวเราะกลบเกลื่อนการกระทำที่โคตรวู่วามไปแบบนั้น รู้สึกเหมือนกับเพิ่งผ่านสถานการณ์เฉียดตายมาได้อย่างหวุดหวิดเชียวหล่ะ ทุกคนส่งสายตาเป็นห่วงมาใหญ่เลย โดยเฉพาะรินกับอลิซ
ถ้าเป็นปกติ จังหวะนี้ทุกคนก็จะตะโกนแบบนั้นออกมาพร้อมกันอยู่หรอก แต่ฉันดันมีปฏิกิริยาเร็วที่สุด เพราะมีสุดยอดการประมวลผลเนี่ยสิ
คนอื่นนอกจากเจ้าพวกนี้เลยหันมามองฉันแบบประหลาดๆเต็มเลย… ต้องคิดว่าฉันเพี้ยนแหงๆ
หลังจากที่กรตอบสนองไปแบบนั้น พระเจ้าก็ถอนหายใจอย่างหน่ายๆหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นเสียงบ่นที่ราวกับด่าทอก็มาจากคนจำนวนมากที่อยู่ในที่นั้น ส่งมายังพระเจ้าที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์นั่น
【 พูดเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!!! 】
【 ไร้สาระน่า! ปล่อยฉันกลับไปนะโว้ย!!!!!!!! 】
【 อย่ามาทำบ้าๆงี้นะเฟ้ย! ไร้เหตุผลชะมัดเลย!!!! 】
【 ปล่อยฉันออกไปนะ! ฉันจะกลับบ้าน!!!!!!!!! 】
เจ้าพวกนี้นี่ไม่ควบคุมอารมณ์เอาซะเลยแฮะ แต่นี่คงเป็นการตอบสนองที่คนปกติเค้าทำกันสินะ… ฉันเองก็คิดแบบนั้นอยู่เหมือนกันแหละ แต่มันคงไม่ง่ายอย่างงั้นหรอก
〖 พวกเจ้าทั้งหลายเอ๋ย!!! อย่าได้เข้าใจผิดไป ข้ามิได้กำลังถามความเห็นหรือขอความสมัครใจจากพวกเจ้าหรอกนะ 〗
เงียบกริบ————
สายตาและท่าทางหวาดกลัวของผู้คนทั้งหมดชัดเจนจนสังเกตได้ ทุกคนตอบสนองต่อคำพูดของชายชราที่พูดแบบนั้นโดยการไม่ปริปากออกมาอีกแม้แต่นิดเดียว ชายชราที่พูดแบบนั้นพลางมองมายังทุกคนด้วยสายตาเหยียดหยามอย่างที่สุด ความกดดันที่ทำให้ทั้งตัวสั่นสะท้าน ช่างหนักอึ้งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ราวกับความตายกำลังอยู่ตรงหน้า บางคนถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงไปเลยก็ยังมี
เนี่ยแหล่ะน้า… ถ้าไอ้แก่นี่เป็นพระเจ้าตัวจริงละก็ คงไม่มีเหตุผลที่ต้องฟังคำทัดทานจากพวกเราอยู่แล้ว
ในขณะเดียวกับที่กรคิดแบบนั้นรินเขยิบเข้ามาใกล้กร แล้วใช้มืออันอ่อนนุ่มและแสนบอบบางนั่นจับแขนเสื้อของกรไว้ราวกับจะใช้ประคองสติของตน อลิสเองก็กลืนน้ำลายพร้อมกับทำหน้าตกใจสุดขีดแล้วก็แอบจำชายเสื้อของกรอยู่เหมือนกับริน โชตกับชาญเองก็ยืนตะลึง โดยมีเหงื่อไหลออกมามากมายจากทั่วทั้งใบหน้าจนสังเกตได้ชัดเจน
…ถ้างั้นแล้วพวกเราจะเป็นยังไงต่อไปกันฟะเนี่ย
〖อืม… ดีมาก!!! เอาเถอะ ข้าก็รู้สึกสงสารพวกเจ้าอยู่เหมือนกันล่ะนะ งั้นจะอธิบายสถานการณ์ให้ฟังซักหน่อยก็แล้วกัน 〗
อ้าว? พระเจ้าสุดหยิ่งคนนี้ก็ใจอ่อนเป็นเหมือนกันเหรอ ใจดีกว่าที่คิดนิดหน่อยนะเนี่ย…
〖ตัวข้านั้นมีโลกที่อยู่ในการดูแลทั้งหมด 2 ใบ คือ โลกที่พวกเจ้าจากมา กับ โลกอีกใบที่มีขนาดใหญ่กว่าโข แล้วโลกที่ว่านั่นก็เกิดสงครามขึ้นบ่อยครั้ง ประกอบกับปัญหาเรื่อง『ดันเจี้ยน』ที่ข้าเองก็แก้ไม่ตกเหมือนกัน〗
โลกที่มีสงครามงั้นเหรอ? โหดไปแล้วเฟ้ย! แล้วเมื้อกี้ก็พูดถึง『ดันเจี้ยน』ด้วยสินะ ถึงจะน่าดีใจที่มันคล้ายๆในเกมก็เถอะ แต่พวกเราเป็นคนธรรมดานะเฟ้ย!!!
นี่จะส่งพวกเราไปตายรึไงกันฟะ? ไร้เหตุผลซะจริง!!!
〖เพราะปัญหาที่ว่ามาทำให้ประชากรของโลกนั้นลดลงเรื่อยๆอย่างน่าใจหาย ต่างจากโลกของพวกเจ้าที่นับวันประชากรก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้เกิดความสมดุล ข้าเลยต้องโอนย้ายพวกเจ้าไปยังอีกโลกหนึ่งไงหล่ะ!〗
มักง่ายไปแล้วไอ้แก่นี่!!!!! …..เห็นท่าทางก็นึกว่าเป็นตาลุงนิสัยจริงจังซะอีก ที่แท้ก็ขี้เกียจเองหรอกเหรอ? ปัญหาของโลกนู้นก็ให้โลกนู้นจัดการกันไปเองสิโว้ย!!!!
…..แต่ถึงคิดแบบนั้นไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะไงๆไอ้แก่นี่ก็ไม่ฟังอยู่ดีนั่นแหล่ะนะ เฮ้อ!
【งะ งั้น ถะ ถ้าพวกเราหายตัวไปเยอะขนาดนี้ โลกเดิม… จะไม่เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเหรอครับ?】
เพราะเสียงรอบๆ นั้นเงียบไปหมดหรืออำนาจพิเศษของมิตินี้ก็แล้วแต่ เสียงของเด็กหนุ่มที่เอ่ยถามพระเจ้าอยู่นั้นห่างจากกรไปไกลพอสมควรแท้ๆ แต่กลับมีเสียงดังขนาดที่ว่าทำให้ทุกคนได้ยินเสียงนั้นชัดเจนเลยทีเดียว รวมถึงลักษณะของเสียงที่มีการสั่นเครือเล็กน้อย เนื่องจากมีความกลัวปนอยู่ ก็ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างชัดเจนเช่นกัน
〖เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง เพราะข้าได้ลบความทรงจำของคนรู้จักพวกเจ้าในโลกเดิม ทั้งพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ออกหมดแล้ว เสมือนพวกเจ้าไม่มีตัวตนในโลกนั้นมาตั้งแต่แรกเลยหล่ะนะ〗
อะไรนะ!!!!
อยากตะโกนออกไปแบบนั้นอยู่หรอก แต่ก็พูดอะไรไม่ออกซักนิด…
…ไอ้แก่นี่จะทำตัวไร้เหตุผลไปถึงไหนฟะ!
แต่เอาเถอะ ถึงฉันจะไม่มีพ่อแม่แล้วก็เถอะ เพื่อนสนิทที่มีอยู่น้อยนิดก็มากันหมดแล้วด้วย เลยไม่มีปัญหากับไอ้เรื่องความทรงจำนั่นนักหรอก แต่ว่า———
ที่โลกเดิมนั่นหน่ะ…
ยังมีเกม อนิเมะ นิยาย แล้วก็หนังที่ดองเอาไว้ ยังไม่ได้ดูอีกเพียบเลยนะโว้ยยยยย!!!!!!
ขณะเดียวกับที่กรคิดแบบนั้น คนรอบๆตัวก็แสดงอาการไม่พอใจออกมาเช่นกัน แต่ก็ไม่มีใครกล้าบ่นว่าหรือพูดโพล่งขึ้นมาขัดจังหวะซักนิด
〖โอ๊ะโอ้! เกือบลืมบอกไป… ถ้าพวกเจ้าถูกส่งไปทั้งอย่างงี้ละก็มีหวังตายตั้งแต่เจอสไลม์ในเมืองเริ่มต้นแหงๆ ข้าเลยปรับให้พวกเจ้าทุกคนมีพลังสูงกว่าปกติแม้แต่ในโลกนู้นแล้วหล่ะน่ะ หากไปยังโลกนู้นแล้วก็วางใจได้เลย…..〗
วางใจบ้านป้าแกสิ…
ยังมาพูดติดตลกอีก น่าโมโหชะมัด… แล้วท่าทีน่าเกรงขามตอนแรกมันหายไปไหนหมดแล้วฟะ
เอ๋!? แต่เมื่อกี้บอกว่าจะปรับพลังให้เหรอ? ก็ดีใจนิดหน่อยอยู่หรอกนะ ตอนแรกก็คิดอยู่ว่าถ้าไปทั้งแบบนี้ ถึงเป็นทหารที่ผ่านศึกสุดโหดมาแล้วจากโลกของเราก็ตาม แต่ถ้ามาตัวเปล่าก็คงรอดจากพวกมอนสเตอร์ยากอยู่ดี แล้วพวกเราที่เป็นคนธรรมดาจะเอาอะไรไปสู้ พอเป็นแบบนี้ก็วางใจได้เปราะนึงอยู่….มั้งนะ
〖เอาหล่ะธุระของข้าก็มีเท่านี้แหล่ะน่ะ เหล่าหนุ่มสาวทั้งหลายเอ๋ย จงเตรียมพร้อมกับชะตากรรมของตัวเองจากนี้ต่อไปให้ดี แล้วจงมีชีวิตรอดให้ได้ซะ————〗
มีส่งลาด้วยแฮะ… สรุปแล้วเป็นคนยังไงกันแน่เนี่ย…
ความรู้สึกตอนแรกกลับมาอีกแล้ว… เอาเถอะยังไงก็ทำอะไรกับไอ้พระเจ้านั่นไม่ได้อยู่แล้ว ยอมรับสภาพเลยดีกว่า ปล่อยเลยตามเลยแล้วกัน
หลังจากที่กรคิดแบบนั้นทิวทัศน์รอบตัวก็หายไปอีกครั้ง ความมืดเข้าโอบล้อมด้วยเวลาอันสั้น แล้วหลังจากนั้นไม่นานภาพของสถานที่ที่ไม่เคยเห็นก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของกรและเหล่าเพื่อนร่วมโรงเรียนของกรทุกคน
❖❖❖❖❖
นี่มัน ….ภายในปราสาทสินะ
ที่ทุกคนปรากฏตัวออกมาเป็นห้องโถงขนาดใหญ่พอจะบรรจุได้เกือบพันคน ราวกับเป็นสนามกีฬาในร่มขนาดใหญ่ยังไงอย่างงั้น ตรงกลางห้องมีพรมแดงปูเป็นแนวยาวจากประตูสุดอลังการที่ประดับด้วยเพชร นิล จินดามากมาย ไปยังสุดขอบอีกด้านหนึ่งซึ่งมีชายวัยกลางคนอายุราวๆ 50 ปี กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์สีทองอร่ามประดับด้วยเครื่องเพชรมากมาย ตำแหน่งนั้นสูงกว่าระดับสายตาอยู่เกือบๆ 2 เมตรเลยทีเดียว แล้วข้างๆก็มีทหารองค์รักษ์ ใส่ชุดเกราะคล้ายๆของยุคกลางดูน่าเกรงขามกับลูกน้องคนสนิทประกบข้างซ้ายขวาอย่างละคนอยู่ด้วย รอบตัวของทุกคนที่ถูกส่งมานั้น มีคนที่ใส่ชุดคล้ายๆนักบวช ใส่หมวกแหลมทรงสูง มีผ้าปิดบังทั้งใบหน้า คาดว่าน่าจะเป็นจอมเวทย์ ยืนอยู่รายล้อมมากมาย ด้านข้างของท้องพระโรงก็มีคนที่สวมชุดที่ดูสูงศักดิ์คล้ายขุนนางอังกฤษในยุคอดีต ยืนเรียงกันขนานกับพรมแดงมากมาย แต่ก็ยังคงมีความเป็นระเบียบอยู่
〖โอ้ว!!! ดูเหมือนจะสำเร็จงั้นสินะ…..〗
〝〝〝〝〝〝 ยินดีด้วยขอรับ องค์ราชา!!!!! 〞〞〞〞〞〞
เมื่อราชาพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าดีใจ เหล่าขุนนางก็ตอบรับคำพูดนั้นกลับไปแทบจะทันที
เจ้าพวกนี้พูดภาษาไทยได้ด้วยแฮะ?
ซะที่ไหนกันหล่ะ นี่มันต่างโลกนะ! มันจะไปใช่ภาษาไทยได้ยังไง?
แต่ถึงแบบนั้น เรากลับฟังพวกนี้พูดรู้เรื่องซะงั้น…
เอาเถอะ… จะยังไงก็ตาม ขอแค่ฟังรู้เรื่องก็พอแล้วหล่ะ
บางทีอาจเป็นพลังของพระเจ้าหล่ะมั้งนะ… แต่ไม่มีหลักฐาน เพราะงั้นคิดไปก็เท่านั้น ตอนนี้ขอแค่สื่อสารรู้เรื่องเป็นพอ
〖อืม…. คนพวกนี้ คือเหล่าผู้กล้าจริงๆ สินะ 〗
〝ขอรับ ไม่ผิดแน่นอนขอรับ…〞
อาจเพราะเห็นสภาพที่กำลังสับสนอลหม่านของเหล่านักเรียน ราชาที่แคลงใจจึงถามกับขุนนางคนสนิท หลังจากขุนนางคนสนิทตอบด้วยความมั่นใจ ราชาก็เริ่มการแนะนำตัว
〖ขออภัยด้วยที่ไม่ได้รีบแนะนำตัวก่อน… เราคือ 『ลอร์ด เซารัส เดอ อาลันเชี่ยน』เป็นราชาของ『อาณาจักรอาลัน』แห่งนี้และเป็นผู้อัญเชิญพวกท่านมาที่นี่เอง〗
ดูเหมือนทุกคนจะยังคงสับสนกับเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่เลย… เป็นแบบนี้ฉันก็เกือบตามไม่ทันเหมือนกันล่ะนะ แต่จำนวนคนที่ถูกวาร์ปมากับเรานี่มีนิดเดียวเองถ้าเทียบกับตอนแรก
คงจะแบ่งกันไปในแต่ละพื้นที่ละมั้ง ไม่งั้นอึดอัดตายเลย แต่ก็ยังดีที่เจ้าพวกนี้ยังอยู่ครบทั้ง 4 คน….. เฮ้อ!!! โล่งอกไปที
แต่ไอ้พระเจ้านั่นไม่เห็นบอกเลยว่าต้องมาเล่นบทผู้กล้าแบบนี้ ไอ้แก่นั่น… ทำตัวไร้สาระอีกแล้ว คงจะลืมบอกไปแน่ๆ
แต่พูดถึงรับบทผู้กล้า… อดคิดไม่ได้เลยแฮะว่ามันเหมือนในไลท์โนเวลหรือเกมเลยหน่ะ… แต่ถึงจะเคยเจอในเกมหรือนิยาย มันก็ไม่ได้ช่วยให้หายกังวลหรอกนะ
〖พวกท่านเพิ่งมาจากต่างโลก จึงอาจจะยังสับสนกับสถานการณ์มาก แต่ช่วยฟังเรื่องที่เราจะพูดก่อนเถอะ〗
ดูเหมือนราชาจะเข้าใจสถานการณ์ของทางนี้อยู่ รู้สึกเหมือนกับกำลังเสียเปรียบเลยแฮะ…..
หลังจากนั้นราชาก็เล่าสถานการณ์ของอาณาจักรตนเองให้ฟังเรื่อยๆ
〖……..เนื่องจากตกอยู่ในภาวะสงครามกับเผ่าพันธุ์อื่นมานาน มนุษย์เราตอนนี้จึงเหลือกำลังทหารน้อยลงเต็มที จนกองกำลังของเรานั้นแค่ป้องกันประเทศก็แทบจะล้นมือแล้ว แม้ตอนนี้จะฟื้นสภาพมาได้บ้างแล้ว แต่ทางด้านพลังนั้นเราก็ยังเสียเปรียบพวกปีศาจหรือเอลฟ์อยู่มากโข เราเลยไม่มีทางเลือก จึงได้อัญเชิญพวกท่านที่มีความสามารถมากกว่ามา……. 〗
มีพูดถึงปีศาจกับเอลฟ์ด้วย อย่างงี้อาจจะมีพี่สาวซัคคิวบัสยั่วสวาทสุดเซ็กซี่กับคุณพี่เอลฟ์สุดน่ารักอยู่ก็เป็นได้สินะ นี่หล่ะกลิ่นอายของต่างโลกสุดแฟนตาซี
อืม… แต่ก็นะ พอจะเข้าใจปัญหาของทางนั้นบ้างแล้วหล่ะ แต่ว่านี่มันไม่ใช่เรื่องของพวกเราที่ต้องสนใจซักหน่อยนี่นา ไม่มีเหตุให้ต้องช่วยเลยด้วย
〖เพราะเหตุผลที่ได้บอกไปข้างต้น…. พวกเราจึงอยากยืมพลังอันแข็งแกร่งของพวกท่านทุกคน!!!! ท่านผู้กล้าทั้งหลาย ได้โปรดช่วยเหลือพวกเราด้วยเถิด!!!!! 〗
พระราชาพูดพลางก้มหน้าลงเล็กน้อยเป็นเชิงขอร้องกับนักเรียน 500 กว่าคนที่อยู่ในท้องพระโรง ทั้งที่ยังอยู่ในท่านั่งบนบัลลังก์
〖และแม้จะช่วยเหลือไม่ได้มากก็ตาม!!! แต่พวกเรายินดีสนับสนุนพวกท่านทุกอย่างที่ทำได้ ตั้งแต่เรื่องในชีวิตประจำวัน ที่อยู่อาศัย อาหารการกิน การฝึกฝน หรือแม้กระทั่งตำแหน่งและเงินทองก็ตามถ้าจำเป็น และหากสงครามจบลงแล้ว เรายินดีที่จะส่งทุกท่านกลับโลกเดิมด้วยความยินดี!!! 〗
〝!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!〞
ทุกคนที่กำลังสับสนกับสถานการณ์หันไปมองพระราชาด้วยสีหน้าตกตะลึงกึ่งมีความหวังส่องประกายบนใบหน้า พร้อมกันหมดทุกคน
【พะ พูดจริงงั้นเหรอ!?】
【มันเป็นไปได้งั้นเหรอ!?】
ทุกคนมีสีหน้าสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อได้รับความหวังที่จะกลับบ้าน ยกเว้นกรกับชาญแค่ 2 คนเท่านั้นที่ยังคงทำสีหน้าครุ่นคิดบางอย่างอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อสงครามจบ แล้วจะส่งพวกเรากลับงั้นเหรอ… พระราชาเนี่ยเป็นคนฉลาดเหมือนกันนี่หว่า เล่นเอาสิ่งที่ทุกคนอยากได้ยินมาเป็นของรางวัลล่อแบบนี้ แถมยังได้ผลผิดคาดจนน่าโมโหอีกต่างหาก
แต่ว่า………
…….สิ่งที่พระราชาพูดนั่น เป็นการบลัฟกันพันเปอร์เซ็นต์แน่นอน
ถึงจะไม่ต้องใช้สุดยอดการประมวลผลตรวจสอบชีพจรของพระราชาเพื่อจับผิด ก็รู้เลยว่าโกหกกันแน่นอน แต่ถึงอย่างงั้นก็ลองตรวจดูแล้วหล่ะนะ……..แล้วก็ปรากฏว่าพระราชาตั้งใจต้มกันชัดเจนเลย หัวใจเนี่ยเต้นรัวเชียว ไหล่ก็ยังเกร็งอีกต่างหาก ไม่เนียนเลยเฟ้ย
ก็สาเหตุที่เราถูกอัญเชิญมาต่างโลกหน่ะ ไม่ได้เป็นเพราะพระราชาซะหน่อยนี่นะ ตัวการคือไอ้แก่พระเจ้า ที่คิดจะแก้ปัญหาอย่างมักง่ายต่างหาก ถ้าจะบอกว่าพระเจ้ารับคำสั่งมาจากพระราชามันก็ฟังดูไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย
ดูเหมือนชาญจะคิดแบบเดียวกันเลยกระซิบกับผมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
〝เอายังไงดีกร ถ้าเป็นแบบนี้ทุกคนจะโดนหลอกกันหมดนะ〞
อืม… จริงๆ แล้วถ้าทุกคนใจเย็นกันหน่อยก็คงตีความคำพูดหลอกลวงนั่นได้ แต่คนที่กำลังสิ้นหวังคงไม่มีใครคิดอย่างใจเย็นได้อีกแล้วหล่ะนะ กลับกันยังถูกชักจูงได้ง่ายอีกด้วย
พระราชาที่หลอกใช้จุดนั้นได้อย่างแนบเนียนและมีประสิทธิภาพนั้น เป็นคนอันตรายแบบสุดๆอย่างแน่นอน เราเองก็ต้องระวังตัวไว้เหมือนกัน……
〝เรายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกใบนี้ซักนิด… ก่อนอื่นก็ยอมเล่นตามน้ำไปกับมันก่อนละกัน เพราะตอนนี้เราก็ไม่มีที่ไปด้วยนี่นะ กลับกัน… อยู่ในเมืองปลอดภัยกว่าเยอะ〞
ชาญเห็นด้วยกับความคิดของฉัน จึงกระซิบกลับมาว่า 〝งั้นเหรอ… เข้าใจแล้ว〞 แสดงว่าเชื่อใจฉันสินะ น่าดีใจจริงๆ ถึงจะซวยที่มาต่างถิ่นแต่วันนี้ก็มีเรื่องให้ดีใจเยอะชะมัดเลยแฮะ
【 ตะ แต่ว่า ถ้าจะให้เข้าร่วมสงคราม มันก็……..】
〖แน่นอน… เราไม่อาจปล่อยให้พวกท่านไปเพชิญหน้ากับศัตรูในสงครามทั้งที่ยังไม่เคยจับอาวุธมาก่อนได้หรอก ทางเราจะให้พวกท่านฝึกฝนจนกว่าสเตตัสของพวกท่านจะสูงพอที่จะรอดชีวิตในสงครามเอง 〗
ดักทางไว้ได้หมดจดจริงๆ… ราชาเป็นคนอันตรายอย่างที่คิด พอเป็นแบบนี้ก็สามารถหลอกใช้งานพวกเราได้เรื่อยๆ เลยสินะ
ส่วนที่พูดว่าสเตตัสเนี่ย ยังกับในเกมเลยแฮะน่าสงสัยชะมัด…
แล้วอีกคำพูดนึงที่ว่า 〖ยังไม่เคยจับอาวุธมาก่อน〗 นั่น ก็ฟังดูแปลกๆแฮะ ภาพพจน์ของผู้กล้าในสายตาของคนโลกนี้ไม่ใช้คนที่สุดยอดโคตรๆหรอกเหรอ แล้วพระราชาก็พูดเหมือนกับว่ารู้เรื่องของพวกเราอยู่ก่อนแล้วอย่างงั้นแหละ หรือว่าหมอนี่…อาจจะรู้อะไรบางอย่างก็ได้…
อืม… หรือฉันจะแค่คิดมากไปเองนะ?
แต่ก็เพราะแบบนั้น… ทุกคนเลยยินดีที่จะเป็นกำลังให้กับพระราชา จะถูกหลอกง่ายไปแล้วมั้งเนี่ย แต่ก็ว่ากันไม่ได้หรอกเนอะ
พอรู้ว่ามีหนทางกลับบ้านก็คงเหมือนถูกฉุดขึ้นมาจากขุมนรกที่สุดแสนจะสิ้นหวังนั่นหล่ะ พระราชานั้นรู้สึกยินดีมากกับคำตอบของทุกคนเลยคิดจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับพวกเราหลังจากนี้ด้วย แล้วหลังจากนั้นพวกเราก็ถูกส่งไปอยู่ในความดูแลของกองอัศวิน
❖❖❖❖❖