ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 356-2 กำรต่อสู้กันภำยใน และสถำนกำรณ์ ยำกล ำบำกของเหรินฉีหนิง
- Home
- All Mangas
- ชายาเคียงหทัย
- ตอนที่ 356-2 กำรต่อสู้กันภำยใน และสถำนกำรณ์ ยำกล ำบำกของเหรินฉีหนิง
ม่อซิวเหยาได้ยินผู้คนชื่นชมเยี่ยหลี แม้ภายในใจจะ ยังนึกหึงหวงอยู่บ้างแต่กลับยังคงดีใจ แน่นอนว่าเขาหวัง ว่าจะมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นในแผ่นดินนี้ที่ได้เห็นความ ดีของอาหลี แต่กระนั้นก็หวังว่าคนในโลกหล้าจะ ยอมรับเยี่ยหลี และยิ่งไม่อาจทนให้ผู้อื่นดูหมิ่นนางได้ แม้แต่น้อย มิหน าซ้ า เขาในวันนี้ก็ไม่ใช่ม่อซิวเหยาที่ บาดเจ็บสาหัส เสียโฉม และมีชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย อีกต่อไปแล้ว เขาแต่งงานกับเยี่ยหลีมาสิบปี ไม่ จ าเป็นต้องสงสัยความรู้สึกระหว่างกันและกันอีกแล้ว เขา มั่นใจว่าในปฐพีนี้ไม่มีใครที่จะเหมาะสมกับอาหลีมากไป กว่าตัวเองอย่างแน่นอน การหึงหวงในวันธรรมดาจึงเป็น เรื่องสนุกๆ อย่างหนึ่งเท่านั้น
书呆子
“อาหลีของข้าเป็นสตรีที่ฉลาดที่สุดในหล้า เหตุใด ต้องให้เจ้ามาบอกด้วยเล่า” ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วพูด
เยี่ยหลีเหลือบมองเขาอย่างจนปัญญา นางเพียง เงียบไม่พูดจาใดๆ นางก็รู้จักตัวนางเองดี ในเรื่องความ ฉลาดนางไม่ได้นับว่าเป็นคนที่ฉลาดที่สุด สิ่งที่นาง ได้เปรียบก็คือ ตัวเองเป็นเพียงคนที่มีประสบการณ์มา จากชาติก่อนซึ่งแตกต่างจากคนบนโลกนี้อย่างสิ้นเชิง
ถานจี้จือเห็นนัยน์ตาข่มขู่อยู่ร าไรของม่อซิวเหยา ก็ อดยิ้มอย่างชมขื่นไม่ได้ ต่อให้เขามีความกล้าเท่าฟ้าก็ไม่ กล้าสนใจพระชายาติ้งอ๋องหรอก หากเป็นเมื่อก่อน อาจจะยังมีความคิดอยู่บ้าง แต่สองปีมานี้ที่เขาถูกม่อซิว เหยาทรมาน จึงท าให้เขาไม่แม้แต่จะคิด ในโลกหล้านี้มี ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าติ้งอ๋องมองพระชายาส าคัญยิ่งกว่าชีวิต ใครกล้าไปยั่วโมโหก็ต้องดูวิญญาณพยาบาทในเขต พระราชฐานซีหลิงกับเหรินฉีหนิงไว้เป็นตัวอย่าง อีกทั้ง
书呆子
พระชายาติ้งอ๋องก็ไม่ใช่คนเรื่องมาก คนที่ไม่มี ความสามารถไปยั่วยุก็เป็นเพียงแค่สร้างความอับอาย ให้กับตัวเองเท่านั้น
ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีพักอยู่ที่ในเมืองชางชิ่ง ชั่วคราว แต่กลับไม่ได้รีบร้อนที่จะไปต่อกรกับเหรินฉีหนิง เรื่องเหล่านี้พวกเขามอบหมายให้ถานจี้จือไปจัดการเอง คนว่างสองคนจึงไปเดินเล่นอยู่ในตัวเมืองชางชิ่งบ่อยๆ สบายอกสบายใจเป็นที่สุด
วันนี้ หลงจู๊มารายงานขณะที่ทั้งสองก าลังจะ รับประทานอาหาร ทหารกองหน้าของเป่ยจิ้งออก เดินทางไปที่ด่านจื่อจิงแล้ว ไม่กี่วันหลังจากนี้เหรินฉีหนิง จะน าทัพไปด้วยตนเอง ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วพลางยิ้มเอ่ย “เขาช่างวางใจเสียจริง ไม่กลัวว่าจะเกิดความขัดแย้ง ภายในเลยหรือ” เยี่ยหลียิ้มเอ่ย “ดูเหมือนว่าคนของเป่ ยจิ้งจะนิสัยแข็งกร้าวและหยิ่งในศักดิ์ศรี แต่กลับเล่น
书呆子
ละครไม่เป็น เหรินฉีหนิงเพียงแค่กลัวว่าคนเป่ยจิ้งจะเข้า กับขุนนางเก่าราชวงศ์ก่อนไม่ได้ ไม่ได้คิดว่าพวกเขาจะ คิดทรยศ” ม่อซิวเหยาเอ่ย “ในมุมมองของเหรินฉีหนิง ชนเผ่าเป่ยจิ้งไร้ผู้น าไปตั้งนานแล้ว ย่อมนึกไม่ถึงว่าราชินี เห่อหลันจะมีความสามารถเช่นนี้ จะว่าไปแล้ว คนเป่ยจิ้ง ก็คุ้นชินกับการปกครองตนเองภายในชนเผ่ามาแต่ไหน แต่ไร เกรงว่าต่อให้ไม่มีการลอบวางแผนของราชินีเห่อห ลัน ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาต้องคิดแปรพักตร์อย่างแน่นอน”
“เจ้าไปเถิด น าข่าวไปบอกแม่ทัพเหลิ่งไหวที่ ด่านจื่อจิงด้วย” ม่อซิวเหยาเอ่ยก าชับ
หลงจู๊รับค าก าลังจะก้าวถอยออกไป ข้างล่างมีเสียง เอะอะโวยวายดังขึ้น ท าให้ทั้งสองขมวดคิ้วโดยพลัน หลงจู๊กุลีกุจอขอตัวเพื่อไปตรวจดู ม่อซิวเหยาจู่ๆ ก็จะยิ้ม ออกมา พร้อมมองหน้าเยี่ยหลี เอ่ย “อาหลี พวกเราไปดู กันเถิด” ทั้งสองจึงเดินออกจากห้องส่วนตัวไป
书呆子
จากที่สูงบนชั้นสอง ประจวบเหมาะที่จะมองเห็น คนในโถงใหญ่ด้านล่างที่มีบุรษชาวจงหยวนที่สวมใส่ อารณ์หรูหราหลายคนยืนคุมเชิงกับบุรุษอีกหลายคนที่ เห็นชัดว่าเป็นชาวเป่ยจิ้ง ชาวเป่ยจิ้งเหล่านั้นรูปร่างก าย า ล่ าสัน หน้าตาถมึงทึง มองดูก็รู้ว่าคนธรรมดาไม่อาจ ตอแยได้ แต่คนจงหยวนเหล่านั้นแม้ลักษณะจะเป็น บัณฑิตอ่อนแอหน้าใส ทว่าท่าทีพวกเขาก็ดูไม่ ลดราวาศอกแม้แต่น้อย โต้เถียงขัดแย้ง กล่าววาจาคม กริบ
ชาวเป่ยจิ้งไม่ถนัดใช้วาจาต่อสู้ ทุ่มเถียงสู้ชาวจง หยวนไม่ได้ก็โกรธเสียจนหน้าแดง โทสะท่วมท้น เมื่อ โทสะเกิดก็จะลงไม้ลงมือ ชาวจงหยวนหลายคนนั้นแม้ ตัวเองจะไร้เรี่ยวแรง แต่ข้างกายกลับมีองครักษ์ผู้เยี่ยม ยุทธ์ติดมาด้วยจ านวนไม่น้อย แม้ต้องสู้กันก็มิได้หวั่น เกรง
书呆子
สุดท้ายสองฝ่ายพูดจาไม่ถูกหูจึงเริ่มลงมือต่อสู้กัน หลงจู๊คล้ายกับว่าจะชาชินเสียแล้วกับเหตุการณ์เช่นนี้ เร่ง เข้าไปเกลี้ยกล่อมด้วยสีหน้าร้อนรน หลังจากโดนผลัก ออกมาก็ไปหลบอยู่หลังโต๊ะเก็บเงินไม่กล่าวอันใดอีก ชั่ว เวลาไม่เกินน้ าชาครึ่งป้าน ห้องโถงใหญ่ที่เกิดเรื่องก็ เละเทะเสียจนไม่เหลือชิ้นดี
คนเหล่านั้นสู้กันอย่างใจจดใจจ่อ แม้กระทั่งเยี่ยหลี กับม่อซิวเหยาลงมาจากด้านบนก็ไม่มีใครสนใจ หลงจู๊ หลังโต๊ะเก็บเงินเห็นทั้งสองลงมาก็รีบเข้าไปเชิญทั้งคู่ไป ตรงมุมที่วงตีกันไปไม่ถึง ม่อซิวเหยามองไปยังกลางโถง ใหญ่ที่ยังสู้กันชุลมุนด้วยความประหลาดใจ ยิ้มถาม “ดู แล้วเจ้าไม่เห็นร้อนใจเลยสักนิด”
หลงจู๊ลูบหน้าผาก ยิ้มขมขื่นกล่าวว่า “ทุกวันนี้ใน เมืองชางชิ่ง ไม่มีวันไหนที่ไม่มีการต่อสู้ก เอาแค่ในร้าน เล็กๆ แห่งนี้ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามของเดือนนี้แล้ว หาก
书呆子
เป็นที่เฟิงเย่ว์ ยิ่งมิต้องพูดถึง…ขอเพียงคนของทั้งสองฝ่าย มาพบหน้ากันเป็นต้องได้ลงไม้ลงมือกันทุกครั้งไป” จะว่า ไปแล้วก็เพราะโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นสายลับที่ต าหนักติ้ง อ๋องวางไว้ หากสามารถท าก าไรได้แน่นอนว่าเป็นเรื่องดี ขาดทุนก็ไม่เดือดร้อน หากเป็นโรงเตี๊ยมของชาวบ้าน ธรรมดา เกรงว่าคงม้วนเสื่อจากไปเสียนานแล้ว ที่เรียก กันว่าเมืองหลวงเป่ยจิ้งทุกวันนี้ตกต่ าซบเซา นอกเสียจาก เหล่าขุนนางเก่าของราชวงศ์ก่อนกับขุนนางผู้มีอ านาจ ของชนเผ่าเป่ยจิ้งแล้ว ชีวิตของราษฎรทั่วไปล้วนยากจน ข้นแค้น ในเมืองชางชิ่งมีร้านค้าอยู่ไม่กี่ร้าน ดังนั้น โรงเตี๊ยมซึ่งมิได้นับว่าหรูหราอันใดแห่งนี้ของหลงจู๊จึง ประสบเคราะห์อยู่บ่อยครั้ง
เยี่ยหลีขมวดคิ้วพูด “ไม่มีใครมาดูแลเลยหรือ”
หลงจู๊ส่ายหน้าทอดถอนใจ “ใครจะดูแลได้ คนที่ กล้ามีเรื่องในเมืองล้วนแต่เป็นขุนนางเรืองอ านาจในราช
书呆子
ส านักทั้งสิ้น ชาวเป่ยจิ้งที่เป็นผู้น าคนนั้น คือบุตรชายคน เล็กของผู้น าชนเผ่าใหญ่อันดับสองของเป่ยจิ้งเดิม นับว่า เป็นพี่ชายของราชินีเห่อหลัน คนจงหยวนพวกนั้น คือลูก ภรรยาน้อยของมหาเสนาบดีแห่งเป่ยจิ้ง ยังมีคนหนึ่งเป็น น้องชายของสนมอวิ๋นด้วย”
ม่อซิวเหยาลูบคาง คล้ายก าลังครุ่นคิดพลางพูด “นับว่าเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ดีแท้”
ขณะก าลังพูดคุยกันอยู่นั้น กลุ่มคนที่ก าลังต่อยตี กันก็ค่อยๆ ขยับใกล้เข้ามา หนึ่งในชายชาวจงหยวนถูก หมัดหนึ่งของชาวเป่ยจิ้งอัดจนกระเด็นมาตรงหน้าเยี่ยหลี พอดี ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ สะบัดแขนเสื้อหนึ่งครา ร่างของคนผู้นั้นพลันหยุดชะงักไป แล้วล้มลงไปกองอยู่ ด้านข้าง คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นหลังจากลุกขึ้นมาได้แล้วก็ มิได้รีบร้อนไปคิดบัญชีกับคนที่ประเคนหมัดใส่ตัวเอง ทว่าสายตากลับมองมายังร่างของเยี่ยหลีแล้วพลันชะงัก
书呆子
งันไป สายตาคู่นั้นที่ขุ่นมัวเพราะฤทธิ์สุราเผยไอชั่วร้าย ออกมา
เยี่ยหลีแม้จะแปลงโฉมแล้ว ทว่ายังคงดูนุ่มนวล บริสุทธิ์ งดงามสวยสง่า บุรุษหนุ่มผู้นั้นแม้จะเป็นบุตรชาย ของขุนนางระดับสูงภายใต้สังกัดเหรินฉีหนิง ทว่าหลายปี มานี้สตรีที่ได้พบเจอล้วนเป็นสตรีเป่ยจิ้งผอมสูงแข็งแรง หลังจากกลับมาที่ต้าฉู่แล้ว เมืองชางชิ่งนี้ก็ทุรกันดาร มิ เคยได้พบเห็นสตรีที่มีท่าทางโดดเด่นเช่นเยี่ยหลีเลย แม้ จะเป็นสนมอวิ๋นผู้ได้รับความโปรดปรานสูงสุดในวังก็ยังมิ เทียบเทียมเท่า ขณะนั้นจึงมิได้สนใจว่าตนก าลังวิวาทอยู่ กับชาวเป่ยฉี เพียงมองใบหน้างดงามของเยี่ยหลีด้วยสี หน้าชั่วร้าย ยิ้มพูด “ไม่ทราบว่าแม่นางท่านนี้มีนามว่า อะไรหรือ”
เยี่ยหลีตะลึงไปเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าน่าข า หลายปีมานี้เรื่องที่นางได้พบเจอก็นับว่าไม่น้อย แต่การ
书呆子
ถูกคนลามปามท่ามกลางสายตาผู้คนมากมายเช่นนี้ กลับ เป็นครั้งแรก จึงอดยิ้มออกมาไม่ได้ “คุณชายท่านนี้เล่า ชื่อว่ากระไร” เมื่อเห็นเยี่ยหลีถึงกับมิได้มีท่าทีเขินอาย เช่นหญิงสาวทั่วไป ฝ่ายบุรุษก็ให้ถูกใจยิ่ง “ข้าคือ บุตรชายของมหาเสนาบดีแห่งราชวงศ์ปัจจุบัน แม่นาง มิ สู้ไปพักที่จวนมหาเสนาบดีกับข้าสักสองสามวัน ดีกว่ามา ยอมทนอยู่ที่โรงเตี๊ยมโกโรโกโสแห่งนี้หรือ” ชายผู้นั้น เหลือบมองม่อซิวเหยาผู้ยืนอยู่ข้างกายเยี่ยหลีปราดหนึ่ง ก่อนเผยรอยยิ้มดูถูกออกมาเล็กน้อย
หลงจู๊ด้านข้างหดกายไปด้านหลังอย่างไรสุ้มเสียง คุณชายมหาเสนาบดีผู้นี้วางอ านาจบาตรใหญ่อยู่ในเมือง ชางชิ่งมาปีกว่าแล้ว ครานี้มาตกอยู่ในมือของท่านอ๋อง นับว่าเป็นการเดินเข้าถ้ าเสือ รนหาที่ตายโดยแท้