ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 355-1 จุดยืนของจักรพรรดินีหนานจ้าว
หลังจากข่าวการแต่งงานระหว่างภูเขาซางหมางและตำหนักหลีอ๋องถูกประกาศออกไป เนื่องจากขุนนางผู้มีอำนาจจากแคว้นต่างๆ ที่เดินทางมาร่วมงานวันเกิดต่างเดินทางกลับกันไปหมดแล้ว ข่าวนี้จึงมิได้สร้างความฮือฮาสักเท่าไรนัก ส่วนตัวละครหลักในการแต่งงานครั้งนี้ คงมีเพียงม่อจิ่งหลีคนเดียวที่รู้สึกดีใจกับเรื่องนี้จริงๆ เขาเลือกที่จะจัดงานแต่งงานในเมืองหลี ส่วนหนึ่งก็เพื่อเป็นการแสดงอำนาจให้ตำหนักติ้งอ๋องเห็น แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าการที่เขามีโอกาสแต่งงานในครั้งนี้ ก็เพราะตำหนักติ้งอ๋องปฏิเสธภูเขาซางหมางไปก่อน การแสดงอำนาจเพียงแค่นี้ก็ดูจะกระอักกระอ่วนและน่าเบื่อสิ้นดี อีกสิ่งที่เกิดตามมาคือความรู้สึกเคารพและยำเกรงของเขาต่อพวกภูเขาซางหมางที่ลดน้อยลง จากเดิมมีเต็มสิบ บัดนี้กลับเหลือเพียงเจ็ดในสิบเท่านั้น
เมื่อเทียบกับตงฟางโยวซึ่งรังเกียจและไม่สนใจการแต่งงานแล้ว ตงฟางฮุ่ยเองก็อารมณ์ไม่สู้ดีพอๆ กัน ที่จริงแล้วหลังจากที่ตำหนักติ้งอ๋องปฏิเสธข้อเสนอของนาง และนางได้ปฏิเสธเหรินฉีหนิงไป ตัวเลือกของภูเขาซางหมางก็เหลือเพียงม่อจิ่งหลีเท่านั้น ทว่าการเป็นผู้เลือกให้ผู้สืบทอดภูเขาซางหมางแต่งงานกับม่อจิ่งหลีด้วยตนเอง กับสถานการณ์ในตอนนี้มันช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว
เดิมทีหากตงฟางโยวได้ตกร่องปล่องชิ้นกับตำหนักหลีอ๋อง ภูเขาซางหมางจะยังคงมีศักดิ์ศรีและน่าเชิดชูอยู่เช่นเดิม แต่หลังจากผ่านเรื่องครานี้ไปแล้ว การแต่งงานกลับมีแต่จะทำให้เหล่าขุนนางของต้าฉู่รู้สึกต่างไปจากเดิม ภูเขาซางหมางไม่สามารถปฏิเสธการแต่งงานของตงฟางโยวในครั้งนี้ได้ด้วยซ้ำ ถึงแม้เรื่องของม่อจิ่งหลีและตงฟางโยวจะไม่ได้ถูกป่าวประกาศจนรู้กันไปทั่วหล้า แต่คนที่ควรรู้ต่างก็รู้กันหมด เมื่อถูกมัดมือชกเช่นนี้ ภูเขาซางหมางจึงทำได้เพียงต้องจำใจยอมรับ ไม่มีทางเลือกอื่น
เรื่องวุ่นวายเหล่านี้ทำให้ตงฟางฮุ่ยจิตใจหมองหม่น ถึงขั้นพาลแค้นเคืองตำหนักติ้งอ๋องและตระกูลสวีไปด้วย อันที่จริง ตั้งแต่ที่ตำหนักติ้งอ๋องปฏิเสธภูเขาซางหมางเป็นต้นมา สถานะของภูเขาซางหมางก็เริ่มอยู่ในอันตราย หากไม่รีบถอนตัว ไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้และกลับไปหลบลี้ที่ภูเขาซางหมาง ก็ทำได้เพียงเลือกสนับสนุนใครอีกคนหนึ่งเท่านั้น แต่เมื่อมาเป็นเช่นนี้ ชื่อเสียงการเป็นผู้แทนสวรรค์ในการเลือกผู้นำแห่งใต้หล้าของภูเขาซางหมางก็จะถูกทำลายลงอย่างหนักหน่วง
เดิมทีพวกเขาได้เลือกตำหนักติ้งอ๋องไว้แล้ว แต่ตำหนักติ้งอ๋องไม่สนใจจึงเปลี่ยนไปเลือกผู้อื่น เช่นนี้ก็เท่ากับการเลือกผู้นำมิได้มีการกำหนดไว้ชัดเจน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ต่างฝ่ายก็ต่างใช้ความสามารถเข้าสู้ได้ แล้วจะบอกว่าภูเขาซางหมางเป็นผู้แทนสวรรค์ในการเลือกผู้นำได้อย่างไร
และด้วยเหตุนี้เอง ข่าวการแต่งงานของม่อจิ่งหลีและตงฟางโยวจึงมิได้สร้างความฮือฮาอะไรมากมาย อำนาจของภูเขาซางหมางเป็นที่น่าอิจฉาของผู้คนก็จริง แต่เมื่อภูเขาซางหมางเข้าร่วมสงครามนี้แล้วก็ย่อมมีข้อเสียอยู่มาก เรื่องนี้ทุกคนต่างรู้ดี เพียงแต่ทุกคนยังคงเสียดายชื่อเสียงความเป็นธิดาแห่งสวรรค์ของพวกเขาเท่านั้น ในเมื่อบัดนี้ชื่อเสียงนั้นของภูเขาซางหมางไม่เหลืออยู่แล้ว กลุ่มหญิงสาวที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรจึงดูไม่สำคัญอีกต่อไป
ในขณะที่ม่อจิ่งหลีและตระกูลตงฟางกำลังวุ่นวายอยู่กับการจัดงานแต่งงานนั้น ทางฟากตำหนักติ้งอ๋องเองก็มิได้อยู่ว่างๆ เช่นกัน ทั้งม่อซิวเหยา เยี่ยหลี และพลทหารของกองทัพตระกูลม่อ รวมถึงม้าทุกตัว ต่างเตรียมพร้อมสำหรับการออกรบกันอยู่ทุกขณะ แม่ทัพระดับสูงของตำหนักติ้งอ๋องเข้าใจเป็นอย่างดีว่าการออกรบครั้งนี้เป็นการชี้เป็นชี้ตายกับกองทัพของแคว้นเป่ยหรง พวกเขาต้องการล้างแค้นที่ในครานั้นกองทัพตระกูลม่อเกือบต้องล่มสลาย และม่อซิวเหวินซึ่งเป็นติ้งอ๋องในสมัยนั้นต้องเสียชีวิตลง ดังนั้น หากทหารของเป่ยหรงนายไหนกล้าก้าวเข้ามาในเขตแดน ก็อย่าคิดจะได้กลับแคว้นเป่ยหรงไปอีกเลย
ภายในโรงพักม้าของหนานจ้าว
เยี่ยหลีและองค์หญิงอันซีนั่งอยู่ตรงข้ามกันพลางดื่มชาอย่างผ่อนคลาย บัดนี้ท้องขององค์หญิงอันซีไม่เล็กแล้ว เห็นได้ชัดว่าต้องเป็นองค์ชายหรือองค์หญิงตัวน้อยที่แข็งแรงเป็นแน่ สีหน้าขององค์หญิงอันซีที่เคยดูสดใสมั่นใจก็เริ่มดูอ่อนโยนและนุ่มนวลมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสตรีที่มีตำแหน่งสูงเพียงใด หากกำลังจะเป็นแม่คน ก็มักจะอ่อนโยนและดูมีเมตตาขึ้นเสมอ
“ไม่กี่วันที่ผ่านมาข้าวุ่นวายไม่ได้หยุด เพิ่งจะได้พักผ่อนวันนี้เอง แต่ข้ากลับต้องเตรียมออกเดินทางไกลอีก จึงไม่สามารถดูแลท่านได้สักเท่าไร” เยี่ยหลีหันมององค์หญิงอันซีด้วยสีหน้ารู้สึกผิดพร้อมเอ่ยขึ้น องค์หญิงอันซีเป็นถึงจักพรรดินี จึงคุยไม่ถูกคอกับสตรีธรรมดาทั่วไป แต่ช่วงนี้เยี่ยหลีก็ดันมีเรื่องรัดตัวมากมาย ทำให้ไม่ได้ทำหน้าที่รับแขกอย่างที่ควรจะทำ
องค์หญิงอันซีเอ่ยพลางหัวเราะว่า “เจ้าและข้าต่างเป็นคนที่ไม่อาจทำตามใจตัวเองได้ จะมาขอโทษทำไมกัน ครั้งนี้เจ้าวางแผนจะออกรบกับติ้งอ๋องด้วยหรือ” เยี่ยหลีพยักหน้า เอ่ยตอบว่า “แน่นอนอยู่แล้ว” ถึงแม้นางค่อนข้างจะเป็นห่วงลูกน้อยสองคนที่เพิ่งเกิดได้ไม่นาน แต่เยี่ยหลีก็ยังเป็นห่วงม่อซิวเหยาในสนามรบเสียมากกว่า คราก่อนก็เกือบพลาดท่าที่ซีหลิง ครานี้ต้องเผชิญหน้ากับเป่ยหรงและเฮ่อเหลียนเจิน ซึ่งสังหารคนทางตอนเหนือของต้าฉู่ไปมากกว่าครึ่ง แถมยังมีความแค้นฝังลึกกับกองทัพตระกูลม่อ หากเยี่ยหลีไม่ตามไปด้วยจะวางใจได้อย่างไร จะว่าไปนางก็รู้สึกผิดกับเด็กน้อยทั้งสามเช่นกัน ไม่กี่ปีมานี้ม่อตัวน้อยถูกเลี้ยงดูโดยตระกูลสวีเกินกว่าครึ่ง และบัดนี้เด็กน้อยสองคนเพิ่งคลอดออกมาได้สองเดือน แต่พวกเขากลับต้องมาออกรบอีกครั้ง จึงต้องฝากเด็กๆ ไว้กับท่านยายใหญ่และท่านยายรองแทน
“จะว่าไป ตอนนั้นข้าก็อยากขี่ม้าออกรบเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะแย่งข้าทำไปก่อน” องค์หญิงอันซีเอ่ยพลางหัวเราะ “เรียกได้ว่าบัดนี้พระชายาติ้งอ๋องเป็นแม่ทัพหญิงอันดับหนึ่งของใต้หล้าเลยทีเดียว”
เยี่ยหลีเอ่ยพลางหัวเราะอย่างจนปัญญา “แม่ทัพหญิงอะไรกัน ข้าเคยนำทัพออกรบเสียที่ไหน เพียงแค่ติดตามไปก็เท่านั้น”
องค์หญิงอันซีเอ่ยพลางหัวเราะ “ว่าแต่ ติ้งอ๋องยอมให้เจ้าพากองทัพบุกฝ่ากับดักไปได้อย่างไร พระชายาควรจะเป็นแม่ทัพที่ช่วยวางกลยุทธ์ถึงจะถูก คนจงหยวนมิได้มีคำกล่าวที่ว่า ‘แม่ทัพผู้โหดเหี้ยมนั้นหาง่าย แต่แม่ทัพผู้ทรงปัญญานั้นหายาก’ หรอกหรือ”
เยี่ยหลีเงียบไป พวกเราชาวจงหยวนมีประโยคเช่นนี้ด้วยหรือ
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เยี่ยหลีก็เอ่ยพลางหัวเราะว่า “บัดนี้จงหยวนอยู่ในความวุ่นวาย แต่ท่านจักรพรรดินียังคงอยู่อย่างสุขสบาย ช่างน่าอิจฉาเสียจริง”
หนานเจียงเป็นดินแดนอันไกลโพ้น จึงเป็นดินแดนแห่งความป่าเถื่อนมาตั้งแต่ในอดีต ถึงแม้ฮ่องเต้สมัยก่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นใคร ต่างก็ชอบไปสู้รบกับที่นั่นบ้างครั้งสองครั้ง แต่กลับไม่มีใครเคยเอาชนะได้จริงๆ สักครั้ง แต่มิใช่เพราะหนานจ้าวแข็งแกร่งเกรียงไกรเพียงใด ถึงแม้ผู้คนในหนานจ้าวจะกล้าหาญ แต่ก็อาศัยอยู่ในแคว้นอันแร้นแค้น จึงไม่มีกำลังทหารและม้าสักเท่าใดนัด ฮ่องเต้สมัยก่อนๆ จะเข้าโจมตีหนานจ้าวก็ต่อเมื่อหนาวจ้าวรุกล้ำดินแดน หรือเมื่อบ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองจึงต้องการขยายอาณาเขตสร้างชื่อเสียงให้ตนเองในหน้าประวัติศาสตร์เท่านั้น ไม่เคยมีใครใช้กำลังทั้งหมดสู้รบกับหนานจ้าวจริงๆ เพราะถึงแม้จะรบชนะ ก็คงได้ไม่คุ้มเสีย และเมื่อถึงคราวสงครามในปัจจุบัน ทุกฝ่ายจึงไม่มีใครสนใจหนานจ้าวอีก แค่แย่งชิงดินแดนจงหยวนอันอุดมสมบูรณ์ก็ยุ่งมากพอแล้ว ใครจะมีเวลาไปสนใจแคว้นเล็กๆเช่นนั้นกัน
“ดูท่าท่านจักพรรดินีจะไม่คิดเข้าร่วมสงครามครั้งนี้จริงๆ” เยี่ยหลีหัวเพราะพลางเอ่ยถาม ที่จริงนางก็พอจะเข้าใจความคิดขององค์หญิงอันซี แม้ว่าองค์หญิงอันซีจะมีความสามารถในการปกครอง แต่นางก็ยังเป็นสตรีซึ่งโดยธรรมชาติแล้วมักไม่มีความทะเยอทะยานในการขยายดินแดนหรือกระทำการอันโหดเหี้ยม เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องดีสำหรับประชาชนในแคว้นหนานจ้าว เพราะถึงแม้หนานจ้าวจะมีกองทัพที่แข็งแกร่ง แต่ก็มีจำนวนเพียงไม่กี่แสนคน และยังมีชนเผ่าอีกมากมายที่ปกครองตนเองและไม่ฟังคำสั่ง สงครามที่เกิดขึ้นในตอนนี้ข้องเกี่ยวกับทหารหลายล้านนาย หากหนานจ้าวจะเข้าร่วมก็คงเป็นเพียงเศษฝุ่นในสงครามเท่านั้น
องค์หญิงอันซีส่ายหน้า ลูบคลำหน้าท้องตัวเองเบาๆ เอ่ยตอบว่า “ข้าเพียงต้องการให้ชาวหนานจ้าวอยู่เย็นเป็นสุข ให้ลูกน้อยของข้าเกิดและเติบโตอย่างปลอดภัย ได้รับตำแหน่งจักพรรดิต่อจากข้า เพียงแค่นี้ชีวิตข้าก็สมบูรณ์แล้ว”
เยี่ยหลีถอนหายใจ เอ่ยขึ้นว่า “ชีวิตคนธรรมดาก็ควานหาเพียงความสงบสุขเท่านั้น ท่านจักพรรดินีสามารถปกป้องดูแลปวงประชาได้เยี่ยงนี้ นับเป็นบุญยิ่งนัก” องค์หญิงอันซีหัวเราะพลางเอ่ยขึ้นว่า “บัดนี้จงหยวนมีสงครามวุ่นวาย แต่กลับมีเพียงประชาชนของติ้งอ๋องและพระชายาเท่านั้นที่ยังใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและไม่กังวลกับสงครามได้ จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่ประชาชนที่ข้าพบเจอตลอดทางขึ้นเหนือมานี้จะระลึกถึงชื่อของติ้งอ๋องและพระชายาด้วยความซาบซึ้ง”