ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] - บทที่ 470 รูปแกะสลัก
บทที่ 470: รูปแกะสลัก
“เรื่องด่วนที่ว่าก็คือการมาที่นี่” โจวเซียนหลงดูสงบนิ่งเป็นอย่างมากขณะที่เขาพยักหน้าเบา ๆ และเดินลึกเข้าไปในศาลากลาง “มันเป็นความตั้งใจของผมเองที่จะทำให้เรื่องเป็นแบบนี้ เสี่ยวฉินเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ไม่มีปัญหาครับ หัวหน้าครับ…”
โจวเซียนเงยหน้าขึ้นและส่ายหน้าเบา ๆ โม่ฉางห่าวที่เห็นดังนั้นก็เงียบไปทันที จากนั้น ทั้งคู่ก็เดินไปตามทางเดินอย่างเงียบ ๆ แทบจะเหมือนกับว่าคนอื่น ๆ ไม่สามารถมองเห็นพวกเขาได้ จนกระทั่งทั้งสองเดินมาถึงที่หน้าทางเดินฉุกเฉิน และพวกเขาก็รีบเดินเข้าไปทันที
ตอนนี้พวกเขาอยู่ขั้นล่างสุดแล้ว แต่ถึงกระนั้น…มันกลับยังมีขั้นบันไดที่นำทางให้เดินลึกลงไปอีก!
แต่ถึงกระนั้น พวกเขากลับดูไม่ได้แปลกใจเกี่ยวกับการมีอยู่ของมันเลยแม้แต่น้อย พวกเขายังคงเดินต่อไปอีกประมาณห้านาทีเต็ม จนกระทั่งหยุดลงอยู่ตรงหน้าประตูเหล็กบานหนึ่ง
“DS008 นั่นคือรหัสที่คุณกำหนดเอาไว้ในตอนนั้น” โม่ฉางห่าวถอนหายใจออกาขณะที่หยิบคีย์การ์ดและแตะลงไปเหนือรูกุญแจของประตู
น่าแปลก ประตูเหล็กที่ดูเก่าแก่กลับมีเสียงกลไกดังขึ้น “ตรวจพบการอนุญาตระดับสูง โปรดสแกนม่านตาของคุณ”
พึ่บ…
ช่องเล็ก ๆ บนประตูเหล็กเปิดออก เผยให้เห็นอุปกรณ์ตรวจสอบรูม่านตาที่อยู่ภายใน…
โม่ฉางห่าวโน้มหน้าเข้าไปใกล้ๆ
“การยืนยันเสร็จสิ้น” ประตูเหล็กส่งเสียงคลิ๊กเบา ๆ และเปิดออก ก่อนจะเผยให้เห็นห้องที่เต็มไปด้วยเครื่องมือทันสมัยมากมาย!
ที่แห่งนี้ไม่ใช่ที่ใดอื่นนอกจากสำนักงานใหญ่ของหน่วยสอบสวนพิเศษสาขาเมืองหวู่หยาง!
“หัวหน้า มันมีเรื่องอะไรที่พวกเราไม่สามารถพูดตอนที่อยู่ด้านบนได้กันครับ?” โม่ฉางห่าวไม่สามารถเก็บความสงสัยเอาไว้กับตัวได้อีกต่อไป “แล้วทำไมเราถึงต้องทำการทดสอบร่างกายอย่างเต็มรูปแบบกับคุณฉินด้วย? นี่มันไม่จำเป็นเลยสักนิด! เขามีเงา! วิญญาณไม่สามารถหลอกเราได้! และเขายังเป็นขั้นตุลาการนรกอีกด้วย!”
“คุณเคยเห็นผู้ฝึกตนที่เลื่อนขั้นได้อย่างรวดเร็วมาก่อนหรือเปล่า?” โจวเซียนหลงยังคงเดินต่อไปโดยไม่หันหลังกลับ ทางเดินดังกล่าวไม่ได้ยาวมากนัก และมันก็ดูเหมือนจะเชื่อมไปสู่โถงที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์มากมายที่ดูเหมือนจะบันทึกภาพของมุมทุกมุมในเมืองหวู่หยางเอาไว้ ผู้สอบสวนจำนวนหนึ่งที่แต่งการด้วยเครื่องแบบลายพรางและชุดปฏิบัติการสีขาวยืนกระจัดกระจายอยู่และยุ่งอยู่กับงานของตนเอง
โม่ฉางห่าวส่ายหน้าแต่ยังคงยืนกรานความคิดของตน “ตราบใดที่เขาเป็นมนุษย์ ผมก็ไม่สนหรอกครับว่าเขามีความลับอะไรอยู่ หัวหน้า คุณเองก็รู้ดีว่าตอนนี้เรากำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบไหน! วิญญาณร้ายที่อยู่ที่มณฑลซานตงอาจจะเป็นวิญญาณร้ายอายุพันปี และเขาก็กำลังอาละวาดไปทั่ว! ตอนนี้มันใช่เวลาที่จะมาสนใจเรื่องเล็กน้อยแบบนี้เหรอครับ?!”
“ผมเห็นด้วย” โจวเซียนหลงเดินเข้าไปในโถง ทันใดนั้น ทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็หันมามองและโค้งคำนับเขาด้วยความเคารพ ชายสูงวัยพยักหน้าเล็กน้อย และเดินนำโม่ฉางห่าวไปที่ห้องอีกห้องหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง
มันเป็นห้องทรงกลมที่มีพื้นที่ประมาณ 100 ตารางฟุต มันไม่มีสิ่งใดที่น่าสังเกตเป็นพิเศษเกี่ยวกับห้อง ๆ นี้นอกจากโครงสร้างที่คล้ายกับรังผึ้งที่ไล่ไปถามทุกส่วนของผนัง
ฟึ่บ...
บานประตูด้านหลังของพวกเขาปิดลง และมันก็เป็นตอนนั้นเองที่โจวเซียนหลงหันกลับมาสบตากับโม่ฉางห่าว “แต่อันดับแรก เขาจะต้องเป็นมนุษย์”
จากนั้น เขาก็กลับหลังหันและพูดเสียงดัง “นำเอกสารหมายเลข 871 ออกมา” ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังมาจาก ‘รังผึ้ง’ ที่อยู่ด้านหลัง ไม่กี่วินาทีต่อมา เสียงของระบบก็ดังขึ้น “ตรวจพบการเข้าถึงระดับสูง รองผู้อำนวยการโจวเซียนหลง กรุณารอสักครู่ คำขอของคุณกำลังดำเนินการค่ะ”
เกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่งขณะที่ทั้งคู่รอคอยถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป
โม่ฉางห่าวขมวดคิ้ว เมื่อคืนนี้ เขาได้รับคำสั่งโดยตรงจากโจวเซียนหลงให้เป็นประธานในพิธีเลื่อนตำแหน่งของฉินเย่ภายในเมืองหวู่หยาง เขาไม่เคยได้ยินคำขอแบบนี้มาก่อน! ในอดีต ขั้นตุลาการนรกทุกคนจะต้องรายงานตัวกลับไปที่เมืองเยียนจิงสำหรับการเลื่อนระดับของพวกเขา และเข้าสถาบันศึกษาเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเป็นระยะเวลาหลายเดือน ก่อนจะจัดงานแถลงข่าวและได้รับการแต่งตั้งในปีถัดไป
โม่ฉางห่าวเคยได้ยินเรื่องของฉินเย่มาก่อน
เขารู้เรื่องของอาจารย์ผู้สอบที่ได้เขียนวิทยานิพนธ์ฉบับแรกซึ่งถูกเผยแพร่โดยสำนักฝึกตนแห่งแรก ดังนั้น ความคิดแรกของเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงคิดว่าเป็นเพราะว่าพวกระดับสูงของหน่วยสอบสวนพิเศษนั้นชื่นชอบเด็กหนุ่มที่มีความสามารถอย่างอีกฝ่าย และพวกเขาก็ต้องการให้ฉินเย่รวบรวมประสบการณ์ในเมืองหวู่หยางก่อนจะย้ายไปยังที่อื่น และที่โจวเซียนหลงเป็นคนโทรศัพท์มาด้วยตัวเองก็เพราะว่าชายสูงวัยคือคนดูแลฉินเย่ในตอนที่อยู่ที่สำนักฝึกตนแห่งแรก และการเลื่อนระดับไปสู่ขั้นตุลาการนรกก็เป็นเรื่องที่สมควรจะได้รับความสนใจจากตน แต่ตอนนี้…หลังจากที่ได้เห็นอุปกรณ์และเครื่องมือมากมายที่อยู่ในห้องทดสอบก่อนหน้านี้ เขาก็รู้ได้ทันทีว่ามันมีอะไรมากกว่าที่เห็น!
เขารู้จักเครื่องมือเหล่านี้…!
พวกมันคือเครื่องตรวจจับที่ทันสมัยที่สุดของ SRC ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตรวจจับวิญญาณกาฝากที่ร้ายแรง เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว วิญญาณที่อาศัยอยู่ภายในร่างของมนุษย์ก็เป็นวิญญาณที่ตรวจจับได้ยากที่สุด ด้วยเหตุนี้ การตรวจสอบขั้นตุลาการนรกคนใหม่ด้วยเครื่องมือแบบนี้จึงไม่ถือว่าเป็นการชื่นชอบเด็กหนุ่มเลยแม้แต่นิดเดียว!
กลับกัน…มันคือความสงสัย
สงสัยเป็นอย่างมาก!
ด้วยการมีขั้นตุลาการนรกอยู่รอบ ๆ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่วิญญาณจะสามารถปกปิดตัวตนของตัวเองและหลบเลี่ยงสายตาของพวกเขาได้ยกเว้นแต่ว่านั่นจะเป็นวิญญาณขั้นฝู่จวิน ควบคู่กับผลการทดสอบ โม่ฉางห่าวคิดว่าความสงสัยเหล่านั้นจะหมดไป แต่เขากลับไม่คิดเลยว่ามันจะดำเนินต่อไปไม่รู้จบเช่นนี้!
เอกสารหมายเลข 871 โม่ฉางห่าวนึกถึงระบบจัดเรียงตัวเลขของเอกสาร มันถูกไล่ลำดับจากต่ำไปสูง ซึ่งนั่นหมายความว่าเอกสารชุดนี้…จะต้องเป็นหนึ่งในเอกสารใหม่ล่าสุดอย่างนั้นเหรอ?
และมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นชิ้นที่เพิ่งถูกเปิดในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาอีกด้วย!
เขานึกถึงเอกสารที่ตนเคยเห็นเมื่อสามเดือนที่แล้ว และตัวเลขของมันทั้งหมดก็ล้วนเริ่มต้นด้วย ’86’ ทั้งสิ้น
ทันใดนั้นเอง หนึ่งในชั้นรังผึ้งก็ส่งเสียงอู้อี้ออกมาเบา ๆ และแท็บเล็ตเครื่องเล็กก็ถูกดันออกมาจากช่องว่าง หน้าจอแท็บเล็ตกระพริบเล็กน้อย ก่อนที่จะมีวิดีโอปรากฏขึ้น
มันเป็นวิดีโอของสถานที่ขุดค้นที่ได้รับการป้องกันอย่างแน่นหนา วัตถุโบราณมากมายกำลังถูกขุดขึ้นมาจากพื้น
โม่ฉางห่าวไม่ค่อยคุ้นเคยกับวัตถุเหล่านี้ แต่เขาก็สามารถบอกได้ว่าวัตถุดังกล่าวน่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่าร้อยปี พวกมันดูเก่าและโบราณเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามันมาจากสมัยของราชวงศ์ใด นอกจากนี้ เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมโจวเซียนหลงถึงเปิดวิดีโอนี้ให้เขาดู เพราะอย่างไรแล้ว อีกฝ่ายเองก็ไม่ใช่คนที่ชื่นชมกับพวกวัฒนธรรมมากนัก
เป็นไปได้หรือไม่ว่านักโบราณคดีพวกนี้จะขุดพบโลงศพโบราณ? หรืออาจจะวัตถุหยิน?
แต่ท้ายที่สุดแล้ว…เขาก็คิดผิด
นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ขุดค้นวัตถุโบราณที่ธรรมดาที่สุดแห่งหนึ่ง วัตถุโบราณที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่ถูกค้นพบนั้นเป็นเพียงแผ่นหินเท่านั้น ห้านาทีต่อมา วิดีโอดังกล่าวก็จบลง และหน้าจอก็แสดงให้เห็นวัตถุแต่ละชิ้นที่ถูกค้นพบ เมื่อไม่สามารถเก็บความอยากรู้ของตัวเองได้อีกต่อไป โม่ฉางห่าวก็ถามออกไปในที่สุด “นี่มันเรื่องอะไรกันครับ?”
โจวเซียนหลงเองก็กดปุ่มหยุดเล่นแทบจะในเวลาเดียวกัน
วิดีโอดังกล่าวหยุดลงที่แผ่นจารึกหินแผ่นหนึ่งที่ถูกขุดขึ้นมา
ภาพดังกล่าวเผยให้เห็นด้านหน้าของแผ่นหิน มันดูเก่ามาก และยังถูกปกคลุมไปด้วยเศษดินสีดำ ความยาวรอบรูปของแผ่นจารึกทั้งแผ่นอยู่ที่ประมาณ 4-5 เมตร ด้านบนสุดของแผ่นมีปฏิมากรรมนูนต่ำของชายคนหนึ่งถูกสลักเอาไว้ ตามมาด้วยข้อความสองบรรทัดที่ไล่ลงมาด้านล่าง บรรทัดหนึ่งยาว ในขณะที่อีกบรรทัดหนึ่งสั้น
โจวเซียนหลงขยายภายที่ถูกหยุดเอาไว้ และมันก็ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้โม่ฉางห่าวสามารถเห็นข้อความดังกล่าวได้อย่างชัดเจน และเขาก็อดไม่ได้ที่จะอ่านมันออกมาเสียงดัง “ฉินกวงหวาง ท่านเปา จ้วงหลุนหวาง… พวกนี้คือรายชื่อของพระยมแห่งพระตำหนักทั้ง 10…”
เขายังคงอ่านเนื้อหาทั้งหมดต่อไป หากตัวหนังสือบรรทัดยาวนี้สลักถึงรายชื่อของพระยมแห่งพระตำหนักทั้งสิบ เช่นนั้นมันก็มีความเป็นไปได้ที่ข้อความอีกบรรทัดหนึ่งจะสลักชื่อของจ้าวนรกเอาไว้
แต่ทันทีที่เขาเปลี่ยนไปอ่านข้อความอีกบรรทัด เขาก็ต้องยืดหลังตรงและมองดูหน้าจออีกครั้ง โม่ฉางห่าวคือผู้ว่าราชการระดับมณฑล แต่ถึงกระนั้น แม้แต่เขาเองก็ไม่สามารถปกปิดความตกใจของตัวเองได้
“นะ นี่มัน…” เขาส่ายหน้าไปมาด้วยความเหลือเชื่อ แม้แต่ริมฝีปากของเขาก็สั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ “นี่จะต้องเป็นเรื่องบังเอิญใช่ไหมครับ? มันจะต้องเป็นเรื่องบังเอิญแน่ๆ!…”
มันมีเพียงไม่กี่คำที่ถูกสลักเอาไว้
จ้าวนรกฉินเย่!
โม่ฉางห่าวพึมพำกันตัวเอง “เขาเพิ่งอายุแค่ 19 ปีเท่านั้น การที่มีชื่อของเขาบังเอิญปรากฏอยู่มันแทบจะไม่มีความหมายอะไรเลยสักนิด…”
“แต่ มันเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ น่ะเหรอ?” โจวเซียนหลงพยักหน้าเงียบ ๆ จากนั้นจึงแตะไปที่หน้าจอ “ถ้าอย่างนั้น…นี่…ก็คงจะเป็นเรื่องบังเอิญด้วยใช่ไหม?”
หน้าจอแท็บเล็ตเผยให้เห็นรูปถ่ายของฉินเย่ที่ถูกถ่ายจากด้านหน้า
คิ้วหนา ตาโต ผิวขาวและรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้า เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีเสน่ห์และค่อนข้างหน้าตาดีเลยทีเดียว
จากนั้น โจวเซียนหลงก็เปิดอีกโปรแกรมหนึ่งซึ่งเขาวางรูปถ่ายของฉินเย่ลงไปบนรูปปฏิมากรรมนูนต่ำที่อยู่บนแผ่นจารึก
ในวินาทีนั้น หัวใจของโม่ฉางห่าวก็หยุดเต้นไปชั่วขณะ!
ใบหน้าบนแผ่นหินสวมหมวกทรงสั้นของจงขุยและเสื้อคลุมของขั้นตุลาการนรก... แต่เครื่องหน้าของเขากลับเหมือนกับกับรูปของฉินเย่ไม่มีผิด! พวกเขาแทบจะเป็นคน ๆ เดียวกันเลยด้วยซ้ำ!
ตึกตัก…ตึกตัก…ตึกตัก…
หัวใจของโม่ฉางห่าวเต้นแรงจนแทบจะทะลุออกมาจากอก เขาเคยประสบกับเรื่องแปลกประหลาดมามากมายในชีวิต แต่ความบังเอิญนี้มันให้ความรู้สึกไม่ต่างอะไรกับฝันไปเลยสักนิด
ทันใดนั้น โจวเซียนหลงก็ปล่อยนิ้วออกจากเมาส์และปล่อยให้รูปของฉินเย่ ‘ตก’ ลงบนภาพบนแผ่นหิน ในเวลาเดียวกัน ตัวเลขมากมายเริ่มปรากฏขึ้นที่ด้านข้างของหน้าจอ ในขณะที่แถบดำเนินการเริ่มขยับเพิ่มขึ้นจากซ้ายไปขวา
เงียบสนิท…
สิบวินาทีต่อมา พร้อมกับเสียงติ้งเบา ๆ เสียงของระบบก็เผยผลลัพธ์ที่น่าตกตะลึงออกมา “สแกนใบหน้าเสร็จสิ้น ผลลัพธ์มีดังนี้”
“ระยะห่างระหว่างคิ้ว: 2.2 ซม. ความกว้างของจมูก: 4.57 ซม. ร่องริมฝีปากบน: 2.87 ซม…. ความเอียงและองศาของใบหน้าตรงกัน ภาพที่ถูกตรวจพบในภาพถ่ายนั้นตรงกับภาพเปรียบเทียบ 100% ผลลัพธ์: คนเดียวกัน”
เงียบ…
เงียบกริบ…
โม่ฉางห่าวหลับตาลงอีกครั้งและดำดิ่งอยู่กับใจที่สั่นเทาของตัวเอง ริมฝีปากของเขาเริ่มรู้สึกแห้งผาก
สามนาทีต่อมา เขาก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงที่แหบพร่า “มัน…เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เมื่อหนึ่งเดือนก่อน” โจวเซียนหลงกอดอกและคลึงระหว่างหัวคิ้วของตัวเอง “แล้วคุณรู้ไหมว่าเราพบมันได้อย่างไร?”
โม่ฉางห่าวส่ายหน้า เขาไม่รู้แล้วว่าตัวเองควรเชื่ออะไร
ตอนนี้ภายในหัวของพวกเขามีคำถามอยู่มากมายเกินไป จ้าวนรก...ช่างเป็นตัวตนที่น่าเคารพอะไรขนาดนี้…
ฉินกวงหวา ตู้ซื่อหวาง จ้วงหลุนหวาง และพระยมตนอื่น ๆ ของพระตำหนักทั้งสิบนั้นยังสามารถหาเบาะแสได้ในแดนมนุษย์ แต่จ้าวนรกนั้นเป็นเพียงผู้เดียวที่ไม่สามารถสืบหาข้อมูลได้เลย
เขาแทบจะเป็นเหมือนกับเทพไร้นาม!
แต่ตอนนี้…ในที่สุดพวกเขาก็สามารถหาชื่อของอีกฝ่ายได้แล้ว?! แต่เป็นฝีมือของใครกัน?
เด็กหนุ่มอายุ 19 คนนั้นคือจ้าวนรกของยมโลกอย่างนั้นเหรอ?
ไม่… ลองมาย้อนดูกันใหม่ หากเขาเป็นจ้าวนรกจริง ๆ แล้วทำไมเขาถึงมาอยู่ในแดนมนุษย์? แล้วแผ่นหินพวกนี้ปรากฏขึ้นได้อย่างไร? ข้อเท็จจริงที่ว่าจ้าวนรกปรากฏตัวขึ้นในแดนมนุษย์ย่อมหมายความว่ามันมีความจำเป็นบางอย่าง ดังนั้นทำไมแผ่นหินที่เปิดเผยตัวตนของเขาถึงปรากฏขึ้นอย่างกระทันหันแบบนี้?
คำถามมากมายยังคงผุดขึ้นมาในหัวอย่างต่อเนื่องราวกับฟองที่ผุดขึ้นเวลาน้ำเดือด
โจวเซียนหลงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ของตัวเองและเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ “พวกเราสามารถค้นพบเรื่องนี้ได้ก็เพราะว่า…ในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือน แผ่นหินที่คล้ายกัน 364 แผ่นต่างถูกพบว่าถูกสลักด้วยข้อความเดียวกัน และนั่นก็คือ ‘จ้าวนรก: ฉินเย่’”
“คุณรู้อะไรไหม? มันรู้สึกราวกับว่าแผ่นหินพวกนี้ต่างซ่อนตัวและรอให้เราค้นพบมันในเวลาเดียวกัน แต่นั่นจะเป็นไปได้อย่างนั้นเหรอ?”
“จ้าวนรก… หากเขาคือจ้าวนรกแห่งยมโลกอย่างแท้จริง เช่นนั้นมันก็ต้องมีการบันทึกเกี่ยวกับตัวตนของเขาอยู่บนอนุสรณ์สถาน วัด หรือสถานที่โบราณอื่น ๆ ด้วยสิ แต่มันกลับไม่มี…ทุกแผ่นหินที่ระบุตัวตนของเขาในฐานะของจ้าวนรกแห่งยมโลกต่างปรากฏขึ้นอย่างกระทันหัน แทบจะเหมือนกับว่า…บางสิ่งบางอย่าง…ได้ยอมรับสถานะของเขาแล้ว และกำลังทำทุกอย่างเพื่อบังคับเรื่องการทำข้อตกลงระหว่างเรา!”
โม่ฉางห่าวมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที “คุณกำลังจะบอกว่า…เทพองค์ใหม่ได้ปรากฏตัวขึ้นเหรอครับ?”
เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “คุณแน่ใจหรือครับว่า…นี่ไม่ใช่ฝีมือของพวกวิญญาณร้าย?”
โจวเซียนหลงส่ายหน้า “ไม่ นั่นเป็นไปไม่ได้…”
“แผ่นหินทั้ง 364 แผ่นที่ผมพูดถึงไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งถูกค้นพบทั้งหมด มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะสามารถขุดพบวัตถุโบราณจำนวนมากขนาดนี้ภายในระยะเวลาเพียงแค่เดือนเดียว” โจวเซียนหลงจ้องเข้าไปในตาของโม่ฉางห่าว “คุณ…เข้าใจที่ผมต้องการจะสื่อไหม?”
โม่ฉางห่าวขมวดคิ้วยุ่งเล็กน้อย จากนั้นเขาก็อ้าปากค้างขณะที่จ้องมองภาพบนแท็บเล็ตด้วยแววตาที่สั่นเทา…
“คุณกำลังจะบอกว่า…แผ่นหินทั้งหมดที่ได้มีการบันทึกเกี่ยวกับจ้าวนรก…ถูกเปลี่ยนเป็นชื่อของฉินเย่ภายในชั่วข้ามคืนเหรอครับ?!” แม้แต่ขั้นตุลาการนรกก็มีขีดจำกัดในการรักษาความสำรวมของตัวเอง และความหมายแฝงของสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็อยู่นอกเหนือความสามารถในการรับมือของโม่ฉางห่าวอย่างเห็นได้ชัด เพราะอย่างไรแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้น…ก็แสดงถึงการเปลี่ยนของทั้งราชวงศ์ของยมโลก!
มันคือการขึ้นครองบัลลังก์ของกษัตริย์องค์ใหม่!
โจวเซียนหลงจ้องมองไปที่หน้าของอีกฝ่ายและเอ่ยต่อเสียงเบา “จากบันทึกทั้งหมดของเราเกี่ยวกับจ้าวนรกแห่งยมโลก ไม่ว่าจะเป็นลัทธิเต๋า ศาสนาพุทธ หรือแผ่นจารึกโบราณอื่น ๆ ดูเหมือนจะถูกเปลี่ยนแปลงภายในข้ามคืน คำว่า ‘ฉินเย่’ ได้ถูกเพิ่มเข้ามาในบันทึกเหล่านี้โดยไม่มีการปกปิดใด ๆ หากพูดกันตามตรง... มันแทบจะเหมือนกับว่าสิ่งลึกลับนั้น…กำลังแจ้งให้เรารับรู้ด้วยซ้ำ”
เมื่อเอ่ยจบ ชายทั้งสองก็เงียบไป…
ใครคือบุคคลลึกลับที่ประกาศความจริงเกี่ยวกับตัวตนของจ้าวนรกแห่งยมโลก? ทำไมทุกอย่างถึงชี้ไปที่ฉินเย่?
ยมโลก?
เป็นไปไม่ได้! หากเป็นฉินเย่จริงๆ เช่นนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าเขาอยู่ที่แดนมนุษย์ก็หมายความว่าเขามีจุดประสงค์ของตัวเอง ยมโลกจะเปิดโปงจ้าวเหนือหัวของพวกเขาเอาได้อย่างไร?
วิญญาณร้าย?
นั่นยิ่งมีโอกาสน้อยกว่า!
วิญญาณร้ายจะกล้าดูหมิ่นชื่อของจ้าวนรกอย่างนั้นหรือ? จนถึงตอนนี้ พวกเขาไม่เคยได้ยินว่ามีวิญญาณที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับบันทึกของยมทูตเลยด้วยซ้ำ แม้แต่พวกที่ระดับรองลงมาอย่างขั้นยมทูตขาวดำและตุลาการนรก และมันก็รวมไปถึงเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับภูตผีคลุ้มคลั่งด้วย
ดังนั้น…นี่เป็นฝีมือของใครกัน?!