จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 186
บทที่ 186 : มีแม่เลี้ยงแล้วก็จะมีพ่อเลี้ยง
”เป็นไปไม่ได้ต้องมีอะไรผิดพลาดเป็นแน่ ไป๋หยานจะเป็นนายหญิงของหอบุปผาได้อย่างไร ?”
ขณะที่ความเงียบงันปกคลุมไปทั่วทุกที่พลันเสียงแหลมเล็กก็ดังก้องฟ้า
ใบหน้าของหยูหรงอาบไปด้วยเลือดกระทั่งมองไม่เห็นสีหน้า ทว่าสายตาของนางที่จ้องมองไป๋หยานกลับดุดัน
จะให้นางเชื่อได้อย่างไร?
หกปีก่อนหญิงผู้นี้ไม่ต่างจากเนื้อที่รอนางแล่เป็นชิ้น ๆ ออกวางขาย ทว่าวันนี้กลับกลายมาเป็นเจ้าหอบุปผาได้อย่างไร ?
หากหอบุปผาจะส่งต่อให้ใครเช่นนั้นก็ควรเป็นบุตรสาวของข้าไป๋รั่วหรือไม่ก็ไป๋จื่อ เหตุใดจึงเป็นไป๋หยาน ? เจ้าของคนเก่าของหอบุปผาช่างตาต่ำที่สุดในโลก !
ฮัวหลัวมองหยูหรงที่นอนอยู่บนพื้นด้วยสายตาเยาะหยัน”เจ้าเป็นแม่เลี้ยงของนายหญิงสินะ ? อย่างที่เขาว่ากันว่า เมื่อมีแม่เลี้ยงย่อมจะมีพ่อเลี้ยงตามมา”
ประโยคหลังฮัวหลัวกล่าวกับไป๋เฉิงเซียงซึ่งยืนอย่างละอายใจจนแทบจะขุดรูหนี
นี่หากเป็นผู้อื่นพูดเช่นนี้เขาคงรีบแก้ต่างให้กับตัวเอง ทว่านี่เป็นฮัวหลัว ต่อหน้าฮัวหลัวเขาไม่กล้าทำเช่นนั้นเลย
”หม่ามี้!”
ขณะที่ไป๋หยานค่อยๆ ก้าวเข้ามาหาไป๋เฉิงเซียงและภรรยาของเขา พลันเสียงเล็ก ๆ ของเด็กน้อยก็ดังมาจากฟากฟ้า
นางชะงักฝีเท้า
ช่วงเวลานั้นทุกคนต่างก็แหงนมองเบื้องบนอย่างงงงัน…
หมาป่าสี่ตัวลากเลื่อนบัลลังก์อยู่บนท้องฟ้าด้วยความเร็วสูงกระทั่งปรากฏแสงสีเงินราง ๆ ในความว่างเปล่า
บนบัลลังก์สีแดงราวเลือดเรือนผมสีเงินยวงของชายหนุ่มปลิวไสวเพิ่มเสน่ห์ให้กับเขาเกินจะหักห้ามใจ ขณะที่ท่าทีของเขาก็ยโสโอหัง แลดูเป็นใหญ่เหนือสิ่งมีชีวิตทั้งปวง มือของเขายึดบนบัลลังก์ ใบหน้ามีเอกลักษณ์เผยรอยิ้มจาง ๆ อย่างภาคภูมิ
ถัดจากชายผู้นั้นก็คือเด็กน้อยใบหน้ากลมผิวใสอมชมพู ทั้งคู่นั่งเคียงข้างกัน ดูถอดพิมพ์มาราวกับจอมมารกับมารน้อย แลดูงดงามน่าอัศจรรย์ กระทั่งทุกผู้คนไม่อาจละสายตาได้
ฟิ้ว!
แมวขาวในอ้อมแขนของเด็กน้อยวิ่งลงมาก่อนเพื่อนเห็นเพียงเงาสีขาว ๆ พุ่งเข้าสู่อ้อมแขนของไป๋หยาน มันแลบลิ้นนุ่ม ๆ ของมันเลียใบหน้าของนางอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็ส่งเสียงร้อง “เมี้ยว…”
ต้องบอกว่าภายหลังออกจากเกาะศักดิ์สิทธิ์ ลูกเสือขาวตัวนี้ก็ยิ่งแลดูคล้ายแมวมากขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งบางครั้งแม้แต่ไป๋หยานเองก็หลงลืมไปแล้วว่าเสี่ยวมี่เป็นเสือขาว
ทว่า…
ครั้นเสี่ยวมี่วิ่งเข้าสู่อ้อมแขนของไป๋หยานใบหน้าของตี้คังก็เข้มขึ้นทันที สายตาของเขาราวกับจะแผดเผาเสี่ยวมี่ให้เป็นจุณได้เลยทีเดียว
”หม่ามี้…”
ไป๋เสี่ยวเฉินกระโดดลงมาจากบัลลังก์จากนั้นก็วิ่งเข้าไปหาไป๋หยาน เขาเงยใบหน้ากลม ๆ ขึ้นมองมารดาพลางกล่าวว่า “เฉินเอ๋อได้ยินมาว่ามีคนรังแกท่านน้าของเฉินเอ๋อ”
“ไม่เป็นไรแม่จัดการเรื่องนี้เองได้” ไป๋หยานกล่าวพลางลูบศีรษะไป๋เสี่ยวเฉินพร้อมยิ้มน้อย ๆ จากนั้นก็หันมาหาตี้คัง “ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร ?”
ตี้คังก้าวลงจากเลื่อนบัลลังก์เขาอยู่ในชุดอาภรณ์สีม่วง ซึ่งแลดูชั่วร้ายและทรงพลัง
”ก็ว่าที่น้องเขยของข้าถูกรังแกข้าจะไม่มาได้อย่างไร ?”
ครั้นไป๋เซียวได้ยินคำกล่าวของตี้คังร่างที่กำลังยืนนิ่งด้วยความประหลาดใจของเขาพลันกระตุก
เหตุใดคำว่าน้องเขยที่อ๋องคังเรียกจึงเป็นเรื่องที่เขายากจะยอมรับ
”ผู้ใดกันที่งี่เง่ามารังแกว่าที่น้องเขยของข้า”
นัยน์ตาของตี้คังเป็นประกายเขากวาดตามองโดยรอบ ก่อนจะหยุดนิ่งที่ไป๋เฉิงเซียงในที่สุด
ฟุ่บ!
ไป๋เฉิงเซียงไม่อาจต้านทานแรงกดดันระดับนั้นได้เขาจึงทรุดเข่าลงกับพื้น ร่างของเขาสั่นเทา “อ๋องคัง, ข้า…”
”อ๋องคัง!”
ไม่รอให้ไป๋เฉิงเซียงกล่าวคำใดอีกหยูหรงพลันลุกขึ้นยืน นางร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าหดหู่ ยามนี้ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียวซึ่งแม้แต่มารดาของนางก็คงจะจำนางไม่ได้
”ข้าขอร้องท่านอ๋องคังโปรดให้ความยุติธรรมแก่พวกเราด้วย !”
ฝูงชนตะลึงงัน
นี่…หยูหรงถูกตบจนเสียสติไปแล้วกระนั้นหรือ? เห็นได้ชัดว่าอ๋องคังมาที่นี่ ก็เพื่อปกป้องไป๋หยานและน้องชาย ก็แล้วเหตุใดนางถึงยังร้องขอความยุติธรรมจากเขาอีกเล่า ?
***จบบท มีแม่เลี้ยงแล้วก็จะมีพ่อเลี้ยง***