cat2auto | นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย PDF
  • หน้าหลัก
  • อ่านมังงะ
  • เว็บอ่านมังงะ
  • นิยายวาย [Yaoi]
  • Nekopost
  • Niceoppai
  • รออัพเดท
  • มังงะ18+
  • แทงหวย24
  • manga
Advanced
  • หน้าหลัก
  • อ่านมังงะ
  • เว็บอ่านมังงะ
  • นิยายวาย [Yaoi]
  • Nekopost
  • Niceoppai
  • รออัพเดท
  • มังงะ18+
  • แทงหวย24
  • manga
  • Romance
  • Comedy
  • Shoujo
  • Drama
  • School Life
  • Shounen
  • Action
  • MORE
    • Adult
    • Adventure
    • Anime
    • Comic
    • Cooking
    • Doujinshi
    • Ecchi
    • Fantasy
    • Gender Bender
    • Harem
    • Historical
    • Horror
    • Josei
    • Live action
    • Manga
    • Manhua
    • Manhwa
    • Martial Arts
    • Mature
    • Mecha
    • Mystery
    • One shot
    • Psychological
    • Sci-fi
    • Seinen
    • Shoujo Ai
    • Shounen Ai
    • Slice of Life
    • Smut
    • Soft Yaoi
    • Soft Yuri
    • Sports
    • Tragedy
    • Supernatural
    • Webtoon
    • Yaoi
    • Yuri
Prev
Next

จับพลัดจับผลูมาเป็น ‘ภรรยา’ ของศัตรูหัวใจ - ตอนที่ 9-11

  1. Home
  2. All Mangas
  3. จับพลัดจับผลูมาเป็น ‘ภรรยา’ ของศัตรูหัวใจ
  4. ตอนที่ 9-11
Prev
Next

Ch.5 – ตอนที่ 9-11 สามีคนนี้ก็แรงดีไม่เบา!

Translator : Akanirawan / Author

 

ตอนที่ 9 สามีคนนี้ก็แรงดีไม่เบา! (1/3)

เพราะความทุกข์ทรมานครั้งนี้ช่างน่าอนาถเกินจะทนรับได้ ซูเจี๋ยนจึงไม่ได้คุยกับอันอี่เจ๋ออีกเลยตลอดทาง

ตรงกันข้าม อันอี่เจ๋อกลับสงบนิ่งเยือกเย็นไม่รู้สึกรู้สาไปตลอดทาง หลังจากมาถึงโรงพยาบาลแล้ว อีกฝ่ายก็โอบเอวยกเขาอุ้มลงจากรถอีกครั้ง จากนั้นก็เข็นรถเข็นพามาส่งที่ห้องผู้ป่วย ทั้งยังเรียกคุณหมอมาสอบถามเป็นพิเศษถึงเรื่องเวลาที่ซูเจี๋ยนจะได้ออกจากโรงพยาบาล

ผลการวินิจฉัยของคุณหมอก็คือ การผ่าตัดของซูเจี๋ยนสำเร็จไปด้วยดี การฟื้นตัวก็เป็นไปได้ดี อีกไม่กี่วันก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว กลับไปพักรักษาตัวที่บ้านได้เลย

ซูเจี๋ยนเริ่มตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย

พูดตามตรง แม้เขาจะไม่ชอบอยู่โรงพยาบาลเลยสักนิด แต่จะอย่างไรเขาก็เต็มใจจะอยู่ที่นี่มากกว่ากลับไปอยู่ในเรือนหอกับอันอี่เจ๋อสองต่อสองเป็นไหนๆ หากเขาอยู่ในโรงพยาบาล อย่างน้อยก็ยังมีคุณพยาบาลหน้าตาดีผู้มีจิตใจอ่อนโยนคอยเฝ้าอยู่ด้วย! นี่เขาขอไม่กลับไปได้ไหม?

ดังนั้นซูเจี๋ยนจึงขบคิดอย่างหนัก หาวิธีที่จะทำให้อยู่โรงพยาบาลต่อไปได้ แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่มีความกล้าจะหักขาตัวเองข้างที่ใส่เฝือกอยู่นั้นซ้ำอีกจริงๆ จึงได้แต่รอวันที่หมอจะให้ออกจากโรงพยาบาลมาถึงอย่างกระวนกระวาย

อันอี่เจ๋อนับว่าเป็นคนที่เอาใจใส่ในทุกรายละเอียดจริงๆ เขาส่งชุดเสื้อผ้าและรองเท้าที่เหมาะสมมาให้ซูเจี๋ยนเป็นพิเศษ ทว่ายามที่ซูเจี๋ยนได้มองเห็นชุดเสื้อผ้าผู้หญิงที่พับไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยเหล่านั้น ก็แทบอยากจะให้ตัวเองแข็งตายไปเสียเดี๋ยวนั้นเลย

แม่-เถอะ เขาขอใส่ชุดผู้ป่วยชุดนี้กลับบ้านเลยได้ไหม? เขาไม่อยากใส่เสื้อผ้าผู้หญิง!

อย่างไรก็ตาม ซูเจี๋ยนรู้แก่ใจดีว่าเรื่องนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ ร่างกายนี้ของเขาไม่เพียงแต่เป็นหญิงสาวเต็มตัวคนหนึ่ง แต่ยังเป็นถึงเรือนร่างสาวงามชั้นเลิศ หากใส่เสื้อผ้าสตรีตรงหน้านี้แล้ว ก็รังแต่จะดึงดูดสายตาผู้คนเสียจนแทบลืมหายใจ คนที่รู้สึกผิดปกติก็มีแต่เขาเองคนเดียวเท่านั้น

ดังนั้น ซูเจี๋ยนจึงได้แต่เริ่มสวมเสื้อผ้าด้วยอารมณ์อึดอัดขัดข้องอันแสนซับซ้อน ทว่าไม่ช้า ปัญหาก็มาเยือนอีกครั้ง กางเกงชั้นในลายลูกไม้นี่เขายังพอกล้ำกลืนฝืนใส่ลงไปได้ แต่เจ้ายกทรงในตำนานนี่เขาจะจัดการกับมันอย่างไรดี? ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเคยเห็นแต่พวกท่านชายผู้ห้าวหาญที่เอามือปลดตะขอยกทรงของสาวงามในคลิป 18+ เท่านั้น ไม่เคยคิดเรื่องสวมใส่มาก่อน! แล้วนี่….เขาจะใส่มันเข้าไปได้ยังไง?

ซูเจี๋ยนรู้สึกคล้ายต้องฝืนกลืนเลือดที่กระอักออกมาเต็มปากกลับลงไป ขณะที่ทำการศึกษาชิ้นผ้าในมืออยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุดก็สวมยกทรงเข้าไปจนได้ หลังจากนั้นก็เป็นชุดกระโปรงยาวของผู้หญิง ซูเจี๋ยนสวมมันลงไปอย่างราบรื่นด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก : เฮอะ! ป๊ะป๋าคนนี้แม้แต่ยกทรงก็ยังใส่ไปแล้ว กะอีแค่ชุดกระโปรงยังจะนับเป็นอะไรได้!

หลังจากลำบากลำบนกับการใส่ชุดจนหยาดเหงื่อผุดซึมไปถึงขนคิ้วแล้ว ในที่สุดซูเจี๋ยนก็ยอมให้อันอี่เจ๋อที่รออยู่ด้านนอกเข้ามาหาได้ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างยอมรับชะตากรรม : “ฉันพร้อมแล้ว ไปกันเถอะ!”

อันอี่เจ๋อปรายตามองเขา “ทรงผมเธอ”

“อ๋า?” ซูเจี๋ยนก้มลงมองตามสายตาอีกฝ่าย ถึงตอนนี้จึงเพิ่งตระหนักได้ว่าเส้นผมยาวเหยียดของตัวเองพันกันยุ่งเหยิงไปหมด พลันถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง หันไปหยิบหวีที่อยู่บนโต๊ะข้างเตียงมาหวีลงไปบนเส้นผมแบบรีบๆ ไม่คิดว่าจะรู้สึกเจ็บมากจนต้องสูดปากอุทานออกมา

เห็นอันอี่เจ๋อหันมามองเขาอีกครั้ง ซูเจี๋ยนก็รู้สึกอับอายขึ้นมาบ้าง อันที่จริงเส้นผมของร่างนี้สวยงามมาก ทั้งดำขลับทั้งนุ่มสลวยเงางาม คุณภาพผมก็ดีมากๆ อย่างไรก็ตาม ซูเจี๋ยนใช้ชีวิตในฐานะผู้ชายคนหนึ่งมาเกือบสามสิบปีเต็ม ไม่เคยต้องหวีผมยาวขนาดนี้มาก่อน ดังนั้นทุกครั้งที่เขาสางหวีลงไป เส้นผมก็รังแต่จะยิ่งยุ่งเหยิงติดพันกันมากขึ้น แถมตัวเขาเองก็ไม่รู้จริงๆ ว่าจะต้องจัดการกับเส้นผมพวกนี้ยังไง ดังนั้นจึงได้แต่ออกแรงหวีให้หนักมือขึ้นจนเส้นผมกระจุกนั้นหลุดออกมาจากหนังศีรษะ เรื่องจะจัดทรงผมอะไรพวกนั้นยิ่งเลิกคิดฝันไปได้เลย

เดิมทีซูเจี๋ยนคิดไว้ว่าหลังพักฟื้นเสร็จก็จะไปตัดผมทันที ยิ่งตัดให้สั้นเท่าไหร่ก็ยิ่งดี แต่หลังจากคุยกันคุณพยาบาล ถึงได้รู้ว่าทรงผมสั้นๆ ของผู้หญิงถึงกับดูแลจัดทรงได้ยากยิ่งขึ้นไปอีก ความคิดนี้จึงถูกล้มเลิกไปในพริบตา ถึงอย่างไร หากเปรียบเทียบกับทรงผมสั้นที่ต้องใส่ครีมนั่นนี่วุ่นวาย แถมต้องคอยไดร์ผมหรือไม่ก็ดัดเข้าให้เข้าทรง พอมานึกถึงว่าทรงผมยาวสลวยนี้เพียงต้องผ่านการแปรงผมอย่างนุ่มนวลหลายๆ ครั้งเท่านั้น วิธีการนี้ก็กลายเป็นเรียบง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้งใบหน้าเรียวเล็กของซูเจี๋ยนคนงามยังเหมาะกับผมทรงนี้อย่างมาก เส้นผมยาวที่ทิ้งตัวลงมาปรกบ่า ดูแล้วทั้งอ่อนโยนนุ่มนวล ทั้งงดงามมีเสน่ห์

ผู้หญิงที่สะสวยไปทั้งตัวขนาดนี้กลับแต่งให้เจ้าอันอี่เจ๋อไปเสียแล้ว! ซูเจี๋ยนจ้องมองกระจก รู้สึกขมขื่นชิงชังขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

ได้ยินเสียงเขาทอดถอนใจอย่างปวดร้าว อันอี่เจ๋อก็จ้องมองเขา เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

ซูเจี๋ยนแอบค่อนแคะอยู่ในใจ : มองอะไรไม่ทราบ! ถ้าสักวันคุณชายใหญ่อันอย่างนายต้องมาอยู่ในร่างหญิงสาวแบบนี้บ้าง ฉันว่านายก็ไม่ได้ดีไปกว่าฉันหรอก!

……………………………….

เขาได้ออกจากโรงพยาบาลไปพักฟื้น คนที่มารับเขาก็มีอันอี่เจ๋อเพียงคนเดียว

ซูเจี๋ยนไม่อาจห้ามความรู้สึกแปลกใจไว้ได้ นอกจากอันอี่เจ๋อและพวกนักเรียนกับเพื่อนร่วมงานของซูเจี๋ยนแล้ว ตลอดเวลาที่เขาอยู่ในโรงพยาบาลก็ไม่มีคนอื่นมาเยี่ยมอีกเลย สำหรับครอบครัวของซูเจี๋ยนคนนี้ก็ยังพอเข้าใจได้ว่าอาจจะเป็นเพราะอยู่ไกลกัน เนื่องจากบ้านเกิดของเจ้าของร่างไม่ได้อยู่ในเมือง S ก็คงเดินทางมาไม่สะดวก อย่างไรก็ตาม ซูเจี๋ยนจำได้ว่าครอบครัวของอันอี่เจ๋อนั้นเป็นถึงตระกูลดังที่มีสถานะใหญ่โตในเมือง S แต่ซูเจี๋ยนนอนอยู่ในโรงพยาบาลนานขนาดนี้ ทำไมคนจากทางบ้านสามีถึงไม่เคยมาเยี่ยมเลยแม้แต่คนเดียว นี่เป็นเพราะไม่รู้สถานการณ์ทางฝั่งนี้เลย หรือว่าเป็นเพราะซูเจี๋ยนคนนี้คือลูกสะใภ้ที่พวกเขาไม่ยอมรับกันแน่?

ซูเจี๋ยนแอบเหล่มองอันอี่เจ๋อที่ขับรถอยู่ด้านข้างอย่างเงียบเชียบ ในใจก็คิดซอกแซกไปเรื่อยเปื่อย หรือว่านี่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับบุญคุณความแค้นในตระกูลใหญ่อะไรจำพวกนั้น?

“อัน แค่ก อี่เจ๋อ”

“อืม”

“ขอฉันถามคุณอีกซักสองสามอย่างเถอะนะ! คือว่า ตอนนี้พวกเราพักอยู่ที่ไหนกันเหรอ”

“ที่ซื่อจี้หวนหยู” [ผืนแผ่นดินแห่งยุคสมัย]

ซูเจี๋ยนไร้ถ้อยคำไปในบัดดล ซื่อจี้หวนหยู …. ต่อให้เอาเงินเดือนของตัวเขาคนเดิมทั้งปีมากองรวมกันก็ซื้อไม่ได้แม้แต่ตารางนิ้วเดียวของย่านที่ดินระดับไฮคลาสแบบนั้นด้วยซ้ำ!

“แหะแหะ งั้น เอ่อ ถามเรื่องส่วนตัวซักหน่อยแล้วกันนะ ตอนนี้คุณ แค่กๆ ต่อปีทำเงินได้เท่าไหร่ล่ะ”

“……”

“งั้นเปลี่ยนคำถามเถอะ ตอนนี้คุณทำงานอยู่บริษัทไหนเหรอ”

“CMI”

“…..ใช่ CMI ที่เดียวกับที่ฉันคิดรึเปล่า”

“ใช่”

ซูเจี๋ยนอับจนคำพูดไปอีกครั้ง CMI …..ตอนนั้นหลังจากเขาจบการศึกษาก็มุ่งหวังว่าจะได้เข้าไปทำงานที่บริษัทนั้นเป็นแห่งแรก น่าเสียดายที่แม้แต่รอบสัมภาษณ์เขาก็ยังไม่อาจได้เข้าไปด้วยซ้ำ ถูกคัดออกเสียตั้งแต่รอบแรกแล้ว

“แล้ว…ทำงานในตำแหน่งอะไรเหรอ”

“ประธานกรรมการ”

ซูเจี๋ยนพลันเบิกตากลมกว้างด้วยความตกตะลึง

คล้ายจะรู้สึกได้ว่าสายตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ อันอี่เจ๋อจึงชำเลืองมองเขา : “เป็นอะไร?”

ซูเจี๋ยนถามขึ้นด้วยสีหน้าแข็งทื่อ : “ขอฉันถามอีกอย่าง ปีนี้คุณอายุเท่าไหร่”

“สามสิบ”

ความคิดในใจของซูเจี๋ยน : อ๋อ เป็นแบบนี้นี่เอง เจ้านี่แก่กว่าฉันตั้งปีนึงเต็มๆ ดังนั้นจะมีช่องว่างกว้างขวางใหญ่โตแบบนี้ก็เป็นเรื่องปกติแหละน่า……..ลั้ลลาลั้ลลาล๊า~ ใช่ก็บ้าแล้ว! มีแต่ผีแม่ย่าเท่านั้นแหละที่เชื่อว่าการที่เจ้านี่ได้เป็นประธานกรรมการบริษัท CMI ตั้งแต่อายุสามสิบมันเป็นเรื่องปกติ ป๊ะป๋าคนนี้อายุอานามได้ยี่สิบเก้าแล้ว ยังเป็นได้แค่พนักงานไอทีกระจอกๆ คนนึงเท่านั้นเอง! อ๊ากก! อยากคว่ำโต๊ะว้อยย! (╯°□°)╯︵ ┻━┻

——————

ตอนที่ 10 สามีคนนี้ก็แรงดีไม่เบา! (2/3)

ซูเจี๋ยนสะบัดหน้าหนีอย่างหงุดหงิดเดือดดาลสุดขีด พูดไปแล้วทุกวันนี้ก็เป็นแบบนี้เอง ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยคนจนนั้นช่างห่างชั้นกันอย่างที่สุด นี่ก็คือฉากละครชีวิตจริงอันโชกเลือดระหว่างคุณชายเพอร์เฟค VS ไอ้หนุ่มยาจกขี้แพ้ที่ถูกจัดแสดงให้เห็นกันสดๆ! ช่องว่างระหว่างคนด้วยกันมันจำเป็นต้องเจ็บปวดโหดร้ายถึงขนาดนี้เลยรึไงห๊ะ! เหอะ อันอี่เจ๋อ นายมันเทพทรูนักใช่ไหม? ยังไงก็อย่าลืมซะล่ะว่าความแตกต่างระหว่างคนรวยแบบผู้ดีกับคนรวยแบบเศรษฐีใหม่มาเฟียน่ะมันห่างชั้นกันแค่ไหน! [1]

“คราวนี้เป็นอะไรไปอีกล่ะ”

ซูเจี๋ยนสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อระงับสติ แสยะมุมปากเหยียดยิ้ม : “ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าว่าคู่สมรสคนดีของฉันจะดูใช้การได้ซะขนาดนี้ คิดๆ ดูแล้ว หลังจากนี้ถ้าคุณประสบอุบัติเหตุอะไรขึ้นมา ฉันก็คงได้รับมรดกกับสินสมรสจำนวนมหาศาลเลยทีเดียว รู้สึกเกินคาดอยู่บ้าง แค่นั้นแหละ”

“……”

……………………………….

หลังจากเข้าไปในละแวกชุมชนนั้นแล้ว เขาก็ได้เห็นรถหรูแบรนด์ดังจอดเรียงกันอยู่ในโรงจอดรถ ช่างเป็นภาพที่ชวนให้ผู้คนใฝ่ฝันถึงอย่างแท้จริง แม้ว่าซูเจี๋ยนจะยังรู้สึกเจ็บขาที่สามในจินตนาการอยู่เล็กน้อย แต่เขาก็เยือกเย็นลงมากแล้ว

อย่างไรก็ตาม อึดใจต่อมาซูเจี๋ยนก็ต้องสูญเสียความเยือกเย็นไปเล็กน้อย—— นี่มันต้องบังเอิญขนาดไหน จู่ๆ ลิฟต์ก็เสียกะทันหัน อยู่ระหว่างการซ่อมแซมซะอย่างนั้น

ซูเจี๋ยนถามขึ้น : “ห้องของคุณ อะแฮ่ม ห้องของเราอยู่ชั้นไหนเหรอ”

อันอี่เจ๋อกล่าวตอบด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก : “ชั้น 21”

ซูเจี๋ยนหุบปากฉับโดยอัตโนมัติ

ผู้จัดการฝ่ายนิติบุคคลรีบเข้ามาขอโทษขอโพยอย่างนอบน้อม ขอร้องให้พวกเขารอคอยอีกสักครู่ ได้ยินเช่นนี้อันอี่เจ๋อก็พลันถามขึ้น : “ต้องใช้เวลาซ่อมนานแค่ไหน”

ผู้จัดการฝ่ายนิติบุคคลกล่าวตอบอย่างลังเล : “น่าจะสิบ…สิบนาทีครับ”

ซูเจี๋ยนพูดกับเขาเชิงถามไถ่ : “งั้นเราก็รออีกซักพักเป็นไง”

อันอี่เจ๋อไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมอีก ดังนั้นซูเจี๋ยนจึงตีความเอาเองว่าเขาเห็นด้วย

อย่างไรก็ตาม อีกสิบนาทีให้หลัง ผู้จัดการฝ่ายนิติฯ ก็ปาดเหงื่อมาก้มหัวขอโทษขอโพยอีกครั้ง : “ผมต้องขออภัยจริงๆ ครับ เพราะระบบภายในเสียหายค่อนข้างหนัก วันนี้ลิฟต์คงใช้งานไม่ได้แล้ว”

ซูเจี๋ยนเกาหัวแกรกๆ : “งั้นก็หมายความว่า พวกเราต้องเดินขึ้นไปให้ถึงชั้น 21 กันเองเหรอ”

มองไปยังอันอี่เจ๋อที่เงียบงันไม่พูดไม่จาอยู่ข้างๆ ตอนนี้ก็เหมือนจะมีสีหน้าคล้ำเครียดขึ้นมาบ้างแล้ว : “ปกติ 21 ชั้นก็ไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงหรอก แต่ตอนนี้….”

ที่พักอาศัยระดับสูงแบบนี้ การบริการก็ย่อมพิเศษ ผู้จัดการฝ่ายนิติฯ ได้ยินเขากล่าวแบบนั้นก็รีบพูดขึ้นทันที : “ทางเราสามารถช่วยได้นะครับ!”

ในใจซูเจี๋ยนวูบไหวขึ้นมาคราหนึ่ง เหล่มองไปทางอันอี่เจ๋อที่อยู่ด้านข้าง แล้วจึงเอ่ยถามผู้จัดการฝ่ายนิติฯ ขึ้นอย่างฮึกเหิม : “จากสภาพฉันตอนนี้ ก็ได้แต่ต้องหาคนพาขี่หลังขึ้นไปแล้ว พวกคุณจะช่วยแบกฉันขึ้นไปหรือไง”

ผู้จัดการฝ่ายนิติฯ ย่อมต้องหันไปมองสีหน้าอันอี่เจ๋อก่อน

ซูเจี๋ยนไม่รอให้อันอี่เจ๋อได้ตอบกลับ รีบกล่าวต่อทันควัน : “ก็ไม่มีทางอยู่แล้ว ใช่มั้ยล่ะ? สามีฉันก็อยู่ตรงนี้แล้ว ทำไมฉันต้องยอมให้คนอื่นมาแบกฉันไปอีก แถมคุณสามีที่รักของฉันก็แข็งแรงเต็มเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชาซะขนาดนี้ กะอีแค่เดินขึ้นบันได 21 ชั้นจะนับเป็นอะไรได้! จริงมั้ยคะ คุณสัมมี~”

คำว่า ‘สามี’ ที่เดิมทีต้องฝืนเค้นออกมาอย่างยากลำบาก ชั่วอึดใจนั้นซูเจี๋ยนกลับรู้สึกว่าเรียกแบบนี้ช่างคล่องปากดีเหลือเกิน ตอนจบประโยคยังจงใจลากเสียงหวานทิ้งท้ายอย่างออดอ้อน ราวกับสาวน้อยวัยแรกรักที่เชื่อมั่นในตัวสามีจนหมดหัวใจ

แม้ภายนอกอันอี่เจ๋อจะยังคงมีสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่เพราะซูเจี๋ยนเองได้รู้จักเขามาพักใหญ่แล้ว จึงสามารถมองเห็นถึงความไม่ยินยอมพร้อมใจของอีกฝ่ายได้ดี ในใจพลันแผดเสียงหัวเราะดังก้องยาวเหยียด

อันอี่เจ๋อ นายเริ่มก่อนเองนะ ขโมยสาวๆ ของฉันไป ทำเอาฉันหาเมียมาแต่งด้วยไม่ได้จนถึงวันที่ต้องตกตายไปอย่างน่าอนาถแบบนั้น วันนี้ก็อย่าได้โทษฉันที่แก้แค้นหนักมือไป!

เพื่อไม่ให้อันอี่เจ๋อปฏิเสธได้ ซูเจี๋ยนยังพยายามแสดงออกมาอย่างดีที่สุด เขายื่นมือออกไป ดึงแขนเสื้อของอันอี่เจ๋อเบาๆ พออันอี่เจ๋อก้มมามอง ซูเจี๋ยนก็ช้อนตามองเขาด้วยสีหน้าคาดหวังรอคอยอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ : “สัมมี~ เร็วเข้าเถอะค่ะ กลับบ้านกันน้าาา~”

ใบหน้าของอันอี่เจ๋อเย็นยะเยือกและหมองคล้ำลงหนึ่งระดับ เงียบขรึมอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะยอมแค่นเสียง ‘อืม’ อย่างแผ่วเบาออกมาในที่สุด

ซูเจี๋ยนดีอกดีใจขึ้นมาทันที

ผู้จัดการฝ่ายนิติฯ ยิ่งรู้สึกอยากขออภัยต่อเหตุที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด : “คุณผู้ชาย คุณผู้หญิงครับ มีอะไรที่ทางเราพอจะช่วยเหลือได้บ้างไหมครับ”

ซูเจี๋ยนแย้มยิ้มตอบกลับ : “เดี๋ยวอีกซักพัก คุณช่วยส่งรถเข็นขึ้นไปให้ด้วยก็แล้วกัน”

จากนั้นจึงหันไปหาอันอี่เจ๋อ กางแขนออกอย่างรอคอย : “สามีคะ?”

อันอี่เจ๋อนิ่งขรึมมองเขาอยู่อีกครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยอมย่อตัวลง รับร่างของซูเจี๋ยนขึ้นหลังไป

ซูเจี๋ยนปีนขึ้นไปบนหลังอันอี่เจ๋อได้สำเร็จด้วยความช่วยเหลือของคุณผู้จัดการฝ่ายนิติฯ แล้วก็เอ่ยออกมาอย่างร่าเริงยินดี : “สัมมี~ เราไปกันเถอะค่ะ!” คิดไปคิดมาแล้วก็แย้มยิ้มเต็มใบหน้า เอ่ยสำทับไปอีกประโยคหนึ่ง “ออกแรงเต็มที่เลยนะคะ!”

ซูเจี๋ยนกล้าพูดได้เลยว่าแผ่นหลังของอันอี่เจ๋อถึงกับแข็งค้างไป เขารู้สึกได้ชัดเจนทีเดียว

ดังนั้น เขาจึงยิ่งอารมณ์ดีขึ้นไปอีก แม้จะรู้สึกอิจฉาอยู่บ้างที่อันอี่เจ๋อมีแผ่นหลังกว้างใหญ่หนั่นแน่นดูหุ่นดีขนาดนี้ แต่พอนึกว่าเจ้าศัตรูหัวใจน่าชังนี่ต้องแบกเขาขึ้นบันไดตั้ง 21 ชั้นแล้วก็รู้สึกเริงร่าเปี่ยมสุขขึ้นมาฉับพลัน

แม้จะแบกคนทั้งคนอยู่บนหลัง ฝีเท้าของอันอี่เจ๋อก็ยังหนักแน่นมั่นคงอยู่เช่นเคย ไม่ได้แสดงออกว่ารู้สึกลำบากกินแรงเลยแม้แต่น้อย กลับเป็นซูเจี๋ยนซึ่งอยู่บนหลังเขาที่รู้สึกเจ็บหน้าอกขึ้นมา เพราะก้อนเนื้ออวบอิ่มทั้งสองที่ถูกกดทับจนปวดร้าวแทบทนไม่ไหว ทำให้เขาเริ่มดิ้นดุกดิกอย่างอึดอัด

ขณะที่เขากำลังขยับตัวจัดท่าทางที่สบายที่สุด จู่ๆ ก็รู้สึกถึงแรงจากฝ่ามือที่ฟาดเบาๆ ลงบนบั้นท้าย จากนั้นอันอี่เจ๋อก็แค่นเสียงดุออกมา : “อย่าขยับมั่วซั่ว!”

ในหัวของซูเจี๋ยนพลันมีเสียงระเบิดดังบึ้ม เมื่อกี้มันอะไร? วอทเดอะฟ…. นี่เขา ขะ ขะ เขาถูกไอ้เจ้าอันอี่เจ๋อตีก้น!?

———————-

เชิงอรรถ

[1] ตรงนี้ใช้คำบรรยายที่ค่อนข้างเจาะจงถึงเหตุการณ์เฉพาะ ประโยคจริงๆ คือ ‘ความจริงก็แสดงให้เห็นกันชัดๆ อยู่แล้ว ว่าความแตกต่างระหว่างเกิงเตี๋ยกับกานเตี๋ยน่ะมันสำคัญขนาดไหน!’

คำว่า ‘เกิงเตี๋ย’ ตรงนี้อ้างอิงถึงเหตุการณ์หนึ่ง มีผู้ชายชื่อ ‘หลีฉีหมิง’ ขับรถชนคน แถมยังตะโกนบอกว่า ‘อยากไปร้องเรียนที่ไหนก็ไปเลย พ่อฉันคือหลีเกิง (เกิงเตี๋ย) เชียวนะโว้ย!’ สุดท้ายเรื่องก็ลุกลามใหญ่โตจนคนก่นด่ากับความหน้าไม่อายของเขา แล้วก็จบลงด้วยการที่หลีฉีหมิงถูกศาลสั่งจำคุก ‘เกิงเตี๋ย’ จึงมีนัยยะหมายถึงคนรวยชั้นต่ำที่ระรานคนอื่น

ส่วน ‘กานเตี๋ย’ หมายถึงพ่อบุญธรรม นัยยะคือเศรษฐีใจบุญที่ชอบช่วยเหลือคนอื่น

———————-

ตอนที่ 11 สามีคนนี้ก็แรงดีไม่เบา! (3/3)

ซูเจี๋ยนรู้สึกกราดเกรี้ยวเดือดดาลสุดๆ แต่ก็กลัวว่าถ้าขยับตัวมากเกินไปจะทำให้อันอี่เจ๋อลงมือซ้ำอีกที ดังนั้นจึงได้แต่ฝืนทนกล้ำกลืนไว้ด้วยความยากลำบาก เพียงแต่วงแขนที่โอบรอบคออันอี่เจ๋อไว้นั้นเริ่มรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ

แน่นอนว่าผ่านไปเพียงครู่เดียว อันอี่เจ๋อก็ต้องไอแค่กๆ ออกมาพร้อมกับตวาดเสียงดุอีกครั้ง : “รัดแขนแน่นไปแล้ว!”

ซูเจี๋ยนถลึงตาใส่เบื้องหลังศีรษะของคนตรงหน้าอย่างแค้นเคือง ทว่าเสียงที่เขาพูดออกมากลับยังคงใสซื่อบริสุทธิ์อยู่เช่นเดิม : “แต่ว่า ฉันกลัวตกนี่นา”

อันอี่เจ๋อไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงยกร่างบางบนหลังสูงขึ้นไปอีกนิด

แม้เรือนร่างของสาวงามซูเจี๋ยนจะโปร่งบางสักแค่ไหน แต่จะอย่างไรก็เป็นน้ำหนักของผู้ใหญ่คนหนึ่ง หลังจากแบกเขาขึ้นหลังเดินไปได้หลายชั้น ลมหายใจของอันอี่เจ๋อก็เริ่มทวีความหนักหน่วงขึ้นอย่างช้าๆ

ซูเจี๋ยนได้ยินเสียงนี้ดังอยู่ข้างหูพอดี พลันฮึกเหิมขึ้นมาทันใด รีบเอ่ยปากขึ้นอย่างกระตือรือร้น : “สัมมี~ เงียบๆ แบบนี้น่าเบื่อนะว่ามั้ย? เรามาลองเล่นเกมลับสมองกันหน่อยดีกว่า!”

หลังพูดจบแล้วก็ไม่รอให้อันอี่เจ๋อได้ส่งเสียงตอบ เขารีบพูดต่อเสียงเจื้อยแจ้วทันที

“สเต็กแบบสุกหนึ่งในสามส่วนเดินมาเจอกับสเต็กแบบสุกครึ่งส่วนเข้าอย่างจัง แต่พวกมันกลับไม่ยอมทักทายกันเลย คุณคิดว่าเป็นเพราะอะไร”

อันอี่เจ๋อไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ซูเจี๋ยนก็ไม่ได้ขุ่นเคืองแต่อย่างใด จัดการถามเองตอบเองให้เสร็จสรรพ : “เพราะพวกมันยังมีความสุข (สุก) ไม่มากพอไงล่ะ! ฮ่าๆๆ! คำถามแบบนี้คลาสสิกสุดๆ เลยนะคุณว่ามั้ย”[1]

อันอี่เจ๋อ : “……”

“เอาล่ะ ลองดูอีกซักคำถามนะ! มีคนอยู่สองคน พวกเขาร่วงลงไปในหลุมเดียวกัน คนหนึ่งตาย อีกคนหนึ่งรอด คนที่ตายไปนั้นเรียก ‘หัวเหริน’ (คนเป็น) อยากถามว่า แล้วอีกคนที่รอดนั้นจะเรียกอะไร”

อันอี่เจ๋อ : “……”

ซูเจี๋ยนยื่นมือไปตบๆ ศีรษะของอันอี่เจ๋อเบาๆ : “เล่นหน่อยสิ! ตอบคำถามเร็วเข้าเด็กโง่!”

อันอี่เจ๋อใช้น้ำเสียงเข้มลึกเอ่ยออกมา คล้ายจะแฝงด้วยอาการกัดฟันทนอยู่บ้าง : “ถามอีกรอบ ฉันจะโยนเธอลงไป”

ซูเจี๋ยนถอนฝ่ามือกลับไปอย่างเคอะเขิน : “คุณนึกคำตอบไม่ออกก็ไม่เป็นไรหรอก! ฉันเฉลยให้ก็ได้ คนที่รอดคนนั้นน่ะ ก็ต้องเรียกให้ ‘ช่วยฉันด้วย!’ น่ะสิ!”

สายลมหวิวๆ พัดผ่านขั้นบันไดอันเปลี่ยวร้างวังเวง……

อันอี่เจ๋อก้าวขาเดินขึ้นบันไดต่อไปอย่างเงียบงัน ซูเจี๋ยนเอนกายอยู่บนแผ่นหลังชายหนุ่มอย่างเกียจคร้าน เขาเบื่อมากจริงๆ หลังจากเงียบกริบกันต่อไปอีกครู่หนึ่ง เขาก็เปิดปากเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“งั้นเรามาฟังเรื่องตลกกันเถอะ! กาลครั้งหนึ่ง เจ้าถั่วเขียวต้องเลิกกับแฟนสาวของเขา เขาก็เลยร้องไห้ ร้องไห้แล้วก็ร้องไห้ ร้องไห้เพราะอกหักหนักมาก ร้องจนน้ำตาไหลเป็นลิตรๆ แล้วเขาก็…… งอกออกมา”

“……..”

“ไม่ขำเหรอ? งั้นลองฟังอีกเรื่อง กาลครั้งหนึ่ง มีแมว….”

“หุบปาก!”

ได้ยินน้ำเสียงเย็นยะเยือกของอันอี่เจ๋อ ในที่สุดซูเจี๋ยนก็ยอมหุบปากไปอย่างเชื่อฟัง ในช่วงเวลาอันเงียบงันนี้ จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงหอบหายใจหนักๆ ของอันอี่เจ๋อดังขึ้นอย่างเด่นชัด

เอเอ๊~ นี่เดินขึ้นมาถึงชั้นไหนแล้วน้าา~ ดูเหมือนจะผ่านชั้นที่สิบมาแล้วรึเปล่าน้อ~ ดูเหมือนว่าจะเป็นแบบนั้นนะ ‘สัมมี’ คนนี้นี่แรงดีจริงเชียว~ ซูเจี๋ยนลอบมองอันอี่เจ๋อจากทางเบื้องหลัง แสยะปากยิ้มชั่วร้ายยามที่อีกฝ่ายไม่ทันสังเกตเห็น ทว่าเบื้องหน้าก็ยังแสร้งทำเป็นเอาใจใส่ : “สัมมี~ เหนื่อยแล้วเหรอ ให้ฉันร้องเพลงให้ฟังเป็นไง? คุณจะได้มีแรง!”

อันอี่เจ๋อหยุดเขาไม่ทัน ซูเจี๋ยนเริ่มร้องเพลงทันที น้ำเสียงนั้นร่าเริงก้องกังวานอย่างมาก แสดงให้เห็นว่าตอนนี้เขาอารมณ์ดีขนาดไหน

“ยอดชายผู้ถือห่วงคล้องม้า เจ้าช่างแกร่งกร้าวห้าวหาญนัก

ควบอาชาโหมทะยาน ปานลมพายุหอบหนึ่ง

ถิ่นแดนไกลจนสุดสายตา ขอเร่ร่อนติดตามเจ้าไป

จิตใจอันผ่าเผยเสรีของเจ้ากว้างขวางดุจผืนแผ่นดิน

ยอดชายผู้ถือห่วงคล้องม้า เจ้าอยู่ในใจข้า

ข้าเพียงหวังจะได้หลอมละลายไปในแผงอกกว้างกำยำของเจ้าาา….โอ๊ะ? มีอะไรเหรอ?”

อันอี่เจ๋อวางร่างของซูเจี๋ยนลงบนพื้นอย่างเบามือ เมื่อชายหนุ่มหันหน้ากลับมา ซูเจี๋ยนจึงได้เห็นหยาดเหงื่อเม็ดโตๆ ไหลลงมาตามใบหน้าบูดบึ้งดำคล้ำของอันอี่เจ๋อ

ซูเจี๋ยนลอบแสยะยิ้ม อันอี่เจ๋ออ้าอันอี่เจ๋อ จุ๊ๆ หลังจากปีนบันไดมาสิบสองชั้น นายก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้วสินะ?

ขณะที่กำลังปลอดโปร่งโล่งสบายไปทั้งจิตทั้งใจอยู่นั้นเอง จู่ๆ อันอี่เจ๋อก็ชำเลืองมองเขาด้วยแววตาเย็นเยียบ กล่าวออกมาเสียงเข้ม : “จากนี้ไป ไม่ต้องส่งเสียงอะไรออกมาอีก!”

ซูเจี๋ยน : “……”

หลังจากพักเหนื่อยอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ปีนขึ้นไปบนหลังของอันอี่เจ๋ออีกครั้ง คราวนี้ซูเจี๋ยนไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมาอีกแม้แต่แอะเดียว

ดังนั้น ท่ามกลางบันไดทางเดินอันว่างเปล่า จึงมีเพียงเสียงฝีเท้าของอันอี่เจ๋อที่ดังก้องไปทั่ว

ซูเจี๋ยนครุ่นคิด เสียงฝีเท้าที่อันอี่เจ๋อก้าวเดินนี่ช่างเป็นจังหวะดีจริงๆ ……

ดังนั้น ซูเจี๋ยนจึงรับฟังเสียงฝีเท้าอันหนักแน่นมั่นคงนี้จนสะลึมสะลือแล้วก็ค่อยๆ ผล็อยหลับไป

———————-

เชิงอรรถ

[1] ระดับความสุกของสเต็ก ใช้บ่งบอกด้วยตัว ‘熟’ โดยมีคำแสดงระดับความสุกอยู่ข้างหน้า (เช่น สุกหนึ่งในสามส่วน (一块三分熟) คือ medium rare) ซึ่งตัวอักษร ‘熟’ ยังมีอีกความหมายหนึ่งที่แปลว่าความสนิทสนมคุ้นเคยก็ได้ ดังนั้น คำว่า ‘ยังมีความสุกไม่มากพอ’ ก็คือแปลได้อีกอย่างว่า ‘ยังไม่สนิทสนมคุ้นเคยกันมากพอ’

———————-

ได้รับลิขสิทธิ์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

Prev
Next
MY READING HISTORY
You don't have anything in histories
POPULAR MANGA
กระบี่จงมา
กระบี่จงมา
บทที่ 992.2 ดอกไม้แดงบนภูเขาเขียวดุจเพลิงลุกไหม้ 27 พฤศจิกายน 2024
บทที่ 992.1 ดอกไม้แดงบนภูเขาเขียวดุจเพลิงลุกไหม้ 27 พฤศจิกายน 2024
323r
ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ
ตอนที่ 2138 จะทำลายพวกเจ้า 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 2137 เทือกเขาแห่งความตาย 27 พฤศจิกายน 2024
เทพกระบี่มรณะ (chaotic sword god)
เทพกระบี่มรณะ (chaotic sword god)
ตอนที่ 2528 - การตัดแขน 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 2527 - ชำระหนี้แค้น 27 พฤศจิกายน 2024
61d44445LSpjhqcZ
เปิดระบบสุดโกงอัปสกิลหมอ
บทที่ 869 ที่หลบภัย 27 พฤศจิกายน 2024
บทที่ 868 ผมซับเหงื่อให้ครับ 27 พฤศจิกายน 2024
Full-time-Artist-ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิ
Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน
ตอนที่ 775 อาภรณ์หลวมโพรกมิเสียดาย เพื่อเจ้าข้าผ่ายผอมยอมอิดโรย 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 774 ผีเสื้อรักบุปผา 27 พฤศจิกายน 2024
นิยายแปล-~จ้าวนักสู้เกิดใหม่ทั้งทีดันเป็นนางร้าย-~-ลูน่าอยากรีไทร์แล้ว
[นิยายแปล] ~จ้าวนักสู้เกิดใหม่ทั้งทีดันเป็นนางร้าย ~ ลูน่าอยากรีไทร์แล้ว
ตอนที่ 53 - 030:แผนการฝึกนักบุญ⑦ ค้นหาศัตรู 27 พฤศจิกายน 2024
ตอนที่ 52 - 029:แผนการฝึกนักบุญ⑥ ก่อนการต่อสู้ 27 พฤศจิกายน 2024
Here for more Popular Manga

Comments for chapter "ตอนที่ 9-11"

MANGA DISCUSSION

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

You must Register or Login to post a comment.

  • HOME
  • COOKIE POLICY

© 2025 Madara Inc. All rights reserved