จอมเวทอหังการ - ตอนที่ 265
บทที่ 265: ยอมรับความพ่ายแพ้
“เอาล่ะ ถึงเวลาของฉันบ้าง!” โม่ฝานเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความลึกลับออกมา
“เธอคิดว่าเธอเร็วกว่าแฟนหนุ่มของตัวเองไหมล่ะ?” พร้อมกันเขาเปล่งเสียงที่ปลุกจิตวิญญาณการต่อสู้ในตัวของมู่หนิงเซวียขึ้นมาฉับพลันผ่านคําพูดของตนเอง ใบหน้าของมู่หนิงเซวียที่เย็นชาแดงเรื่อขึ้นมาทันที
“เธอไม่มีวันรู้หรอก นอกซะจากว่าเธอจะได้ลอง!” มุมปากของโม่ฝานยกยิ้มว่ามีเล่ห์นัย
สายตาของมู่หนิงเซวียจับจ้องไปที่โม่ฝานอย่างชัดเจนและไม่วอกแวก แววตาของเธอวูบวาบเล็กน้อยนั่นแสดงว่าเธอกําลังร่ายเวทของตนเองด้วยเช่นกัน
แม้ว่าในขณะที่พวกเขากําลังพูดคุยกัน ทั้งสองก็สามารถเชื่อมต่อเส้นทางเนบิวลาของตนเองได้อย่างไม่มีสะดุด สายตาของพวกเขาสบกันอยู่ตลอดเวลา ซึ่งพลังทําลายล้างของทั้งคู่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาอย่างลุกโชนจนผู้ชมรอบข้างล้วนแต่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด
“เหมันต์แห่งนิพพาน โซ่ตรวนกระดูก!” เสียงใสกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น
มู่หนิงเซวียนั้นร่ายเวทเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งเธอเข้าสู่ระดับมัชฌิมก่อนโม่ฝาน เช่นนี้ถึงไม่น่าแปลกใจว่าทําไมความเร็วและความมั่นคงของพื้นฐานเธอนั้นแข็งแกร่งกว่าโม่ฝาน
“อสนีบาตทมิฬสีคราม!” โม่ฝานตะโกนออกมาด้วยน้ําเสียงที่เกรี้ยวกราดด้วยเช่นกัน!
ความเร็วของเขานั้นช้ากว่ามู่หนิงเซวียเล็กน้อยเท่านั้น แต่นั่นไม่ได้ทําให้เขาสูญเสียความมั่นใจเลย จิตใจของเขารู้สึกมั่นใจอย่างมากในเวทสายฟ้าของตนเองแม้ว่าขณะนี้เขาจะถูกล้อมรอบด้วยพลังธาตุน้ําแข็งที่โหดร้าย
พลังแห่งอสนีบาตนั้นเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดในธาตุทั้งหมด มู่หนิงเซวียยังคงใช้พลังของตนเองเพื่อเตรียมตั้งรับสําหรับสถานการณ์ต่อไป ส่วนด้านบนของสนามประลองแห่งนี้เต็มไปด้วยเมฆดําทมิฬหนาลอยอยู่อย่างแจ่มชัด!
แสงวาบเปล่งประกายออกมาเป็นระยะ ฉับพลันสายฟ้าพุ่งทะยานลงมาด้านล่างราวกับมังกรทมิฬศักดิ์สิทธิ์มันมาพร้อมกับพลังอันมหาศาลและเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด
มังกรทมิฬสีครามตัวใหญ่นี้แยกออกเป็นหลายสายราวกับว่ามันกําลังกางกรงเล็บใหญ่ออกเพื่อจัดการกับเป้าหมาย!
มู่หนิงเซวียยกศีรษะของเธอขึ้น หัวใจของเธอสั่นไหวเมื่อได้เห็นพลังที่น่าสะพรึงตรงหน้า เธอไม่กล้าที่จะยิงตรวนน้ําแข็งที่สร้างขึ้นมาเมื่อครู่ออกไป เช่นนี้เธอรีบสั่งให้พวกมันเปลี่ยนทิศทางเป็นปกป้องเธอแทน น้ําแข็งทั้งหมดเมื่อครู่นั้นเกาะกลุ่มอยู่บนศีรษะของเธออย่างมั่นคง
สายฟ้าที่พุ่งลงมานั้นปะทะเข้ากับโซ่ตรวนน้ําแข็งขนาดใหญ่ พวกมันทั้งสองกําลังพยายามจะยืดยื้ออย่างถึงที่สุด อีกฝ่ายหนึ่งกําลังจะโจมตีเพื่อหมายเอาชีวิต อีกฝ่ายกําลังป้องกันด้วยพลังทั้งหมดที่มีด้วยเช่นกัน
ความเร็วของสายฟ้าที่โม่ฝานใช้นั้นได้เปรียบในเรื่องของความเร็วอย่างมากในการต่อสู้เช่นนี้ แน่นอนว่าถ้าหากเป็นอสนีบาตธรรมดาทั่วไปมันจะไม่สามารถทะลุโซ่ตรวนน้ําแข็งระดับสองนี้ได้เลย แต่ทว่าสายฟ้าของโม่ฝานคืออสนีบาตพันปี!
พลังของอสนีบาตพันปีเป็นสายฟ้าที่ทรงพลังอย่างยิ่ง ส่วนโซ่ตรวนน้ําแข็งระดับสองก็มีความแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อด้วยเช่นกัน แต่ทว่ามันกลับไม่สามารถต้านทานพลังยิ่งใหญ่นี้เอาไว้ได้ บนโซ่ตรวนที่แน่นหนาเริ่มปรากฎรอยแตกร้าว รอยแตกเหล่านี้วิ่งออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกระจายไปทั่วอย่างไม่สามารถหยุดยั้ง เพียงไม่กี่วินาทีโซ่ตรวนทั้งหมดได้แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ!
โซ่ตรวนขนาดใหญ่แตกออกเป็นก้อนน้ําแข็งอย่างฉับไว
มู่หนิงเซวียยืนอยู่ที่ใจกลางของโซ่ตรวนของตนเอง แน่นอนว่าเธอไม่ได้พยายามจะหลบพวกมันเลย
ใบหน้าของเธอยกขึ้นพร้อมกับเห็นว่าสายฟ้าที่เกรี้ยวกราดกําลังพุ่งลงมาหาเธออย่างรวดเร็ว
เกิดหลุมขนาดใหญ่ไหม้เกรียมขึ้นบนพื้นราวกับปากปล่องภูเขาไฟ มู่หนิงเซวียเพียงโบกมือของเธอเบาๆทําให้เกล็ดน้ําแข็งลอยออกไปตามสายลม เกล็ดหิมะกระจัดกระจายไปทั่วทําให้ภาพในขณะนี้ดูงดงามอย่างยิ่ง!
“สองเมล็ดพันธุ์วิญญาณ..” สายตาของมู่หนิงเซวียยังคงจับจ้องที่โม่ฝาน
อสนีบาตพันปีเมื่อครูสามารถฟาดลงมาและพรากชีวิตของเธอไปได้อย่างง่ายดาย แต่เห็นได้ชัดว่าโม่ฝานจงใจเปลี่ยนทิศทางของมัน!
มู่หนิงเซวียนั้นรู้ตัวแล้วว่าในการประลองครั้งนี้เธอได้พบกับความพ่ายแพ้
โซ่ตรวนน้ําแข็งเมื่อครู่นี้ไม่อาจหยิบยกมาใช้เพื่อป้องกันตนเองได้เลย เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่ไม่มีวิธีใดที่เธอจะสามารถปกป้องตนเองจากอสนีบาตพันปีนั้นได้
แต่สิ่งที่เธอไม่เข้าใจก็คือโม่ฝานได้รับทรัพยากรมากมายขนาดนี้มาได้อย่างไรกัน เขาไม่ได้เข้าร่วมกับกลุ่มทรงอํานาจใดเลยไม่ใช่เหรอ?
มีศิษย์จากตระกูลใหญ่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้รับเมล็ดพันธุ์วิญญาณเช่นนี้ แม้ว่าพวกเขาจะได้รับก็ไม่ใช่สองชิ้นอย่างเช่นโม่ฝาน แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจสําหรับเธอในตอนนี้คือโม่ฝานซึ่งไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่หรือมีใครหนุนหลังกลับครอบครองพวกมันถึงสองชิ้น!
ทรัพยากรที่ตระกูลใหญ่แจกจ่ายให้กับศิษย์นั้นค่อนข้างจะจํากัดด้วยเช่นกัน เพราะส่วนใหญ่แล้วสิ่งเหล่านั้น ล้วนถูกใช้ไปกับอุปกรณ์เวทละอองดารา เนบิวลาและอุปกรณ์เวทมนตร์ป้องกันอื่นๆร่วมด้วย ในหลายตระกูลนั้น มีเงินไม่มากพอที่จะใช้ซื้อเมล็ดพันธุ์วิญญาณแจกจ่ายให้กับศิษย์ของตนเอง สิ่งนี้จะได้รับเฉพาะบุคคลที่มี พรสวรรค์ล้นพ้นเท่านั้น
แต่โม่ฝานครอบครองเมล็ดพันธุ์วิญญาณถึงสองด้วยกันงั้นเหรอ? เขาเป็นสมาชิกของตระกูลใหญ่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
และสิ่งที่สําคัญที่สุดก็คือเขาครอบครองธาตุทั้งสามได้! โดยปกติแล้วการฝึกฝนของเขาจะต้องเชื่องช้าและไม่ค่อยสมดุลเท่าไหร่นัก แต่ทว่าปัญหาเหล่านี้กลับไม่เกิดขึ้นกับเขาเลย
ธาตุไฟของเขานั้นอยู่ในระดับมัชฌิมขั้นที่สอง
ธาตุสายฟ้าของเขาก็อยู่ในระดับมัชฌิมขั้นที่สองด้วยเช่นกัน!
มู่หนิงเซวียนั้นรู้มาตลอดว่าเส้นทางของโม่ฝานนั้นไม่ธรรมดา แต่เธอไม่เคยคาดคิดเลยว่าเขาจะกลายเป็นนักเวทที่อัจฉริยะมากขนาดนี้!!
“โม่ฝานชนะงั้นเหรอ?” ไปถึงถึงกล่าวออกมาเบาๆ
“ใช่ เขาชนะ แต่ว่า..” กู่ฮั่นตอบออกมาอย่างติดขัดเนื่องจากเขาก็แทบจะไม่เชื่อสายตาของตนเองด้วยเช่นกัน
“ฉันเคยได้ยินมาเสมอว่าพวกเราไม่มีทางเอาชนะราชั้นปีศาจตนนี้ได้ แต่ฉันไม่คิดมาก่อนเลยว่าที่พวกเราเห็นจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งของเขาเท่านั้น เขาเกิดมาพร้อมกับธาตุสายฟ้าและธาตุไฟ อีกทั้งยังครอบครองเมล็ดพันธุ์วิญญาณทั้งคู่ แล้วก็อยู่ในระดับมัชฌิมขั้นที่สองด้วย บัดซบ เขาสามารถบดขยี้นักเรียนจากสถาบันเมิงจู่ได้ทั้งหมดเพียงแค่ใช้พลังของหนึ่งในสามนี้เท่านั้น!” เปียงเหลิงตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น
“ไม่ว่าอย่างไรในการต่อสู้ครั้งนี้เขาได้รับชัยชนะอย่างแท้จริง เขาสามารถสร้างความพ่ายแพ้ให้กับมหาวิทยาลัยจักรพรรดิได้!” จ้าวหม่าหยันกล่าวออกมาพร้อมกับยกนิ้วโป้งให้กับโม่ฝานด้วยรอยยิ้ม
ในที่สุดเขาก็ได้เห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของโม่ฝาน ถ้าหากว่าในวันนี้เขาไม่ได้ต่อสู้กับมู่หนิงเซวียซึ่งเป็นสัตว์ประหลาดอยู่ในมหาวิทยาลัยจักรพรรดิล่ะก็ โม่ฝานก็คงไม่มีทางเปิดเผยความจริงเหล่านี้ออกมาแน่นอน หลังจากนี้โม่ฝานจะกลายเป็นราชันปีศาจของสถาบันเมิงจ่อย่างแท้จริง!
“เยี่ยมเลย ทําได้ยอดเยี่ยมมาก!” เฉียวอวี้ฮัวกล่าวออกมา
มู่หนิงเซวียเดินลงจากสนามประลองหลังจากที่เธอพ่ายแพ้ต่อโม่ฝาน ซึ่งเธอไม่ได้เอ่ยอะไรกับเขาเลยแม้สักคํา
ทิศทางการต่อสู้บนเวทีเปลี่ยนไปทันทีเมื่อม่หนิงเซียเดินออกไป หนึ่งคือพลังธาตุไฟของซูเซี่ยวนั้นไม่ได้ถูกกดดันไว้อีกต่อไปแล้ว ผลก็คือเธอใช้พลังของตนเองอย่างบ้าคลั่งเพื่อจัดการกับหมาป่าทมิฬตรงหน้า
โม่ฝานจัดการกับศัตรูอีกสองคนเสร็จสิ้นแล้วจากหมัดเพลิงทลายปฐพี ตอนนี้มู่หนิงเซวียก็ออกจากการแข่งขันไปแล้ว ลือเชิงเห่อเป็นเพียงคนเดียวที่ยังยืนอยู่ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องออกจากเวทีนี้ไปด้วยเช่นกัน ลําพังตัวเขาคนเดียวไม่สามารถจัดการกับศัตรูทั้งหมดนี้ได้
ลือเชิงเห่อรู้สึกไม่พอใจกับผลลัพธ์เช่นนี้อย่างมาก แต่ทว่าเขาก็ไม่อาจทําอะไรได้นอกจากเรียกอสูรสัญญาของตนเองกลับมาหลังจากที่ทําหน้าไม่พอใจใส่โม่ฝาน
“สถาบันเมิงงู… ชนะ… เหลือเชื่อเลย!”
“พระเจ้า ทีมที่สองของสถาบันเมิงจู่มีความสามารถมากพอจะรับมือจากทีมของเราถึงสี่ห้าคนได้อย่างง่ายดาย! ในคราวนี้ต้องยอมรับจริงๆว่าสถาบันเมิงจู่ชนะ! ผู้ชายที่ชื่อโม่ฝานคนนั้นแข็งแกร่งมากจริงๆ ฉันรู้สึกชื่นชม เขาอยากจะรู้จริงๆว่าเขามาจากตระกูลไหนกันนะ?”
“ฉันพนันได้เลยว่าบุคคลที่มีพรสวรรค์เช่นนี้จะต้องเป็นบุคคลของศาลเวทมนตร์แน่ เขาอาจจะเป็นหนึ่งในทีมนั้น!”
ทั้งนักเรียนและอาจารย์จากสถาบันอื่นกําลังเริ่มพูดคุยถึงสถานการณ์ตรงหน้าอย่างบ้าคลั่งในขณะเดียวกัน นักเรียนและอาจารย์จากมหาวิทยาลัยจักรพรรดิกําลังมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน
พวกเราพ่ายแพ้การประลองแม้ว่าทีมของเราจะมีม่หนิงเซวียและลือเชิงเห่องั้นเหรอ?
แน่นอนว่าเรื่องเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะยอมรับมันได้โดยง่าย
ชายที่ชื่อโม่ฝานคนนั้นมาจากไหนกัน? พวกเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเขาไม่ใช่นักเรียนที่จบการศึกษาไปหลายปีแล้ว?
เป็นไปไม่ได้ แม้แต่นักเรียนที่จบออกไปแล้วก็ไม่ได้มีความสามารถที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้!!!