จอมเวทอหังการ - ตอนที่ 243
บทที่ 243: สติปัญญากับสํานักวาติกัน (2)
โม่ผ่านลุกขึ้นยืนพร้อมกับสายตาที่จับจ้องไปยังรอยแผลยาวตั้งแต่ไหล่ขวาไปถึงกลางอก รอย เลือดไหลออกมาเปรอะเปื้อนทั่วร่างกายของเขา ความทรมานกําลังแล่นวาบไปทั่วร่างกายในทุกค ราวที่หายใจเข้าออก
“บัดซบ แต่เพื่อที่จะทําให้หยู่อั้นและดีคอนครามยังคงยอมอยู่ตรงนี้ ฉันไม่กลัวอะไรทั้งนั้น!!
อย่างไรสิ่งที่เขาได้แสดงออกไปให้ศัตรูเห็นนั้นเป็นการหลอกล่อพวกมันได้อย่างยอดเยี่ยม หลัง จากที่หยู่อันได้เห็นจี้ทมิฬน้อยเปล่งออร่าของน้ําพุศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงออกมา ดูเหมือนว่ามันจะเสี ยสติไปเล็กน้อย
น้ําพุศักดิ์สิทธิ์ใต้ดินนี้สําคัญกับมันมากขนาดนั้นเชียวหรือ?
มีสมบัติล้ําค่ามากมายบนโลกใบนี้ มีแต่คนไม่มากนักที่ได้ใช้พลังของน้ําพุศักดิ์สิทธิ์ใต้ดิน วาติกันไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะต้องพยายามมากขนาดนี้ เพื่อให้ได้ครอบครองมัน เว้นแต่ว่าพวกมันต้องการที่จะใช้พลังของน้ําพุศักดิ์สิทธิ์ในการทําพิธีอย่างอื่น
โม่ฝานนึกถึงครั้งที่ซินเซียเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของผู้พิทักษ์ภายในเมืองบ่อ ผู้พิทักษ์มีหน้าที่คอยดูแลน้ําพุศักดิ์สิทธิ์ใต้ดิน ดังนั้นมันจําเป็นจะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเมืองหลวงโบราณอย่างแน่นอน นี่คือสิ่งที่จะเปิดเผยความลับที่ถูกซ่อนไว้กว่าสองพันปี
ในขณะที่โม่ผ่านกําลังไตร่ตรองเรื่องราวทั้งหมดอย่างถี่ถ้วน เสียงคํารามต่ําดังออกมาจากลําคอของอสูรต้องสาป เขาจําเป็นจะต้องหยุดคิดเรื่องราวทั้งหมดและหันกลับมาสนใจกับเรื่องราวตรงหน้าทันที
“ไอ้ปีศาจชั่ว ฉันแค่รับสายแฟนของฉันครู่เดียวและคิดเรื่องอื่นนิดหน่อย แกคิดว่าแกจะใช้จังหวะนี้เพื่อจัดการกับฉันงั้นเหรอ?” โม่ผ่านกล่าวออกมาพร้อมกับอารมณ์ที่โกรธจัด
ในคราวแรกโม่ฝานยังไม่ได้ร่ายคาถาเงาออกมา เนื่องจากเขาไม่ต้องการจะแสดงความสามารถทั้งหมดของตนให้หยู่กั้นรับรู้ แต่ในตอนนี้ไม่ฝานรู้สึกได้ว่าหยู่อั้นจะไม่มีทางไปไหนจนกว่าจะได้ของที่ต้องการ เช่นนี้เขาก็ไม่จําเป็นจะต้องปิดบังอะไรอีกต่อไป
อสูรต้องสาปนั้นเข้าใจในภาษาของมนุษย์ เมื่อมันได้ยินในสิ่งที่โม่ฝานกล่าว มันส่งเสียงเยาะเย้ยกลับมาอย่างเหยียดหยัน
สายตาและน้ําเสียงของมันกําลังบอกโม่ฝานว่า “มนุษย์ตัวจ้อยอย่างแกยังมีหน้ามาทําตัวโอ้อวดใหญ่โตได้อีกงั้นเหรอ?”
ฟูววววววววว!
อสูรต้องสาปเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและหายไปจากสถานที่เดิมของมัน
ร่างกายของมันหลบหลีกทุกสิ่งได้อย่างรวดเร็ว สายฟ้าและไฟของโม่ฝานนั้นไม่สามารถจะทําอะไรได้เลยกับความเร็วเช่นนี้
กรงเล็บแหลมคมกําลังพุ่งลงมาจากด้านบน เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของมันในคราวนี้คือการแบ่งโม่ฝานออกเป็นสองส่วนโดยเริ่มต้นที่ศีรษะ
หยู่อันยืนอยู่ที่ด้านบนสุดของบันได เขามองผ่านหมอกหนาลงมาและเห็นเงาของโม่ผ่านกําลังถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างพอใจในความเป็นต่อครั้งนี้
เดิมที่เขาต้องการที่จะให้โม่ฝานตายในแบบที่ทุกข์ทรมานที่สุด แต่อย่างไรก็ตามในเวลานี้ ดีคอนครามค่อนข้างที่จะเร่งรีบอย่างมาก หยู่กั้นจึงจําเป็นจะต้องรีบฆ่าโม่ฝานและนําน้ําพุศักดิ์สิทธิ์ใต้ดินกลับไปให้เร็วที่สุด
อย่างไรก็ตามในขณะที่หยู่อั้นกําลังรู้สึกหยิ่งผยองอยู่ เขาสังเกตุได้ว่าเงาของโม่ฝานนั้นผิดแปลกไปจากปกติ เนื่องจากหมอกหนาหยู่อันไม่รู้เลยว่าชายตรงหน้าของเขานั้นสามารถหลบหนีจากกรงเล็บคมปลาบเมื่อครู่ได้อย่างไร แต่อย่างไรก็ตามในเวลานี้ดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นกับเขาแล้ว
“ท่านนักบวช ดูเหมือนว่าค่ายกลเทพรัตติกาลกําลังจะหายไป” ฟูเตียนหมิงกล่าวอย่างเร่งรีบ
หยู่อันเงยหน้าขึ้นพร้อมกับตระหนักได้ว่าท้องฟ้าที่เคยมืดสนิทกําลังค่อยๆเลือนลางจางหายไป เขาสามารถมองเห็นก้อนเมฆดําที่ลอยอยู่ได้อย่างชัดเจนและเริ่มเห็นถนนหนทางที่เต็มไปด้วยแสงไฟในยามค่ําคืน ศีรษะของหยู่อันเริ่มหันไปรอบๆและพบว่าวิสัยทัศน์ต่างๆได้กลับมาแล้ว และสุดท้ายกรงเหล็กขนาดมหึมาได้ปรากฏตรงหน้าของเขาอย่างแจ่มชัด
วงกตทมิฬได้หายไปจนหมดสิ้น จากตําแหน่งของเขาในตอนนี้สามารถมองเห็นบ่อน้ําพุข้างหน้าตึกได้อย่างชัดเจน
หัวใจของหยู่อันกําลังรู้สึกแย่อย่างถึงที่สุด ถ้าหากว่าค่ายกลเทพรัตติกาลได้หายไปแล้ว สิ่งที่พวกเขาพยายามจะปกปิดมาตลอดจะถูกเปิดเผยในคราวนี้ หยู่อั้นไม่ได้เกรงกลัวเหล่านักเรียนร้อยพันที่อยู่ร่วมกันตรงนี้เลย แต่เขาหวั่นเกรงต่อเหล่าอาจารย์ซะมากกว่า บุคคลเหล่านั้นแข็งแกร่งกว่านักเรียนหลายเท่า
“พวกแกสองคนเข้าไปข้างในและฆ่ามันให้ได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราจะต้องได้รับของนั้นมาก่อนที่ค่ายกลเทพรัตติกาลจะหายไป!” หยู่ลั่นออกคําสั่งกับฟูเตียนหมิงและเจียเหวินนิ่งอย่าง เร่งด่วน
“ครับ แต่ถ้าพวกเราเข้าไปข้างใน มันจะไม่เป็นการเปิดเผยตัว”
ก่อนที่เจียเหวินฉิงจะกล่าวได้จบ หยู่อันก็ร่ายเวทพร้อมกับผลักไสให้ทั้งสองเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองคนไม่กล้าที่จะต่อต้านเขา ในขณะนี้พวกเขาใช้โอกาสที่ไม่ผ่านกําลังจัดการกับอสูรต้องสาปอยู่เดินเข้าไปในกรงเหล็กอย่างเงียบงัน ทั้งสองหลบมุมอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าพวกเขานั้นคุ้นเคยกับกรงเหล็กนี้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นประตูด้านบนหรือว่าเป็นพื้นที่ตรงไหนก็ตาม พวกเขาสามารถเดินไปมาได้อย่างอิสระ
“ถ้าแกฉลาดพอ แกควรจะมอบน้ําพุศักดิ์สิทธิ์ให้กับเรา หลังจากนั้นพวกฉันจะพิจารณาให้แกมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสักหน่อย!” ฟูเตียนหมิงชี้นิ้วไปที่โม่ฝานซึ่งกําลังยืนอยู่กลางกรงอย่างเกรี้ยวกราด
ใบหน้าของโม่ฝานซีดขาวเมื่อเห็นว่าใครสองคนกําลังเดินเข้ามาในกรงเหล็กแห่งนี้
ทั้งสองคนนี้ล้วนแต่ขายวิญญาณให้กับวาติกันแทนที่จะเป็นนักเรียนที่ยอดเยี่ยมภายในสถาบันเมิงจู่แห่งนี้ พวกเขาต้องการที่จะกลายเป็นทาสมากกว่ามนุษย์งั้นเหรอ!
โม่ผ่านนั้นแอบซ่อนทักษะของตนเองเอาไว้เพื่อต้องการที่จะให้หยู่อันแสดงตัวออกมา ในกรงเหล็กแห่งนี้เต็มไปด้วยสิ่งกีดขวางมากมายและโม่ฝานไม่สามารถใช้คาถาเคลื่อนย้ายเงาเพื่อหลบหนีออกไปข้างนอกได้ ถ้าหากไม่ฝานต้องการจะสังหารหยู่อั้น เขาจําเป็นจะต้องหลอกล่อให้มันเข้ามาข้างในนี้แทน!
แต่ใครเล่าจะรู้ว่าหยู่อันนั้นขี้โกงและเต็มไปด้วยไหวพริบมากขนาดนี้ แม้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้จะย่ําแย่อย่างมาก แต่เขาก็ยังไม่ต้องการที่จะลงมือจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง
โม่ฝานนั้นไม่สามารถซ่อนทักษะของเขาได้อีกต่อไป ในขณะนี้เขาจําเป็นจะต้องจัดการกับสิ่งชั่วร้ายในกรงนี้ก่อนและหลังจากนั้นค่อยคิดอีกทีในภายหลัง
ด้วยคาถาเงาหลบหลีก ในขณะที่เขากําลังยืนอยู่ห่างจากอสูรต้องสาปพอสมควร โม่ผ่านค่อยๆเคลื่อนย้ายตนเองเข้าสู่ใจกลางของกรงเหล็กอย่างแนบเนียน ในขณะนี้เงามากมายกําลังทุ่มออกไปจากร่างกายของเขาเป็นวงกว้าง มันค่อยๆไหลไปตามเงาของซี่ลูกกรงขนาดใหญ่เหล่านี้อย่างอิสระ
แม้ว่าในตอนนี้ค่ายกลเทพรัตติกาลกําลังจะหายไป แต่โม่ฝานก็ยังสัมผัสได้ถึงเงาที่หนาแน่นภายในสิ่งแวดล้อมรอบตัวของเขา
เส้นทางดวงดาวแปลกประหลาดค่อยๆก่อตัวขึ้นภายใต้เท้าของเขาอย่างเชื่องช้าและเงียบเชียบ
เลือดบนหน้าอกของเขาไหลออกมาจนเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าทั้งหมดอย่างชุ่มฉ่ํา โลหิตหยดลงบนเส้นทางเนบิวลาที่ส่องประกายใต้ฝ่าเท้า เช่นนี้เส้นทางเนบิวลาที่โม่ผ่านคุ้ยเคยจึงกลายเป็นเส้นทางที่แปลกประหลาดอย่างที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน
“หอกเงาทมิฬ!”
รอยแผลขนาดใหญ่บนหน้าอกของโม่ฝานมีหอกเงายักษ์โผล่ออกมาอย่างน่าเกรงขาม เมื่อบวกกับเลือดมากมายของเขาแล้วยิ่งทําให้มันดูน่าสะพรึงอย่างยิ่ง
หอกเงาทมิฬที่โม่ผ่านใช้ในคราวนี้นั้นแตกต่างจากคราวก่อนๆอย่างสิ้นเชิง รูปร่างของมันคล้ายกับดาบเงาขนาดใหญ่มากกว่า ออร่ามากมายปรากฏขึ้นรอบตัวดาบก่อนที่มันจะพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว!
ภายใต้ค่ายกลเทพรัตติกาล ธาตุอื่นๆล้วนแต่ถูกกดดันให้พลังถูกลดทอนหายไปมากกว่าครึ่ง แต่ในขณะเดียวกันธาตุเงากลับเป็นสิ่งที่ได้รับพลังเพิ่มมากขึ้นอย่างทวีคูณ แม้แต่อสูรเงายังมีพลังเพิ่มขึ้นมากโข ไม่ต้องพูดถึงนักเวทธาตุเงาเลยว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งมากขนาดไหนภายใต้สถานการณ์เช่นนี้
“ไปได้!”
หอกเงาทมิฬกลายเป็นคลื่นลูกใหญ่ทะลุออกมาจากร่างกายของโม่ฝานพร้อมกับพุ่งออกไปอ ย่างไร้ทิศทางราวกับว่ามันวิ่งไปได้ทุกที่อย่างอิสระ
ด้วยฉากตรงหน้านี้ทําให้ฟูเตียนหมิงและเจียเหวินนิ่งรู้สึกมึนงงกับภาพตรงหน้าอย่างมาก
นักเวทธาตุเงา???
โม่ฝานเป็นนักเวทธาตุเงาได้อย่างไร?
ในเวลานี้หยู่อันที่ยืนอยู่ด้านนอกเห็นภาพนี้ได้เต็มตาเช่นกัน ร่างกายของเขาเริ่มสั่นเทาด้วยความโกรธจัด
ธาตุเงา!
ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้ครอบครองธาตุเงางั้นเหรอ!
ไม่คิดมาก่อนเลย ถึงว่าพลังของมันไม่ลดลงเลยแม้ว่าจะอยู่ภายใต้ค่ายกลเทพรัตติกาล!
ธาตุไฟ
ธาตุสายฟ้า
ธาตุอัญเชิญ
ธาตุเงา!
ชายคนนี้ไม่ใช่นักเวทธาตุคู่อีกต่อไป เขาสามารถได้รับสองธาตุในทุกคราวที่เขาสามารถทะลุเข้าสู่ระดับต่อไปได้งั้นเหรอ!
เหตุที่หยู่ขั้นกําลังตัวสั่นในตอนนี้ไม่ใช่เพราะโกรธเกลียดโม่ฝานแต่อย่างใด แต่ทั้งหมดนี้ล้วนแต่มาจากไฟริษยาภายในจิตใจของเขา… หยู่อันอิจฉาในพรสวรรค์ของโม่ฝานอย่างมาก ใครกันบ้างที่จะได้รู้ว่าชายคนนี้มีพรสวรรค์มากมายขนาดนี้ เขาครอบครองธาตุทั้งสี่!
เมื่อครั้งอยู่ระดับปฐมภูมิเขาฝึกฝนธาตุคู่ เมื่อเข้าสู่ระดับมัชฌิมเขาฝึกฝนธาตุทั้งสี่ ถ้าหากวันหนึ่งเขาเข้าสู่ระดับสูง เขาจะไม่ครอบครองหกธาตุเลยงั้นเหรอ?
โม่ผ่านจะต้องถูกฆ่า… เขาไม่สามารถยินยอมให้ชายคนนี้เก่งกาจไปมากกว่านี้อีกแล้ว!
“ฆ่า! มัน! เดี๋ยวนี้!” หยู่อันตะโกนออกมาด้วยความสติแตก เปลวไฟแห่งความริษยาสุมแน่นอยู่ในอกของเขาอย่างบ้าคลั่ง
ฟูเตียนหมิงและเจียเหวินฉิงฟื้นคืนความรู้สึกกลับมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงนั้น
ชายหนุ่มที่ครอบครองธาตุคู่นั้นก็นับว่าเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดอย่างมากภายในชีวิตของพวกเขาแล้ว แต่ทว่าในตอนนี้กลับมีมนุษย์คนหนึ่งซึ่งครอบครองธาตุทั้งสี่เอาไว้ ความรู้สึกของพวกเขาคือราวกับโลกใบนี้ได้ถูกทุบตีจนแหลกออกเป็นพันๆชิ้น!