จอมเวทอหังการ - ตอนที่ 239
บทที่ 239: ติดอยู่ในกรงเหล็ก!
โม่ผ่านพยายามสลัดเรื่องไร้สาระออกจากศีรษะ เขาไม่ต้องการคิดอะไรให้มากความอีกต่อไปจากนั้นพลันหันหลังกลับและวิ่งไปยังตึกที่ใกล้ที่สุดทันที
หลัวซ่ง เฉินหมิงเฉวียน ฟูเตียนหมิง เจียเหวินนิ่งและคนอื่นๆล้วนแต่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าโม่ฝานจะรวดเร็วเป็นกรดเช่นนี้ เขาไม่เพียงแต่วิ่งออกไปเช่นนั้น แต่เขายังส่งเสียงตะโกนแปลกประหลาดออกมาด้วย เมื่อทุกคนเห็นเช่นนี้พวกเขาเริ่มไล่ล่า!
ตอนนี้ไม่ผ่านกําลังเปิดใช้งานเคลื่อนที่เงาอยู่ แน่นอนว่าความเร็วของเขานั้นมากกว่าคนกลุ่มนั้นอยู่มาก อย่างไรก็ตามเจินหมิงเฉวียนและเจียเหวินนิ่ง ทั้งคู่เป็นนักเรียนธาตุลม ความเร็วของพวกเขาทั้งสองคนนั้นก็ไม่ได้ด้อยอะไรนัก มันช้ากว่าธาตุเงาไม่เท่าไหร่
ทั้งหลัวซ่งและฟูเตียนหมิงนั้นใช้งานอุปกรณ์เวทมนตร์แน่นอน ความเร็วของทั้งคู่ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร พวกเขาทั้งหมดวิ่งตามกันเป็นกลุ่มใหญ่ซึ่งมีความเร็วที่สูสีกัน ซึ่งส่วนใหญ่ในหมู่คนเหล่านี้เป็นนักเวทธาตุลมซะมาก
โม่ฝานวิ่งเข้าไปในตึกตรงหน้า ในขณะที่เขากําลังปืนขึ้นไป ทันใดนั้นพื้นที่เขากําลังจะเหยียบได้กลายเป็นน้ําแข็ง ความเย็นเยือกแผ่กระจายออกมาปกคลุมทั่วขาของโมฝ่านผ่านเข้าไปในผิวหนังทําให้รู้สึกเจ็บเล็กน้อย
โม่ฝานหันหลังกลับมาและเห็นตรวนน้ําแข็งหนาสี่ถึงห้าอันกําลังกวัดแกว่งไปมาราวกับอสรพิษพวกมันทั้งหมดล้วนแต่พุ่งเป้าหมายมาที่โม่ฝาน ใบหน้าของหลัวซ่งเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมาในขณะที่มองฉากตรงหน้าด้วยความภูมิใจ
หลัวซ่งนั้นเป็นนักเวทธาตุดิน เขานั้นครอบครองบูทเวทมนตร์และธาตุหลักของเขาคือดิน เขาคือคนแรกที่พยายามจะจับโม่ฝานและเป็นบุคคลที่สามารถวิ่งมาได้ใกล้โม่ฝานมาที่สุด
“มาดูกันเถอะว่าแกจะวิ่งไปที่ไหนได้บ้าง!”
ตรวนน้ําแข็งทุบลงไปบนพื้นดินตรงหน้าจนเกิดรูขนาดใหญ่แสดงถึงความเสียหายที่มันได้รับ
“แปลก มันไปไหนแล้ว?” ภายในวงกตทมิฬแห่งนี้ หลัวซ่งคิดว่าเขาสามารถจับกุมโม่ผ่านได้แล้วด้วยพลังของตรวนน้ําแข็ง แต่ใครเขาจะรู้ว่าเมื่อเขาวิ่งตามขึ้นมาด้านบน เขาจะไม่เห็นแม้แต่เงาของโม่ฝาน!
“มันต้องวิ่งเข้าไปข้างในแน่นอน เร็วเข้า อย่าให้มันได้ตัวอสูรเงาไป!” เฉินหมิงเฉวียนตะโกนออกมาพร้อมกับใช้คาถาธาตุลมและวิ่งเข้าไปทันทีที่ได้ตัดสินใจ
ทุกคนร่วมมือกันได้อย่างยอดเยี่ยม พวกเขาวิ่งเข้าไปในอาคารที่ดูคล้ายๆกับหินซ้อนกันไปมาอย่างรวดเร็วตามคําสั่งของผู้นําทีม
อาคารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นจากหินขนาดใหญ่ สถานที่แห่งนี้เคยมีอสูรอัญเชิญมากมายถูกเรียกออกมา สถาบันได้ขอให้ผู้เชี่ยวชาญธาตุดินสร้างมันขึ้นมาอย่างลวกๆเท่านั้น ซึ่งมันดูคล้ายกับว่าจะเป็นผลงานชิ้นโบว์แดง แต่ทว่าถ้าหากมันต้องพังทลายลงไปไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ก็ไม่มีใครสนใจอะไรมันมากนัก ถ้าหากพวกเขาต้องการสร้างมันขึ้นมาอีกครั้ง ก็สามารถทําได้อย่างง่ายดายเพียงแค่ยอมสละพลังเวทเล็กน้อยเท่านั้นเอง
ในพื้นที่ที่ลึกที่สุดของของอาคารคือกรงเหล็กที่เอาไว้จัดการกับอสูรอัญเชิญ ซึ่งมันเป็นกรงที่นักเรียนทุกคนล้วนแต่ต้องการจะมายืนอยู่ในสถานที่แห่งนี้พร้อมกับอสูรเงาทั้งสิ้น!
กรงเหล็กนี้มีขนาดใหญ่โตไม่แพ้สนามประลองอสูรเมื่อตอนต้นปีแม้แต่น้อย พื้นที่ของมันเล็กกว่าสนามฟุตบอลเพียงนิดเดียวเท่านั้น
กรงเหล็กมีความสูงกว่ายี่สิบเมตรและดูเหมือนว่ามันจะมีแท่งใยเหล็กเสริมเป็นเกราะขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งด้วย พลังของมันเสริมเวทมนตร์ขึ้นมานิดหน่อยเพื่อเสริมความแข็งแกร่งสําหรับอสูรเวทระดับผู้บัญชาการพวกมันสามารถใฝ่ฝันถึงการพังทลายกรงเหล็กเท่านี้ได้เท่านั้น…. ทําได้เพียงในฝันเท่านั้น!
ซึ่งอาคารแห่งนี้นั้นยังอยู่ภายใต้ค่ายกลเทพรัตติกาล อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนี้อยู่ในความดูแลของค่ายกลด้วยเช่นกัน พื้นที่ทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยความมืดโดยสมบูรณ์
หมอกหนาทําให้หลังคาทั้งหมดของอาคารราวกับว่ากําลังเปิดออก รอบกรงเหล็กที่เต็มไปด้วยสนิมเขรอะราวกับว่ากําลังซุกซ่อนอสูรร้ายเอาไว้ภายใต้ความมืดเหล่านั้น
โม่ผ่านนั้นวิ่งเข้ามาภายในหมอกเหล่านี้ ในความมืดวิสัยทัศน์การมองเห็นของเขาก็มีอย่างจํากัดด้วยเช่นกัน ดังนั้นในตอนนี้เขารู้สึกว่าพื้นที่ตรงหน้าเหมาะสมที่จะหลบซ่อนตัว เช่นนี้เขาจึงวิ่งเข้าไปในกรงเหล็กอย่างไม่ได้ตั้งใจ
ประตูใหญ่ของกรงเหล็กนั้นตั้งตระหง่านอยู่กลางอากาศ มันกําลังเปิดอยู่! พวกมันทั้งหมดถูกปกคลุมโดยหมอกหนาและโม่ฝานก็รู้ตัวแล้วว่าเขานั้นได้วิ่งพุ่งชนเข้ากับกรงเหล็กขนาดยักษ์อย่างไม่ทันระวังตัว
เครั้ง!!
โลหะบางอย่างร่วงหล่นสู่พื้นดินก่อให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว!
โม่ฝานหันไปมองรอบๆและตระหนักได้ว่าประตูใหญ่ร่วงลงมาจากความสูงกว่ายี่สิบเมตรด้วยน้ําหนักของมันจึงทําให้พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างช่วยไม่ได้
เขายืนมองประตูเหล็กตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจว่ามันหล่นลงมาได้อย่างไร แต่ทว่าเมื่อหมอก หนาได้จางหายไปจนหมดสิ้นแล้ว โม่ผ่านก็รู้ตัวทันทีว่าในตอนนี้เขายืนอยู่ในกรงเหล็กแห่งนี้แล้ว!
ภายในกรงเหล็กเหล่านี้โม่ฝานสามารถมองได้ไกลเพียงแค่ยี่สิบเมตรเท่านั้น แต่ความจริงก็คือเพียงแค่ยี่สิบเมตรนั้นไม่เพียงพอที่จะเห็นพื้นที่ทั้งหมดของกรงเหล็ก
นี่คือครั้งแรกที่โม่ฝานมาที่นี่ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่ากรงเหล็กมีขนาดใหญ่แค่ไหน? อีกทั้งสิ่งที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าทางออกเดียวของกรงเหล็กคือประตูใหญ่ที่เพิ่งพังทลายลงมาปิดกั้นเอาไว้โดยสมบูรณ์เมื่อครู่นี้
แม้ว่ากรงเหล็กเหล่านี้จะมีเหล็กกล้ายืนเรียงลําต้นกันอย่างเป็นระเบียบ แต่ทว่าน่าเสียดายที่ระหว่างช่องของมันนั้นก็ไม่อนุญาติให้สิ่งใดเล็ดลอดผ่านออกไปได้!
ด้านบนของกรงเหล็กทําจากลวดเหล็กที่เรียงกันเป็นวงกลมราวกับกรงวิหค นั่นหมายความว่าเขาก็ไม่สามารถหลบหนีออกทางด้านบนได้ด้วยเช่นกัน
สิ่งที่ทําให้โม่ฝานรู้สึกอึดอัดมากก็คือออร่าของธาตุต่างๆโดยรอบกําลังบิดเบี้ยวอย่างผิดธรรมชาติพลังการป้องกันของพวกมันเหล่านี้ล้วนแต่ไม่ยินยอมให้ใครก็ตามออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้ซึ่งสิ่งนี้ทําให้ความคิดที่โม่ฝานจะหลบหนีนั้นถูกทําลายไปโดยสมบูรณ์
ใครกันเป็นคนออกแบบกรงเหล็กบ้าน? มันควรจะมีไว้ขังอสูรเวท ทําไมจึงได้ปิดกั้นจนมนุษย์ก็ไม่สามารถหลบหนีได้?
ทันทีที่หมอกเริ่มจางหายไป ฉับพลันมีเสียงมนุษย์ดังขึ้นมา “ฮ่าฮ่าฮ่า แกรู้ไหมว่าในตอนนี้สภาพของแกน่ะเหมือนกับอะไร?”
เสียงแหบแห้งและแหลมน่าเกลียดดังขึ้นมาจากบุคคลหนึ่ง อย่างไรก็ตามเสียงที่น่าขนลุกนี้ดังขึ้นทําให้โม่ฝานรู้สึกตัวสั่นเล็กน้อย ราวกับว่าภูติผีได้มาเยี่ยมเยือนตั้งแต่เขายังไม่ได้ตายด้วยซ้ํา!
“แกคงรออยู่ตรงนี้นานแล้วสินะ” โม่ฝานมองไปที่ชายลึกลับซึ่งต้องเป็นเขาอย่างแน่นอนที่เป็นคนปิดประตูเหล็กนั่น
“แกเดินเข้าไปในกับดักด้วยตัวเอง! ตอนนี้อสูรเงาอยู่กับฉันแล้วและต่อจากนี้ไปฉันหวังว่าสถาบันแห่งนี้จะเข้าร่วมชมการแสดงที่ฉันกําลังจะโชว์หลังจากนี้! มันเป็นเรื่องที่ฉันเฝ้ารอและแน่นอนว่ามันจะต้องตื่นเต้นที่สุด!” ชายลึกลับกล่าวกับโม่ฝาน เสียงของเขามาจากทางด้านซ้าย
โม่ฝานตระหนักได้ว่าในตอนนี้มีบุคคลหนึ่งกําลังยืนอยู่ที่บันไดด้านนอกของกรงเหล็ก
ใบหน้าของเขาสวมหน้ากากไว้เพียงครึ่งหนึ่ง ผมยาวรุงรังบิดใบหน้าของเขาจนหมดสิ้น
เมื่อมองไปที่ใบหน้าของเขาแล้วคุณจะสามารถเห็นได้เพียงดวงตาข้างขวาของเขาเท่านั้นซึ่งมันเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและบ้าคลั่ง!
“แกเป็นใคร?” โม่ฝานยืนอยู่ในกรงเหล็กพร้อมถามออกไปในขณะที่สายตายังคงจับจ้องอย่างฉงน
“แกจําฉันไม่ได้เหรอ? แก จํา ฉัน ไม่ ได้ เหรอ!?” ชายตาแดงฉานคนนั้นกล่าวออกมาด้วยน้ําเสียงที่ดุดันกึ่งหัวเราะ ซึ่งบุคคลที่ยืนอยู่ในกรงรู้สึกได้ถึงความเศร้าโศกเล็กน้อยจากชายตรงหน้า
“เสียงของแกเหมือนกับอีกา เอิ่ม มันก็ดูคุ้นๆอยู่แหละนะ” โม่ผ่านตอบกลับ
“เลิกแสดงได้แล้ว! ครั้งสุดท้ายแกน่ะเพียงแค่โชคดีที่ฉันปล่อยให้แกหนีรอดไปได้จากเมืองบ่อ!ในเวลานี้ฉันจะทําให้แกรู้สึกเสียใจที่สุดในชีวิตที่มีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้!” ชายสวมหน้ากากกล่าว ออกมา
“ถ้าแกพูดอย่างนี้ตั้งแต่ที่แรกฉันก็รู้แล้วว่าแกคือใคร อ่า พูดก็พูดเถอะนะฉันว่าใบหน้าของแกมันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรมากนัก เพียงแค่นายไปเกาหลีปรึกษากับหมอสักหน่อยยัดพลาสติก เข้าไปแทนที่มันจะไม่เป็นการช่วยแก้ปัญหาได้ดีกว่างั้นเหรอ? ไม่จําเป็นจะต้องมาโกรธแค้นอะไรกับฉันสักหน่อย สําหรับใครบางคนที่สนุกสนานกับการยอมเป็นบุตรชายหลอกๆของคนที่เกลียดได้เนิ่นนานกว่าสิบปี เพียงแค่การยัดพลาสติกเข้าใบหน้าคงไม่ทําให้ศักดิ์ศรีของแกดูต่ําต้อยไปมากกว่านี้หรอก เฮอะ” โม่ผ่านกล่าวออกมาอย่างเหยียดหยามในขณะที่อีกฝ่ายยอมเผยว่าตนเองคือใคร
“ฮีฮี พูดอะไรก็พูดไปเถอะ อีกไม่นานแกจะคุกเข่าลงต่อหน้าฉันพร้อมกับขอร้องให้ฉันอย่าสับแกเป็นชิ้นๆเลย!”หยู่อันกล่าวออกมาด้วยน้ําเสียงเยือกเย็น
“นี่… หยู่อั้น ฉันมีคําถามน่ะ” โม่ฝานยกยิ้มอย่างเย็นชา “ถ้าหากว่าแกล้มเหลวในภารกิจครั้งนี้ผู้นําของแกจะทําลายใบหน้าที่เหลืออีกครึ่งนั่นไหม?” โม่ฝานค่อยๆกล่าวออกมาอย่างช้าๆชัดๆอย่างจงใจขยี้รอยแผล
รอยยิ้มเยือกเย็นของโม่ฝานค่อยๆเปลี่ยนเป็นชั่วร้ายมากยิ่งขึ้น!
หวั่นสาบานกับตัวเองว่าถ้าไอ้บ้าตรงหน้าของเขาคนนี้พูดเกี่ยวกับ “หน้า” ขึ้นมาอีกครั้ง เขาจะฆ่ามันและนําเนื้อหนังของมันไปปรุงเป็นต้มแซ่บเนื้อมนุษย์ จากนั้นเขาจะบังคับให้คนที่มันรักที่สุดกินอาหารชั้นเลิศนี้เข้าไป!
ฉือจ้าวติงนั้นไม่เหมือนกับโม่ฝาน ใครก็ตามที่ร้องขอความตายจากเขา สุดท้ายแล้วย่อมลงเอยที่การเป็นทาส นั่นคือสิ่งที่เขาเจ็บปวดมากกว่าความตายเสียอีก
ความโกรธแค้นที่หยู่อันมีต่อโม่ฝานนั้นมากมายกว่าใครจะเข้าใจ ความทรมานที่โม่ฝานจะต้องได้รับนั้นย่อมจะต้องมากยิ่งกว่าคนอื่นหลายเท่า!