จอมเวทอหังการ - ตอนที่ 234
บทที่ 234: หมัดเพลิงทลายปฐพี!
“ไม่ผิดแน่ เป็นที่นี่แหละ!” หลัวซ่งมองไปในความมืดตรงหน้าพร้อมกับใบหน้าที่บิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด
ไปจ่านเฟิงกับพวกพ้องอีกสามคนนั้นรู้สึกแปลกๆด้วยเช่นกัน ทั้งหมดตระเตรียมที่จะใช้พลังเวทของตนกับสถานการณ์ตรงหน้า
“เหม็นเป็นบ้า!”
“อืม มีคนที่กลัวสถานการณ์เช่นนี้จนแตกด้วยงั้นเหรอ? นี่มันต้องเยอะขนาดไหนถึงได้เหม็นมากเช่นนี้?” จ้วงหลีเฟิงกล่าว
“หยุดพล่ามได้แล้ว การเคลื่อนไหวของอสูรเงานั้นเร็วมาก จ้วงหลีเฟิงเตรียมใช้เวทมนตร์พฤกษา นายจําเป็นจะต้องหยุดยั้งอสูรเงาให้ได้” ขณะที่ซู่เซียวได้กลิ่นเหม็นเน่าที่รุนแรงมากขึ้น เธอก็ยังกังวลเรื่องราวเกี่ยวกับอสูรเงามากขึ้นไปด้วยเช่นกัน
จ้วงหลีเฟิงพยักหน้ารับ เถาวัลย์สีเขียวแก่ปรากฏขึ้นบนมือของเขา มันเคลื่อนไหวไปมาอย่างรอคําสั่ง
ในตอนนี้เส้นทางดวงดาวของธาตุพฤกษาพร้อมแล้ว มันเพียงแค่รอให้อสูรเงาปรากฏตัวขึ้นมาเท่านั้น
ฉับพลันลมแรงได้กรรโชกขึ้นอย่างบ้าคลั่ง มันวิ่งเร็วราวกับพายุ ถ้าหากว่าไม่มีหางของมันที่ส่องแสงอยู่อย่างนั้น แน่นอนว่าคงจะไม่มีใครสักคนได้เห็นมัน
ขณะนั้นเองไปจ่านเฟิงได้ตระเตรียมเวทมนตร์ในมือพร้อมแล้ว ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่อสูรเงาตรงหน้าพร้อมที่จะพุ่งเข้าใส่มัน!
แต่ทว่าในเวลานี้กลิ่นเหม็นเน่าก็ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ความเหม็นเพิ่มขึ้นตามความระยะห่าง ในคราแรกทุกคนนั้นเต็มไปด้วยสีหน้าจริงจังและพร้อมสําหรับการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้น แต่ในขณะที่กลิ่นสาปได้โชยเข้าจมูก ใบหน้าของพวกเขาทั้งหมดบิดเบี้ยว อีกทั้งไปจ่านเพิ่งที่ไม่ค่อยจะถูกโฉลกกับสิ่งเหล่านี้ ลำคอของเขาเต่งตึงราวกับจะอ้วกออกมาให้ได้
จ้วงหลีเฟิงตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง “บ้าเอ้ย นั่นมันคือตัวอะไรกันแน่เนี่ย!?”
เขายืนอยู่ด้านหน้าสุด แน่นอนว่าเขารู้ได้ทันทีว่ากลิ่นมาจากที่ไหน มันคือสัตว์ประหลาดกลุ่มใหญ่ซึ่งกําลังมุ่งหน้าตรงมาหาพวกเขา รูปร่างของมันคล้ายคลึงกับมนุษย์แต่ทว่ากลับมีใบหน้าคล้ายกับลิง!
พวกมันเหล่านี้เกาะตัวกันเป็นกลุ่มและมีบางตัวที่กําลังไต่กําแพงอยู่อย่างเมามัน บางตัววิ่งอยู่บนพื้นอย่างรวดเร็วด้วยขาสองข้าง แต่ทว่าบางตัวนั้นใช้ขาสี่ข้างในการวิ่งราวกับสัตว์ พวกมันมีจํานวนมากเกินไป ทั้งสี่คนที่ได้เห็นกับเหตุการณ์เช่นนี้รู้สึกขนหัวลุกขึ้นมาพร้อมกันอย่างช่วยไม่ได้
จ้วงหลีเฟิงกล้าสาบานได้เลยว่านี่คือสิ่งมีชีวิตที่น่าเกลียดที่สุดเท่าที่เขาเคยพบมา!
“รีบหนีเร็ว!” ซู่เซียวหน้าซีดด้วยเช่นกัน เธอรีบตะโกนบอกบุคคลที่ยืนอยู่ด้านหลังทันที
คนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นนักเรียนที่มาจากตระกูลใหญ่ทั้งสิ้น หลังจากที่ทั้งหมดได้เห็นฉากที่คาดไม่ถึงเช่นนี้ พวกเขาจะไม่ยืนอึ้งใดๆ ทั้งหมดเริ่มวิ่งและหาหนทางหลบหนีอย่างเร่งด่วน ใครจะกล้าขวางทางสัตว์ประหลาดรูปร่างน่าเกลียดเหล่านี้ล่ะ มันถาโถมใส่พวกเขาราวกับว่ากําลังเจอมื้อเย็นอย่างไรอย่างนั้น
“ใช้เวทมนตร์สิ เร็วเข้า รีบร่ายเวท!” ไปจ่านเฟิงกรีดร้องออกมาเสียงหลง
ไปจ่านเฟิงพยายามที่จะเชื่อมต่อเส้นทางเนบิวลาของตนเอง มือสองข้างของเขากวัดแกว่งไปมาอย่างสับสนวุ่นวาย ทันใดมีลมพายุค่อยๆก่อตัวขึ้นอย่างเชื่องช้า
ภายใต้แรงกดดันจากค่ายกลเทพรัตติกาลนี้ การเชื่อมต่อเส้นทางเนบิวลาของไปจ่านเฟิงนั้นเป็นไปได้ช้ามากกว่าปกติ อีกทั้งมันเกือบจะไม่สําเร็จเสียด้วยซ้ํา
ในที่สุดเขาก็สามารถร่ายเวทได้สําเร็จ วายุหมุน ทอร์นาโด!
ลมพายุขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้น ลมกรรโชกแรงได้ทําลายทุกสิ่งที่ขวางน้า มันดูดเอาอสูรมืดเข้าไปด้านในที่ละตัวอย่างไร้ความปราณี สัตว์ประหลาดถูกดูดและลอยขึ้นไปในอากาศอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวหลบหนี!
สัตว์ประหลาดสีดําที่น่าเกลียดเหล่านั้นถูกดึงให้เข้าไปอยู่ด้านในพายุ และสุดท้ายพวกมันถูกปล่อยให้ร่วงหล่นสู่พื้นอย่างโหดเหี้ยม กระดูกทุกชิ้นและศีรษะของมันกระแทกกับพื้นและแตกออกดังโพละราวกับแตงโม
วายุหมุนของไปจ่านเฟิงเมื่อครู่สร้างความขุ่นเคืองใจให้กับอสูรมืดอย่างมาก พวกมันทั้งหมดโกรธจัดราวพร้อมกับส่งสายตามาที่พวกเขาราวกับจะบอกเป็นนัยๆว่า “ฉันจะไม่ปล่อยให้พวกแกรอดไปได้” สายตาของอสูรร้ายทั้งหมดล็อกเป้าและพุ่งเข้ามาหาพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง
“ไอ้บ้าเอ้ย ในหัวของนายน่ะมีมันสมองบ้างไหม? คิดอะไรอยู่ถึงได้โจมตีใส่พวกมัน หน้าที่ของนายคือจัดการกับอสูรเงาไม่ใช่ไปยั่วยุไอ้พวกบ้านั้น!!” ซู่เซียวตะโกนออกมาเสียงดังอย่างหัวเสีย
เหมือนว่าวายุหมุนของไปจ่านเฟิงจะสามารถสังหารอสูรมีดไปได้เพียงสามตัวเท่านั้น ถ้าหากว่าในตอนนี้เขาอยู่ด้านนอกค่ายกลแห่งนี้ แน่นอนว่าการสังหารอสูรมืดกว่าสิบตัวไม่เป็นปัญหาอะไรเลย อย่างไรก็ตามการใช้เวทมนตร์ในค่ายกลแห่งนี้นั้นถูกจํากัดไว้มากเกินไป ถ้าหากคุณอยากจะเคลื่อนไหวและร่ายเวทได้อย่างสุดกําลังล่ะก็มีทางเดียวคือใช้เวทธาตุเงา!
สายตาของไปจ่านเฟิงเหลือบไปเห็นจํานวนของอสูรมีดที่กําลังคืบคลานเข้ามาในเส้นทางของตนเอง เขาหวาดกลัวจนกางเกงเริ่มเปียกแฉะ
เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าพวกมันจะมีจํานวนมากมายเช่นนี้ อสูรมืดทั้งหมดนั้นราวกับมีดวงตาดวงเดียวกัน พวกมันจับจ้องมาที่ไปจ่านเฟิงโดยสมบูรณ์
“หนี! รีบหนีเร็วเข้า!” หนึ่งในสมาชิกของทีมตะโกนออกมาอย่างลนลาน
“จ้วงหลีเฟิง เร็วเข้า ใช้เวทมนตร์ธาตุพฤกษาระดับกลาง!” ซู่เซียวออกคําสั่ง
แม้ว่าเขาจะหวาดกลัวแต่ทว่าเขาก็ไม่กล้าที่จะขัดคําสั่งแต่อย่างใด เขายกเลิกเวทมนตร์ระดับปฐมภูมิพร้อมกับเริ่มเชื่อมต่อเส้นทางเนบิวลาทันที
“เถาวัลย์จองจํา!” ดูเหมือนว่าจ้วงหลีเฟิงนั้นจะอยู่ในกลุ่มของผู้เชี่ยวชาญด้วยเช่นกัน แม้ในยามอันตรายเขาก็สามารถใช้เวทมนตร์ได้ดีเยี่ยม
แต่อย่างไรก็ตามเถาวัลย์จองจําของเขานั้นก็ยังถูกลดทอนพลังไปโดยสมบูรณ์ แต่เดิมมันควรจะครอบคลุมเส้นทางทั้งหมด แต่ทว่าภายใต้แรงกดดันจากเทพรัตติกาลทําให้พลังของมันถูกบั่นทอนไปมาก จึงมีพื้นที่บางส่วนที่ทําให้อสูรมืดสามารถเล็ดลอดออกมาได้อยู่
“อย่าได้กังวล อยู่ในตําแหน่งของตัวเองไว้ให้มั่น! แม้ว่าพวกมันจะมีจํานวนมากกว่า แต่ทว่าก็ไม่ได้ทรงพลังอะไรมากนัก!!”
“โธ่เว้ย ถ้าไม่ใช่เพราะค่ายกลเทพรัตติกาลอะไรนี้ พลังของฉันสามารถทําให้พวกมันกลายเป็นขยะได้เพียงกระดิกนิ้ว!”
ดวงตาของซู่เซียวเปล่งประกายออกมา ในขณะนี้เธอยืนอยู่ที่ด้านหน้าสุดของทีมและมีใบหน้า ที่สงบอย่างยิ่ง เธอกําลังเฝ้ารอให้อสูรมีดโผล่พ้นจากช่องโหว่ของเถาวัลย์จองจํา เมื่อพวกมันมาถึง ซู่เซียวคํารามออกมาพร้อมกับเปลวไฟที่เดือดพล่านอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเธอ เปลวไฟอันร้อนแรงทั้งหมดห่อหุ้มร่างกายของเธอเอาไว้ราวกับโกสไรเดอร์!
“หมัดเพลิงทลายปฐพี!”
เปลวเพลิงควบแน่นเป็นวงกลมแคบล้อมรอบข้อมือของซู่เซียวอย่างรวดเร็วในขณะที่เธอตะโกนออกมา
ดวงตาเปล่งประกายร้อนแรงและกําปั้นที่เดือดพล่านได้พุ่งออกมา เธอใช้กําปั้นของตนเองทุบลงบนพื้นอย่างเดือดดาล
พลังงานร้อนแรงไหลแทรกซึมเข้าไปบนพื้นดินที่แตกแยกอย่างรวดเร็ว รอยแตกทั้งหมดเต็มไป ด้วยเปลวไฟราวกับลาวาที่เกรี้ยวกราด มันกําลังพุ่งไปหาอสูรมืด!
ตู้มมมมมม!!
พื้นดินแยกแตกออกจากกันเป็นเส้นสายมากมาย เปลวไฟที่หนาเตอะได้ลุกลาวไปทั่วอย่างอิ สระและกลายเป็นดอกบัวเพลิง ออร่าแห่งความตายได้ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างบ้าคลั่ง!
ช่วงความยาวของดอกบัวเปลวไฟนั้นใหญ่มาก เสาเพลิงพุ่งทะลุเส้นทางทั้งหมดอย่างเกรี้ยวกราด หลังจากที่อสูรมีดเหล่านั้นพุ่งเข้ามา และได้พบเจอกับหมัดเพลิงทลายปฐพีทั้งหมดลอยออกไปอย่างไม่ทันตั้งตัวได้ อีกทั้งพวกมันยังไม่มีเวลามากพอให้กรีดร้องแม้แต่น้อย ทั้งหมดถูกเผาไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงพร้อมเศษซากทั้งหมดร่วงหล่นสู่พื้นอย่างน่าอนาถ
จ้วงลี่เฟิงและทีมอีกสองคนยืนมองดอกบัวแห่งความตายเมื่อครู่นี้ด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนก ขากรรไกรของพวกเขาร่วงหล่นตุ๊บไปอยู่ที่ตาตุ่มอย่างไม่ตั้งใจ
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นว่าซู่เซียวใช้พลังเต็มที่ในการต่อสู้ หมัดเพลิงขั้นที่ สองนั้นเป็นพลังที่รุนแรงเหลือเชื่อ วายุหมุนทอร์นาโดสามารถจัดการอสูรมืดได้เพียงสามตัวเท่านั้น แต่ทว่าหมัดเพลิงทลายปฐพี่นั้นสามารถเผาไหม้อสูรมืดที่เพียงเพิ่งก้าวออกมามองดูหลังกําแพงได้เพียงสามก้าวเท่านั้น! ไม่ต้องพูดเลยว่าเปลวไฟนี้รุนแรงมากขนาดไหน!
“เทพรัตติกาลนี้จํากัดพลังของพวกเรามากเกินไป พวกเราต้องกระจายตัวกัน ยังมีพวกมันอยู่มากในพื้นที่แห่งนี้! เราไม่สามารถจะฆ่าพวกมันทั้งหมดได้!” ซู่เซียวกล่าวกับทีมของตนเองอย่างเคร่งขรึม
แน่นอนว่าทุกคนไม่มีใครขัดคําสั่งของเธอแต่อย่างใด ทั้งหมดในเวลาในขณะที่หมัดเพลิงทลายปฐพียังคงสําแดงฤทธิ์เดชอยู่ในการหลบหนี!
ขณะที่ไปจ่านเฟิงและซู่เซียวหมุนตัวกลับออกไป ฉับพลันปรากฏเงามนุษย์โผล่ออกมาจากกําแพงของเขาวงกต
เขาเฝ้ามองบุคคลทั้งห้าที่กําลังวิ่งหนีออกไป จากนั้นเขาหันกลับมามองรอบๆและเดินตรงไปหาอสูรมืดที่กําลังติดอยู่ในเถาวัลย์จองจําและยังคงถูกเผาไหม้อย่างต่อเนื่องด้วยหมัดเพลิงเมื่อสักครู่
“ฉันจะมอบของขวัญที่ล้ําค่าให้กับพวกแกสักหนึ่งบทเพลงแล้วกัน!”
ดวงตาของเขาสว่างวาบขึ้นราวกับได้เจอศัตรูเก่าที่หมายปองมานาน
เปลวไฟแดงเดือดได้ปรากฏขึ้นบนใต้ฝ่าเท้าของเขาอย่างรวดเร็ว ในค่ายกลรัตติกาลนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ส่งผลอะไรเลยกับเปลวไฟของโม่ฝาน ท้ายที่สุดมันได้เดินทางมาถึงจุดเดือดและพร้อมจะถูกปลดปล่อยแล้ว!
เมื่อพลังควบแน่นมาจนถึงจุดสูงสุด กําปั้นที่เต็มไปด้วยความโกรธของพระเจ้ากําลังจะปะทุออกอย่างบ้าคลั่งแล้ว!
อัคคีกุหลาบ…
หมัดเพลิง
ทลายปฐพี
“พวกแกทั้งหมดจงไปตายซะ!”
เปลวไฟแห่งการล้างแค้นได้ถูกปลดปล่อยออกไปแล้ว แน่นอนว่าพลังของมันรุนแรงมากกว่าผู้หญิงคนเมื่อครู่นี้หลายเท่า!
อสูรมืดทั้งหมดถูกทุบตีโดยหมัดเพลิงทลายปฐพจนย่อยยับ พวกมันทั้งหมดหลายเป็นเถ้าถ่าน ลอยคละคลุ้ง บางส่วนที่กําลังถูกเปลวไฟเผาไหม้กําลังกรีดร้องกันอย่างระงมในพื้นที่เขาวงกตทมิฬแห่งนี้ จะไม่มีพวกมันตัวไหนหลุดรอดจากการโจมตีที่บ้าดีเดือดเช่นนี้แน่นอน!