จอมเวทอหังการ - ตอนที่ 233
บทที่ 233: ในคราวเดียว!
“ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นมืดมิดได้อย่างไรกัน?”
“มันมืดมาสักพักหนึ่งแล้วล่ะ!”
“ไม่ ไม่นะ ไม่! ทําไมฉันมองไม่เห็นอะไรเลย แสง แสงสว่าง อยู่ไหน!”
“จริงอย่างที่นายพูด แปลกมาก ทําไมเส้นทางดวงดาวของฉันจึงไม่ยอมตอบสนองใดๆเลย! มันไม่เชื่อฟังฉัน!”
เมื่อค่ายกลเทพรัตติกาลได้เริ่มทํางาน นักเรียนทุกคนที่อยู่ในสงครามเริ่มตระหนักได้ว่าพวก เขากําลังพบเจอกับเรื่องราวแปลกประหลาดอยู่
นี่คือค่ายกลเงาขนาดใหญ่ที่ทรงพลัง มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีแสงจากที่อื่นเล็ดลอดเข้ามา ข้างใน ถ้าหากว่าคุณไม่ได้ยืนอยู่ในจุดที่ยอดเยี่ยมจริงๆ คุณจะไม่มีทางมองเห็นเป้าหมายของตน เองได้เลย!
มันเหมือนกับว่าถูกขังไว้ในห้องๆหนึ่ง กําแพงของห้องนั้นเป็นสีดําสนิท ทุกคนมองเห็นเพื่อนร่ วมห้องได้อย่างเลือนราง แต่ทว่าจะไม่รู้ถึงสถานการณ์ด้านนอกเลยแม้แต่นิดเดียว
เมื่อครู่นี้สนามรบที่สุดแสนจะวุ่นวายถูกแยกออกจากกันโดยค่ายกลเทพรัตติกาล ในขณะที่ นักเรียนทุกคนกําลังใจจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น พวกเขาจะไม่ทันรู้ตัวเลย ว่าได้เข้าสู่วงกตทมิฬนี้แล้ว อีกทั้งถ้าหากอสูรเงาถูกใครนําตัวออกไป พวกเขาก็ย่อมไม่รู้ด้วย เช่นกัน!
“ไม่ต้องตื่นตระหนกไป นี่คือค่ายกลเวทมนตร์ขนาดใหญ่ที่โรงเรียนได้ตระเตรียมเอาไว้! ถ้าฉัน เดาไม่ผิดที่คือเวทมนตร์เงาขั้นสูง เทพรัตติกาล มันเป็นค่ายกลที่แข็งแกร่งและมีความซับซ้อนมาก เทพรัตติกาลเป็นเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งที่สุดของเวทมนตร์เงา มันคือเขาวงกตทมิฬ! ธาตุอื่นที่นอก เหนือจากธาตุเงาจะถูกระงับไว้ทั้งหมดโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง แน่นอนว่าพลังของพวกนายย่อมลดลง ไปมากโข! ฉันเพียงแค่รู้สึกว่าสถาบันคงจะกลัวนักเวทระดับมัชฌิมพลั้งมือจนทําให้เกิดเหตุการณ์น องเลือดขึ้นน่ะแหละนะ ความโกลาหลเช่นนี้เป็นเรื่องยากที่จะควบคุมจริงๆ” ซูเซียวที่อยู่ในทีมเดีย วกับไปจ่านเฟิงกล่าวออกมา
ซูเซียวอยู่ในกลุ่มมือใหม่ที่แข็งแกร่งอันดับต้นๆ เธอเป็นนักเวทหญิงคนเดียวที่สามารถเผ ชิญหน้ากับมู่หนิวเจียวได้อย่างไม่เคอะเขิน!
ไปจ่านเฟิงและคนอื่นเริ่มสงบลง แต่อย่างไรก็ตามในขณะนั้นไปจ่านเฟิงกําลังคิดถึงเรื่องใค รบางคนที่จะใช้ประโยชน์จากค่ายกลนี้เพื่อจับตัวอสุรเงาออกไป เมื่อคิดได้เช่นนั้นไปจ่านเฟิงอุทาน ออกมาอย่างกังวลใจทันที “ถ้าเป็นอย่างนี้เราจะหาอสูรเงาเจอได้อย่างไรล่ะ?”
“ตอนที่โม่ผ่านโยนอสุรเงามาให้นาย ฉันโยนเวทติดตามใส่ร่างกายของมันแล้ว ตามฉันมาแล้ว จะได้เจอกับมัน!” ซูเซียวกล่าว
“ฮ่าฮ่าฮ่า นายหญิงซ่เซียวฉลาดเหลือเกิน ฮ่า อสุรเงาจะต้องเป็นของพวกเราแน่นอน!”
ไม่มีใครอยากจะพบเจอสถานการณ์ที่วุ่นวาย ที่ใดเกิดสงคราม คงมีเพียงเทพเจ้าแห่งความ ตายเท่านั้นที่จะยุติสิ่งเหล่านั้นลงได้ อย่างไรก็ตามในขณะนี้ทุกคนถูกปิดกั้นทุกสิ่งโดยค่ายกลเทพรั ตติกาล แน่นอนว่าในค่ายกลนี้เต็มไปด้วยพลังที่สยบทุกคนเอาไว้ นักเรียนทุกคนจะปลอดภัยไม่ มีใครถูกโจมตีในสถานการณ์เช่นนี้แน่นอน
เช่นนี้ถ้าหากว่าคุณสามารถจัดการกับอสูรเงาได้และพามันไปที่กรงเหล็กให้เร็วที่สุด เพียงเท่า นี้ภารกิจการสอบก็จะเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์
“ไอ้โม่ฝานสารเลว ถ้าหากฉันจับตัวแกได้เมื่อไหร่ พ่อคนนี้จะกระทืบแกให้จมดิน!” เฉินหมิง เฉวียนผู้ซึ่งติดอยู่ในความมืดคํารามออกมาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ความโกรธกําลังปะทุออกมาอย่าง ไม่อาจเก็บกลั้นไว้ได้
หลัวซ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ขบขากรรไกรเอาไว้อย่างเหนียวแน่น เขาโกรธจนแทบจะลมออกหู ด้วยเช่นกัน
เดิมที่พวกเขาคิดว่าภารกิจของพวกเขานั้นเสร็จสิ้นแล้ว แต่ใครกันเล่าจะคาดคิดว่าเหตุก ารณ์ทั้งหมดจะแปรผันไปได้มากขนาดนี้ อีกทั้งในตอนนี้พวกเขายังไม่รู้อีกด้วยว่าอสูรเงาตัวนั้นอยู่ที่ใด!
“กลิ่นอะไร? พวกนายได้กลิ่นอะไรไหม?” บุคคลที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวขึ้นมา
“อืม ฉันได้กลิ่นเหมือนกัน… บ้าเอ้ย นี่มันกลิ่นของตัวอะไร?”
“ตัวอะไรงั้นเหรอ? นายกลัวใครจะว่าเป็นใบ้รึเปล่าถ้าไม่พูดออกมา?”
“ฉันเห็นมันจริงๆ รูปร่างของมันเหมือนกับสวมใส่หน้ากากลิงอยู่ในขณะที่กําลังคลานไปมา”
ความมืดเข้าปกคลุมทุกพื้นที่เสียแล้วในตอนนี้ โม่ฝานยังคงยืนอยู่ที่เดิมโดยที่ไม่ขยับเขยื้อนไป ไหนแม้แต่ก้าวเดียว
ในตอนนี้เขามองไม่เห็นอสูรเงาอีกแล้ว ค่ายกลเทพรัตติกาลได้แยกนักสู้ทั้งหมดออกจาก กันด้วยเขาวงกตทมิฬขนาดใหญ่นี้
เขาถอนหายใจอย่างรู้สึกทําอะไรไม่ได้ สิ่งนี้มีแต่จะช่วยเหลือให้กลุ่มศาสตร์มืดเคลื่อนไหวได้ ง่ายดายยิ่งขึ้นไปอีก
แต่ทว่าโม่ฝานจะยอมให้พวกเขาทําภารกิจของตนเองสําเร็จได้อย่างไรกันล่ะ!?
ค่ายกลเทพรัตติกาลนั้นเป็นระบบที่สามารถปกป้องได้อย่างยอดเยี่ยม แต่อย่างไรก็ตา มมันก็ยังเป็นคุกขนาดใหญ่ด้วยเช่นกัน!
ในคืนนี้พวกเขาทั้งหมดย่อมไม่อยากจะทิ้งชีวิตของตนเองไว้ที่นี่!
ค่ายกลเทพรัตติกาลนั้นเป็นชั้นหมอกหน้าทึบที่ระงับพลังของพวกเขาทั้งหมดเอาไว้ ความแข็ง แกร่งของทุกคนล้วนแต่ถูกกดเอาไว้ไม่สามารถดึงออกมาใช้งานได้เลยแม้แต่น้อย แต่อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่โม่ผ่านครอบครองธาตุเงา เช่นนี้จึงทําให้เทพรัตติกาลไม่ได้จํากัดพลังของเขาแต่อย่างใด ในเขาวงกตใหญ่แห่งนี้ โม่ฝานสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระเท่าที่เขาอยากจะทํา
สําหรับคนอื่นทั้งหมดนั้น กําแพงเงาที่พวกเขาได้พบเจอเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถจะจับต้อง มันได้เลย มันไม่มีประโยชน์แถมยังให้โทษแก่พวกเขาอีกด้วย แต่สําหรับโม่ฝานนี้เป็นสิ่งที่ สวรรค์สรรสร้างมาเพื่อเขาอย่างแท้จริง!!
โม่ฝานรู้ดีว่าเป้าหมายของกลุ่มศาสตร์มืดคืออสูรเงา ดังนั้นในตอนนี้เขาจะต้องค้นหาอสูรเงา ให้พบโดยเร็วที่สุด!!
โชคดีที่ไม่ผ่านไม่ได้ประมาท เขาได้ร่ายเวทติดตามเอาไว้ที่ร่างกายของอสูรเงาแล้วเช่นกัน!
อีกทั้งโม่ฝานไม่ได้โยนจี้ทมิฬน้อยที่เป็นคู่หูของเขาเข้าไปในท้องของอสูรเงาแน่นอน เขาเพียง แต่ขอให้จี้ทมิฬนี้กลั่นน้ําศักดิ์สิทธิ์ออกมาให้เขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเพื่อใช้ในแผนการครั้งนี้
ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ถ้าหากว่ามีออร่าของน้ําพุศักดิ์สิทธิ์แสดงออกมาล่ะก็ กลุ่มศาสตร์มืดจะ ต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน เพียงแค่รอให้พวกมันเดินเข้ามาติดกับดักเท่านั้น แล้วทุกอย่างก็จะ เรียบร้อยเป็นไปตามแผน สถาบันสร้างกรงขนาดใหญ่ขึ้นมา ด้วยสถานการณ์เช่นนี้พวกเขาจะต้อง เดินเข้ามาติดกับดักแน่นอน…
เขาเชื่อว่ากลุ่มศาสตร์มืดที่หลบซ่อนอยู่ใต้เงาอะไรสักอย่างจะปลดเปลื้องรูปลักษณ์และฉีก หน้ากากของตนเองออกในเหตุการณ์ครั้งนี้
เมื่อพวกเขาเปิดเผยตัวตนออกมา โม่ผ่านไม่มีความลังเลเลยที่จะสังหารพวกมัน!
“จี้ทมิฬน้อยเอ๋ย ตอนนี้ชะตาของฉันขึ้นอยู่กับแกแล้ว ช่วยฉันค้นหาอสูรเงาทีเถิด” โม่ผ่านพูด กับจี้ทมิฬที่ห้อยอยู่ที่คออย่างมุ่งมั่น
ช่างโชคดีที่ขึ้น้อยทมิฬนั้นเข้าใจเจตนาของผู้เป็นนายได้อย่างยอดเยี่ยม มันสั่นไหวเล็กน้อยราว กับบอกเขาว่า “เข้าใจแล้ว”
จี้ทมิฬค่อยๆแผ่ออร่าของตนเองออกมาเล็กน้อยอย่างแผ่วเบา สิ่งนี้ทําให้ความมืดหนาตรง หน้าค่อยๆเบาบางลงไปด้วย มันคล้ายกับโคมไฟที่ส่องสว่างในยามค่ําคืน
แสงสว่างนั้นเบาบางอย่างมาก แต่ก็จะส่องสว่างมากขึ้นเมื่อโม่ฝานเริ่มเคลื่อนไหว แต่เมื่อไหร่ ก็ตามที่โม่ฝานเดินผิดทาง แสงสว่างจะหุบลงทันที
“ยิ่งฉันเข้าใกล้อสูรเงามากเท่าไหร่ แสงสว่างก็จะมากขึ้นอย่างงั้นเหรอ? ถ้าหากว่าฉันออกห่าง ก็จะเบาบางลงเช่นนั้นหรือ?” โม่ผ่านเข้าใจทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว เขาไม่รู้จะขอบคุณจี้ทมิฬนื้อ ย่างไรดีนอกจากบรรจงจูบลงไปหนึ่งที่อย่างชื่นมื่น
แต่แน่นอน โม่ฝานรู้ดีว่าเหตุผลที่มันช่วยเขาในคราวนี้เป็นเพราะมันไม่ต้องการจะสูญเสียน้ําพุ ศักดิ์สิทธิ์ไปแม้แต่หยดเดียว! ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าจทมิฬนี้ก็ขี้เหนียวมากเช่นกัน
เขาเดินตามเส้นทางที่จี้ทมิฬจัดการให้มาตลอด จากนั้นโม่ฝานเริ่มมองหาอสูรเงาอย่างต่อ เนื่อง
โม่ฝานสามารถทะลุกําแพงของเขาวงกตไปมาได้อย่างอิสระ การเคลื่อนไหวของเขานั้นแทบ จะสมบูรณ์แบบและมันควรจะง่ายดายในการค้นหาอสูรเงา
“แปลก… ทําไมเส้นทางถึงได้เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาเลยล่ะ?” โม่ฝานบ่นพึมพําออก มาในขณะที่มองจี้ทมิฬตรงหน้าที่กําลังกระพริบอยู่อย่างต่อเนื่อง
โม่ฝานเคลื่อนไหวต่อไป แต่ทันใดนั้นเส้นทางของอสูรเงาก็ได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง
เขายืนหยุดนิ่งอยู่บนพื้นพร้อมกับมองเส้นทางตรงหน้าอย่างไม่วางตา
ช่วงเวลานี้เอง จี้ทมิฬส่องสว่างขึ้นมาอีกครั้ง!
เขายังไม่ได้ขยับตัวแม้แต่นิดเดียว ทําไมมันถึงได้เปล่งแสงสว่างออกมาล่ะ?!
อู่วววววววววววว!
ฉับพลันเงาสีเทาได้วิ่งผ่านโม่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว มันคือสิ่งมีชีวิตรูปร่างคล้ายกับเสือดาว คุณ สามารถมองเห็นได้เพียงเงาของมันเท่านั้น ความเร็วนั้นแทบไม่สามารถมองได้ด้วยตาเปล่า มีเพียง แค่หางของมันที่ส่องสว่างในความมืด….
“บัดซบ มันไม่ได้ถูกจํากัดพลังงั้นเหรอ!?” ขากรรไกรของโม่ฝานอ้าค้างทันทีเมื่อเห็นอสูรเงา กําลังพุ่งทะยานไปมาอย่างอิสระ ความเร็วของมันนั้นเหนือกว่าหมาป่าเวทของเขาเสียอีก
อสูรเงากําลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน มันเต็มไปด้วยอิสระภายในเขาวงกตทมิฬนี้
ฉับพลันเสียงที่น่าเกลียดได้ดังขึ้นตามหลังของอสูรเงา ซึ่งแน่นอนว่าเสียงเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่ ฝานคุ้นเคยกับพวกมันเป็นอย่างดี!
มันคืออสูรมืด!
กลุ่มศาสตร์มืดได้เผยอสูรมีดออกมาแล้ว พวกมันออกมาแล้ว! อีกทั้งในตอนนี้พวกมันทั้งห มดกําลังไล่ล่าอสูรเงาอยู่
ไม่แปลกใจเลยว่าทําไมอสูรเงาจึงได้วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตเช่นนั้น มันกําลังถูกตามล่าจากสัตว์ ประหลาดเหม็นเขียวพวกนี้นี่เอง!
“ดูเหมือนว่าถ้าฉันตามอสูรเงานั้นไป ฉันจะจับพวกมันทั้งหมดได้ในคราวเดียว!” โม่ฝานหลบ ซ่อนตัวอยู่ภายในกําแพงมีดพร้อมกับเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา