จอมเวทอหังการ - ตอนที่ 232
บทที่ 232 ค่ายกลเทพรัตติกาล!
โม่ฝานนั้นออกจากพื้นที่อันตรายตรงนั้นหลังจากที่เขาโยนอสูรเงาออกจากมือ
โม่ฝานไม่โง่พอที่จะยืนต่อสู้กับนักเวทระดับมัชฌิมทั้งหลายคนแน่นอน ถ้าหากว่าเขาไม่ออกจากพื้นที่โดยเร็วล่ะก็ แน่นอนเขาจะต้องกลายเป็นคนพิการเนื่องจากโดนการโจมตีของคลื่นวารีคลั่งเมื่อครู่นี้ด้วย!
“ไอ้พวกธาตุน้ําสารเลว! เนื่องจากพวกแกไม่ต้องการให้พวกเราได้รับผลประโยชน์ในคราวนี้สินะ ถ้าอย่างนั้นแกก็ลืมเรื่องที่แกจะได้รับอสูรเงาตัวนี้ไปเลยเช่นกัน เอาล่ะพี่น้อง เลิกหลบซ่อนแล้วออกมาเถิด! มาจัดการไอ้พวกธาตุน้ําเหล่านี้กัน! การที่ปล่อยให้พวกมันได้รับผลประโยชน์ไปง่ายดายเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะยอมรับได้!” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากฝูงชน
บุคคลผู้นั้นมีชื่อว่า ฉางซิงเหมียง ชื่อเสียงของเขาค่อนข้างโด่งดังในหมู่ของรุ่นพี่ นักเวทธาตุอื่นซึ่งได้รับอันตรายจากนักเวทธาตุน้ําเมื่อครู่ก็ไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป ทุกคนลุกยืนขึ้นมาพร้อมกับเริ่มเชื่อมต่อเส้นทางเนบิวลาและพุ่งเป้าหมายไปที่นักเวทธาตุน้ําอย่างมุ่งมั่น
ความจริงก็คืออสูรเงานั้นเป็นเป้าหมายของทุกคน อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในตอนนี้ได้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว นักเวทมากมายเริ่มโกรธแค้นและเปลี่ยนสถานที่ตรงนี้ให้กลายเป็นสงคราม ความโกลาหลได้เกิดขึ้นและทุกคนพร้อมใจกันร่ายเวทมนตร์อย่างบ้าคลั่ง!
ภายในสถาบันนักเรียนทุกธาตุล้วนแต่มีความขัดแย้งกันอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้ ยิ่งไม่มีผู้ใดสามารถควบคุมได้ ความไม่พอใจทั้งเก่าและใหม่ถูกใช้เป็นข้ออ้างในการต่อสู้ทันที! ใครจะมานั่งสนใจอสูรเงาในตอนนี้ล่ะ? ในตอนนี้มีคนมากมายที่ยืนอยู่ในบริเวณแห่งนี้ ทั้งหมดล้วนแต่ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้แตะต้องอสูรเงา ซึ่งในตอนนี้พวกเขากําลังชําระล้างแค้นส่วนตัวกันอยู่!
นักเวทธาตุน้ําได้สร้างความโกรธแค้นให้กับทุกคนไปแล้วโดยสมบูรณ์ แต่ละคนที่ลุกยืนขึ้นมาอีกครั้งเต็มไปด้วยเปลวไฟแห่งความแค้นที่กําลังสุมอก
โชคดีที่เสียงของการต่อสู้นั้นดังไปถึงหูของเหล่าอาจารย์ พวกเขาทั้งหมดพุ่งเข้ามาเพื่อคอยปกป้องนักเรียนของตนเอง แม้แต่อธิการบดีเซียวก็ยังไม่คาดคิดว่าทั้งหมดนี้คือฝีมือของโม่ฝาน เขามองสถานการณ์อยู่ชั่วขณะจากนั้นจึงร่ายเวทมนตร์โล่ห์ศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงออกมาเพื่อเป็นแนวป้องกันขนาดใหญ่ ซึ่งมันจะสามารถปกป้องอาคารเรียนเอาไว้ได้และยังช่วยปกป้องชีวิตของผู้บริสุทธิ์ต่างๆได้อีกด้วย
นอกจากสิ่งที่อธิการบดีเซียวได้ลงมือไปก่อนหน้านี้ อาจารย์ธาตุแสงคนอื่นก็ไม่ได้อยู่เฉย พวกเขาทั้งหมดร่ายเวทต่อในทันที ขณะนี้วิทยาเขตรองทั้งหมดแทบจะกลายเป็นซากปรักหักพังแล้ว อํานาจการทําลายล้างของธาตุต่างๆนั้นไม่สามารถรับมือได้อย่างง่ายดายเลย โดยเฉพาะธาตุไฟ หมัดเพลิงของพวกเขานั้นแทบจะทําลายอาคารทั้งหลังลงไปอย่างไร้ความปราณี ซึ่งนี่ถือได้ว่าเป็นปัญหาใหญ่เกินไป!
โชคดีที่สถานที่แห่งนี้ทั้งหมดเต็มไปด้วยพื้นรกร้างหลังสถาบัน ทางสถาบันนั้นเพียงแค่คาดหวังว่านักเรียนทั้งหมดจะต่อสู้กันอยู่ที่บริเวณกรงเหล็ก ดังนั้นพวกเขาจึงนํากรงเหล็กไปวางไว้ด้านท้ายของสถาบันเพื่อให้พวกเขาสู้กันที่นั่น แต่ใครเล่าจะคาดคิดว่านักเรียนทั้งหมดจะมายืนต่อสู้กันตรงนี้
“อธิการครับ ถ้าหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ผมว่าจะต้องมีคนตาย!” โจวเจียงฮวากล่าวขึ้นมาอย่างไม่สามารถอดทนดูภาพตรงหน้าได้อีกต่อไป
“เปิดค่ายกลเทพรัตติกาลเพื่อหยุดยั้งพลังทั้งหมดของพวกเขาเดี๋ยวนี้!” เซียวกล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม
โชคดีที่ทุกคนนั้นเพียงเพิ่งต่อสู้ได้ไม่นานนักและพวกเขายังไม่ได้บ้าคลั่งกันมาก แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหารปล่อยให้การต่อสู้ดําเนินต่อไปเรื่อยๆ มันจะกลายเป็นเรื่องยากเย็นที่จะควบคุมอย่างยิ่ง เช่นนั้นเมื่อมีตัวเลขการตายเกิดขึ้น พวกเขาจะไม่สามารถควบคุมอะไรได้อีกเลย!
แน่นอนว่าทางสถาบันไม่ได้นิ่งเฉยกับเหตุการณ์เช่นนี้ พวกเขาเตรียมที่จะรับมือกับสถานการณ์แล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะต้องหยุดรวดเร็วเช่นนี้ ทั้งหมดได้ตระเตรียมค่ายกลเทพรัตติกาลเอาไว้สําหรับสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว!
ระบบเทพรัตติกาลนี้เป็นเวทมนตร์เงาระดับสูง มันใช้หินเวทมนตร์เงาเพื่อเชื่อมต่อเส้นทางเนบิวลา จากนั้นมันจะถ่ายโอนพลังงานจํานวนมหาศาลเพื่อไปยังค่ายกลระดับสูง ซึ่งมันสามารถรองรับพลังเวทมนตร์จํานวนมหาศาลได้มากกว่าสิบเท่าหรือมากกว่านั้น!
แน่นอนว่าค่ายกลเทพรัตติกาลได้ถูกวางไว้รอบบริเวณที่นักเรียนยืนอยู่ตรงนี้นานแล้ว ซึ่งเป็นการเตรียมการของสถาบันนั่นเอง หลังจากที่อธิการบดีเซียวได้ออกคําสั่งไปแล้ว ท้องฟ้าทั้งหมดยามค่ําคืนเริ่มสว่างไสวไปด้วยบางสิ่ง
มันคล้ายกับเงาของมือขนาดใหญ่ซึ่งกําลังปกคลุมทั่วท้องฟ้าแห่งนี้
เมื่อระบบทั้งหมดได้เริ่มทํางาน มือขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า หินเวทมนตร์เงาค่อยๆผุดขึ้นมาจากพื้นดินด้วยเช่นกัน มันอยู่รอบกรงเหล็ก ทั้งหมดถูกจัดวางไว้เป็นแนวอย่างเป็นระเบียบ
ถ้าหากว่ามองมาจากที่สูงจะเห็นได้ทันทีว่าหินเวทมนตร์เงาเหล่านี้ถูกตั้งเอาไว้เพื่อที่จะเชื่อมต่อเส้นทางเนบิวลา…
เส้นทางเนบิวลาเงาได้ปรากฏขึ้น หินเวทมนตร์เงาได้ยิงประกายออกไปบนท้องฟ้าราวกับพล ทั้งบนพื้นดินและบนท้องฟ้ามีเส้นทางเนบิวลาปรากฏอยู่!
ดวงดาวทั้งหมดเริ่มเชื่อมต่อกันอย่างรวดเร็ว
เส้นทางดวงดาวค่อยๆกลายเป็นเส้นทางเนบิวลา!
มันไม่ใช่เพียงเนบิวลาเพียงวงโครจรเดียว ทั้งบนพื้นและบนท้องฟ้านั้นมีเส้นทางเนบิวลาเหมือนกัน จากนั้นจุดเชื่อมต่อของพวกมันทั้งสองได้มาบรรจบกัน
อ้ายตูตู้และมู่หนิวเจี่ยวนั้นยืนอยู่บนดาดฟ้า ทั้งสองคนยืนมองสถานการณ์จากที่สูง
เส้นทางเนบิวลาของธาตุเงาขนาดมหึมาทําให้พวกเธอตกอยู่ในสภาวะตระหนก แม้แต่มู่หนิวเจี่ยวซึ่งเต็มไปด้วยความรู้อัดแน่นอยู่ในสมองมากมายก็ยังไม่คาดคิดว่าสถาบันจะมีค่ายกลขนาดมหึมาเช่นนี้
“กลุ่มดาวพวกนั้น… มันคือค่ายกลป้องกันระดับสูง!” มู่หนิวเจี่ยวกล่าวออกมาในขณะที่สายตายังคงจับจ้องไปที่ค่ายกลขนาดใหญ่อย่างตื่นตา
กลุ่มดาว.. กลุ่มดาวธาตุเงา!
เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นพร้อมกับจับจ้องท้องฟ้าตอนกลางคืนที่กําลังถูกปกคลุมด้วยเงาขนาดใหญ่ มันกําลังปิดบังท้องฟ้าทั้งหมดอย่างช้าๆ
แสงดาวทั้งหมดเริ่มเลือนรางหายไป ความมืดค่อยๆปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดจนกลายเป็นสีดําสนิท แสงทุกอย่างที่อยู่ภายนอกถูกตัดขาดออกไปจนหมดสิ้น
เดิมที่การต่อสู้ในตอนนี้คือช่วงเช่น อย่างไรก็ตามหลังจากที่สถาบันได้เปิดใช้งานค่ายกลเทพรัตติกาลแล้ว พื้นที่ทั้งหมดภายในสถาบันล้วนแต่อยู่ในความมืด ถ้าหากว่ามองมาจากด้านนอกพวกเขาจะไม่เห็นอะไรเลยนอกจากพื้นที่ว่างเปล่า!
“เกิดอะไรขึ้น?”
“สวรรค์! ฉันไม่เห็นอะไรเลย!”
“เวทมนตร์ของฉัน ทําไมฉันไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้”
ในตอนนี้กลุ่มดาวทั้งหมดที่เคยสวยงามได้หายไปแล้ว เทพรัตติกาลศักดิ์สิทธิ์ได้เข้าปกคลุมพื้นที่ทั้งหมด ความมืดทําให้ทุกคนเริ่มรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย แน่นอนว่าพวกเขาจะเข้าสู่ความโกลาหลในอีกไม่ช้า
“ท่านนักบวช ในตอนนี้สถานที่ทั้งหมดถูกค่ายกลขนาดใหญ่ปิดล้อมไว้หมดแล้ว เป็นไปได้ไหมว่าพวกเราจะถูกจับได้ในคราวนี้?” ฮุยอีกล่าวออกมาในขณะที่จิตใจเริ่มหวาดกลัว
ค่ายกลป้องกันระดับสูง นี่คือค่ายกลเทพรัตติกาลของธาตุเงาระดับสูงสุด!
ไม่เพียงแต่ผู้คนที่ติดอยู่ด้านในจะไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้เท่านั้น แต่ทว่าการหนีออกไปจากค่ายกลนี้ก็เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ด้วยเช่นกัน
“อย่ากระโตกกระตากเลยนะ ถ้าหากว่าพวกเขาต้องการจะจับกุมพวกเราจริงๆ ก็คงไม่จําเป็นจะต้องใช้ค่ายกลของเวทมนตร์เงาเหล่านี้หรอก เฮอะ พวกเขายังคงสนใจว่าจะมีนักเรียนคนไหนตายตกไปในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ใช่นั้นพวกเขาคงไม่ยอมที่จะเปิดใช้งานค่ายกลยักษ์นี่หรอกนะ!” หยู่อั๋นกล่าวออกมาอย่างไม่แยแส
“ใช่แล้ว เป็นอย่างที่ท่านนักบวชได้กล่าว นี่เป็นค่ายกลที่ทางสถาบันได้ตระเตรียมไว้เพื่อที่จะป้องกันการสงครามในหมู่ของนักเรียน การเปิดใช้งานระบบนี้เพื่อป้องกันการบาดเจ็บล้มตายน่ะนะ วัตถุประสงค์ของพวกเขาคือป้องกันไม่ให้นักเวทระดับมัชฌิมที่พอจะแข็งแกร่งบ้างพลั้งมือสังหารผู้อ่อนแอกว่ายังไงล่ะ… อืม ส่วนข้อมูลนี้ฉันได้มายังไงน่ะเหรอ…. วันนั้นอาจารย์ฉันดื่มมากไปหน่อย เขาก็เลยหลุดปากเรื่องนี้มาให้ฉันฟัง” ฟูเตียนหมิงกล่าวออกมาอย่างเร่งรีบ
หยู่อั๋นกวาดสายตาไปหาเขาอย่างเย็นชา “ถ้าแกรู้เรื่องอยู่แล้ว ทําไมแกถึงไม่บอกพวกเราให้เร็วกว่านี้?!”
ฟูเตียนหมิงเงียบลงให้ทันที เขากลัวจนไม่กล้าจะกล่าวอะไรต่อ
ในตอนแรกหวั่นกลัวค่ายกลเทพรัตติกาลนี้จนตัวสั่น ซึ่งเขากลัวว่าตนเองจะถูกเปิดเผยเสียแล้ว!
การทําเช่นนี้เพื่อป้องกันการล้มตายของเหล่านักเรียนในสถาบันเท่านั้น ถ้าหากว่าเป็นเช่นนี้การเปิดใช้งานค่ายกลนับได้ว่าเป็นสิ่งที่กําลังช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างยอดเยี่ยม! ในความมืดเช่นนี้ ถ้าหากว่าเขาฉกฉวยเอาอสูรเงามาไว้ในมือ แล้วใครจะล่วงรู้ความลับนี้ได้ล่ะ?
“ภายใต้ค่ายกลเทพรัตติกาล เวทมนตร์จะไม่สามารถใช้ได้ แต่ทว่ากับอสูรมืดของเรานั้นเป็นอสูรต้องสาป แม้ว่าพวกมันจะไม่แข็งแกร่งมากขึ้น แต่ภายใต้ค่ายกลแห่งนี้มันก็จะไม่อ่อนแอลงด้วยเช่นกัน ซึ่งในตอนนี้ความแข็งแกร่งของโม่ฝานซึ่งครอบครองธาตุไฟและธาตุอัญเชิญจะต้องลดลงอย่างมากแน่นอน ถ้าหากว่าเราใช้โอกาสนี้คงจะสามารถจัดการเขาได้ง่ายขึ้น!” ฮุยอีกล่าวออกมา ด้วยรอยยิ้มเอาใจ
หยู่อั๋นได้ฟังเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างแหบแห้ง มุมปากของเขายกยิ้มอย่างชั่วร้าย
สถานการณ์ตอนนี้นับว่าทุกสิ่งเป็นเรื่องที่เขากําลังได้เปรียบ!
ในเวลานี้ทั้งน้ําพุศักดิ์สิทธิ์ก็จะตกอยู่ในมือของเขาและไอ้สารเลวที่ชื่อโม่ฝานก็จะต้องคราวตายในวันนี้ด้วยเช่นกัน