จอมเวทอหังการ - ตอนที่ 227
บทที่ 227: ฉือจ้าวติงต้องสาป
จินหยวนอพาร์ทเม้น
โม่ฝานยืนอยู่ที่ระเบียงพร้อมกับโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือ
“เฮ้ ถึงหยู่ ในที่สุดคุณก็ติดต่อผมมาสักที” โม่ฝานกล่าวออกมาพร้อมกับรอยยิ้มเปื้อนใบหน้า
“ตอนนี้ฉันอยู่ที่หางโจว ยังไม่สามารถละทิ้งตรงนี้ไปได้เลย นายยังสบายดีไหม? ฉันได้รับข้อมูลบางส่วนว่ากลุ่มศาสตร์มืดกําลังเคลื่อนไหวอยู่ในนครเซี่ยงไฮ้ พวกมันทั้งหมดกําลังพุ่งเป้าไปที่นาย” ถังหยู่กล่าวออกมาอย่างเคร่งเครียด
“ผมสบายดี อ่า ผมได้เจอกับอสูรมีดบางส่วนและผมห่าพวกมันทั้งหมดแล้วล่ะ” โม่ฝานกล่าว
“อย่าได้ประมาทเด็ดขาด ถ้าหากว่ามีบางสิ่งผิดพลาด… จงจําไว้ว่าวิธีการของพวกมันนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย ถ้าหากว่านายตกอยู่ในมือของพวกมัน นายจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดทันที! ดังนั้นจะต้องระมัดระวังให้มาก!” ถังหยู่กล่าวออกมาอย่างไม่วางใจ
“สัตว์ประหลาดอะไรกัน?” โม่ฝานถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ
“อสูรมืด!”
“อสูรมืดงั้นเหรอ? มันไม่ใช่พวกเดียวกับอสูรเวทไม่ใช่เหรอ?”
แท้จริงแล้วโม่ฝานนั้นสงสัยเรื่องเหล่านี้มาตลอด เขาสงสัยว่าทําไมกลุ่มศาสตร์มืดจึงสามารถควบคุมอสูรมืดเหล่านั้นได้ มีเพียงนักเวทธาตุอัญเชิญไม่ใช่เหรอที่สามารถจัดการกับอสูรเวทได้? แล้วผู้คนที่อยู่ในกลุ่มศาสตร์มืดนั้นมีธาตุอัญเชิญทั้งหมดเลยงั้นเหรอ?
“พวกนั้นไม่ใช่อสูรเวท แต่ทว่าพวกมันคือมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่!” ถังหยู่กล่าวออกมาจริงจัง
“อะไรนะ?” โม่ฝานตื่นตระหนกทันที
มนุษย์ที่ยังมีชีวิตงั้นเหรอ?
อสูรมืดคือมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่?
“พวกมันทุกตัวล้วนแต่เป็นมนุษย์ที่ต้องคําสาป นี่คือวิธีการที่โหดเหี้ยมของกลุ่มศาสตร์มืด!” ถังหยู่ยังคงอธิบายต่อ
“ฉือจ้าวติงถูกจับตัวไป…” โม่ฝานเสียงสั่นด้วยความหวาดกลัว
ปลายสายเงียบงันในทันที
ฉือจ้าวติงเป็นนักเรียนของถังหยู่ด้วยเช่นกัน เธอจะไม่รู้จักเขาได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตามในตอนนี้ยังหยู่นั้นไร้ซึ่งอํานาจใดจะจัดการศาลเวทมนตร์นั้นไม่สามารถจะเคลี่อนไหวได้เลย ถ้าหากพวกเขาทั้งหมดเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ กลุ่มศาสตร์มืดจะพุ่งพล่านออกไปทั่วบริเวณอย่างไม่อาจควบคุมอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้นในตอนนี้ถือจ้าวติงนั้นถูกจับไปแล้ว ความเป็นไปได้ที่เขาจะยังมีชีวิตอยู่นั้นเป็น เพียงเรื่องเพ้อฝัน
“ถังหยู่… ตอนนี้ผมต้องไปตรวจสอบลูลู่สักหน่อย ถ้าหากว่าฉือจ้าวติงกลายเป็นอสูรมีด นั่นก็หมายความว่าพวกมันรู้ที่พักอาศัยของลูลู่แล้ว…” โม่ฝานพูดอย่างรีบเร่ง
“ลูลู่งั้นเหรอ? ใครกัน?”
“เธอเป็นแฟนสาวของฉือจ้าวติง แน่นอนว่าเธอคือคนสําคัญสําหรับเขา เมื่อภัยพิบัติพุ่งเข้าใส่เมืองบ่อ เขาสูญเสียครอบครัวไปทั้งหมด มีเพียงเธอคนนี้ที่คอยเยียวยาให้เขาลุกยืนขึ้นมาอีกครั้ง เธอสําคัญสําหรับเขามากแน่นอน ผมไม่สามารถปล่อยให้มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอได้” โม่ฝานกล่าวออกไปอย่างรีบเร่งพร้อมกับวางสายทันที
หลังจากที่ลงบันไดมาถึงชั้นล่าง โม่ฝานไม่สนกฏที่ห้ามใช้อสูรเวทอัญเชิญอีกต่อไป เขาเรียกหมาปาเวทออกมาและพุ่งไปยังที่พักของลูลู่ด้วยความเร็วสูงสุด
ถนนในยามค่ําคืนนั้นกว้างและโล่งสบาย หมาป่าเวทวิ่งไปบนถนนนี้อย่างอิสระ กฏจราจรทุกสิ่งล้วนแต่เป็นสิ่งไร้สาระเมื่อได้พบเจอกับหมาป่า
แสงจันทราสาดส่องลงมาให้ความรู้สึกที่เยือกเย็น ลมหนาวปะทะใบหน้าราวกับมีดแหลมเล็กกําลังที่มแทงอยู่ก็มิปาน
จางลูลู่กําลังจ้องมองไปที่อสูรมืดตรงหน้าของเธอ.. เธอแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าดวงตาของมันจะเต็มไปด้วยความเกลียดชังและโกรธแค้น
นี่คือ
นี่คือนายงั้นเหรอ… ฉือจ้าวติง???
น้ําใสๆเอ่อล้นอยู่บนดวงตาของเธอราวกับเพื่อนใกล้แตกเต็มประดา
ใบหน้าเปรอะเปื้อนเต็มไปด้วยน้ําตา ความเจ็บปวดในหัวใจที่ได้รู้ว่าฉือจ้าวติงถูกสาปจนกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่มแทงหัวใจของเธอมากจนร่างกายด้านชา
ขณะนี้เองที่เธอเพิ่งจะเข้าใจว่าทําไมอสูรมืดต้องสาปตนนี้จึงวิ่งไล่สังหารอสูรมืดทั้งหมดก่อนหน้าจนหมดสิ้น เธอเพิ่งเข้าใจการเคลื่อนไหวที่พยายามจะขัดขืนคําสั่งที่บีบรัดจิตวิญญาณของเขาเอาไว้ ทั้งหมดนี้เขาพยายามจะปกป้องเธอ…
อย่างไรก็ตามในตอนนี้กรงเล็บแหลมคมได้เฉือนลงมาบนร่างกายของเธออย่างไม่อาจหักห้ามได้อีกต่อไป แม้ว่ามันจะตัดผ่านขั้วหัวใจของเธอในตอนนี้ เธอก็ไม่เกรงกลัวสิ่งใดอีกแล้ว
อย่างน้อยเธอก็ยินดีที่จะตายตกไปมากกว่าจะต้องใช้ชีวิตอยู่ในร่างกายที่สกปรกโสโครกเช่นนั้น
“ฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า!! ฉันบอกแกแล้วว่าแกไม่สามารถควบคุมตัวเองได้หรอก! ในฐานะที่ฉันเป็นเจ้านายของแก ฉันน่ะใจดีมากแล้วที่ให้พวกแกทั้งสองคนได้กล่าวคําลาสุดท้าย แต่แกคงต้องรีบหน่อยนะ เพราะอีกเดี๋ยวเลือดของเธอก็จะแห้งเหือดไปจนหมดแล้วล่ะ เมื่อเวลานั้นมาถึงแกจะพูดอะไร เธอก็จะไม่มีวันได้ยินมันอีกแล้ว… โอ้ ฉันลืมไปเลยว่าแกพูดได้แค่ กุกกุก! ฮ่าฮ่าฮ่า ให้ตายเถอะ แกไม่สามารถสื่อสารอะไรกับเธอได้อีกต่อไปแล้วแหละนะสหายเอ๋ย!” ชายสวมหน้ากากครึ่งหน้ากล่าวออกมาอย่างสนุกสนาน
เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่งอยู่ชั่วขณะหนึ่งก่อนที่จะสะบัดผ้าคลุมของตนเองแล้วหายตัวไปจากดาดฟ้า
บ่อเลือดขนาดใหญ่เกิดขึ้นบนดาดฟ้าในเวลาเพียงไม่นานนัก ใบหน้าของอสูรมีดต้องสาปยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเจ็บปวด ในตอนนี้ใบหน้าของมันเริ่มกลับกลายเป็นเย็นชาและไร้ความรู้สึกขึ้นเรื่อยๆ
โฮกกกกกกกกกกกก!
มันร้องคํารามราวกับว่าต้องการจะให้ลําคอของตนเองระเบิดออกในทันที ปากอ้ากว้างพร้อมกดลงที่ข้อมือของหญิงสาวอย่างดุเดือด!
กรอบ!!
มันกัดข้อมือของเธอราวกับว่าได้กัดลําคอของบุคคลที่มันเกลียดชังให้ตายคาขากรรไกรที่แข็งแกร่งนี้
เสียงแห่งความโกรธาดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณ
ร่างกายของมันกระตุกอย่างรุนแรงพร้อมกับเสียงที่เริ่มแหบแห้งหลังจากคํารามออกไปอย่างต่อเนื่อง
ของเหลวสีดําไหลออกมาผ่านดวงตาของมัน ใบหน้าทั้งหมดกระตุกบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด
มันขยับขากรรไกรกัดและฉีกเนื้อออกอย่างบ้าคลั่ง มันพยายามใช้กรงเล็บของตนเองเพื่อแยกร่างกายตรงหน้าให้ขาดออกจากกัน
ขณะนี้ความเกลียดชังได้กลืนกินเขาไปจนหมดสิ้นแล้ว!
ภายใต้เงามืด มีชายคนหนึ่งกําลังเดินออกมา
เขาค่อนๆก้าวขึ้นไปบนดาดฟ้าพร้อมกับได้เห็นคราบเลือดสีดําและชากแขนขากระจัดกระจายอยู่ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่ร่างของบุคคลหนึ่งซึ่งถูกชโลมด้วยโลหิตแดงฉาน
ร่างกายของเธอนั้นครึ่งหนึ่งอยู่ในแท้งค์เก็บน้ําที่แตกสลาย หน้าอกของเธอมีบาดแผลขนาดใหญ่และข้อมือที่เกือบจะฉีกขาดออกจากกัน กรงเล็บแหลมคมปักอยู่ในร่างกายของเธออย่างชัดเจน…
ใบหน้าซีดเซียวของเธอไม่ได้แสดงถึงอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด นั่นอาจจะหมายความว่าเธออาจจะไม่ได้ตายตกไปจากความเจ็บปวดหรือหวาดกลัว
ถัดจากหญิงสาวคนนั้นมีสัตว์ประหลาดซึ่งกําลังนั่งยองๆอยู่ข้างเธออย่างโศกเศร้า ดวงตาของมันเต็มไปด้วยคราบน้ําตาพร้อมกับจับจ้องไปที่ร่างกายของหญิงสาวผู้ล่วงลับอย่างเหม่อลอย
ขณะนี้มันกําลังเจ็บปวดและร้องไห้อย่างอื่นขม มันไม่ใช่อสูร มันเป็นเพียงมนุษย์ที่ยังคงมีความรู้สึก ในตอนนี้มันกําลังร่ําไห้อย่างน่าเวทนา!
โม่ฝานสูดหายใจลึกพร้อมกับค่อยๆเดินเข้าไปช้าๆ
“ขอโทษที่ฉันมาช้า” โม่ฝานกล่าวพร้อมกับมองไปที่อสูรเวทต้องสาปตรงหน้า
สัตว์ประหลาดตัวนี้คือฉือจ้าวติงอย่างแน่นอน โม่ฝานรู้ได้ชัดเจนว่านี่คือฉือจ้าวติง! ไม่มีอสูรมืดตัวไหนยินยอมที่จะนั่งเฝ้าร่างไร้วิญญาณเช่นนี้ อีกทั้งท่าทีของมันยังแสดงออกถึงความเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด
โม่ฝานเห็นว่าข้อมือขวาของฉือจ้าวติงนั้นถูกกัดจนขาดไปเช่นกัน ความรู้สึกเขาในตอนนี้ตีบตันจนพูดอะไรไม่ออก…
ใบหน้าของฉือจ้าวติงค่อยๆเงยขึ้นอย่างสิ้นหวัง ในขณะนี้เขาก็ยังคงจดจําโม่ฝานได้อย่างแม่นยำ
ทันใดเขาใช้กรงเล็บของตนเองจ้วงเข้าไปในช่องท้องและล้วงบางสิ่งออกมา
โม่ฝานรู้สึกมึนงงเล็กน้อยกับการกระทําของฉือจ้าวติงในตอนนี้ แน่นอนว่าเขารู้สึกสงสัยและรับสิ่งของนั้นมาตรวจสอบ
หลังจากที่เจ็ดสิ่งสกปรกออกไปทั้งหมด โม่ฝานตื่นตระหนกทันทีเมื่อได้เห็นสิ่งนั้นอย่างชัดเจน
นี่คือแผ่นหนังที่มีรอยขีดข่วนมากมาย ซึ่งสิ่งที่ถูกเขียนไว้บนแผ่นหนังเหล่านี้คือชื่อของนักบวชสีคราม!
“ชื่อของนักบวชสีคราม! ถือจ้าวดึงสามารถค้นพบชื่อของนักบวชสีครามงั้นเหรอ!!!” ถังหยู่ตะโกนออกมาจากปลายสายอย่างรีบร้อน
“มันคือชื่อของอะไรงั้นเหรอ?” โม่ฝานถาม
“คนส่วนใหญ่ในกลุ่มศาสตร์มืดนั้นล้วนแต่มีตัวตนที่สูงส่งในสังคม นี่คือชื่อของนักบวชสีครามที่ใช้หลอกลวงผู้อื่น ที่จริงแล้วพวกเรากําลังสงสัยว่าผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังการกระทําเหล่านี้นั้นน่าจะอยู่ในสถาบันเมิงจู่ แต่ทว่าเราไม่รู้ว่าเขาชื่ออะไรเท่านั้น เป้าหมายของภารกิจในครั้งนี้คือการค้นหาชื่อนักบวชสีคราม แน่นอนว่าชื่อของเขาสําคัญอย่างมาก เบาะแสนี้คือสิ่งที่เราต้องการที่สุด ซึ่งนักบวชสีครามคือผู้ที่สามารถติดต่อกับนักบวชสีชาดซาลังได้ ในตอนนี้เราต้องการจะใช้นักบวชสีครามเพื่อเชื่อมโยงไปหาซาลัง!” ถังหยู่กล่าวเคร่งครีม
“ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้นคุณจะต้องรีบรายงานเรื่องนี้ให้กับหัวหน้าของคุณโดยเร็วที่สุด! เอ่อ แล้วเรามีทางที่จะดึงให้ฉือจ้าวติงกลับมาเป็นมนุษย์เหมือนเดิมไหม?” โม่ฝานกล่าวออกมาพร้อมกับสายตาที่จับจ้องไปยังถือจ้าวติงผู้ซึ่งกําลังนั่งยองๆอยู่ข้างร่างของคนรักที่ไร้ซึ่งวิญญาณ