จอมเวทอหังการ - ตอนที่ 224
บทที่ 224: สังหารเป็นงานอดิเรก
“ฉันขอร้องล่ะ ได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะ ฉันถูกบังคับ มันบังคับให้ฉันทํา ฉัน” ในขณะที่ฮุยซื่อกําลังติดอยู่กับหอกเงาทมิฬ เขาไม่สามารถทําอะไรได้เลย การเคลื่อนไหวของเขาทั้งหมดหยุดชะงักอย่างไม่อาจเลี่ยงเช่นนี้เขาจึงได้แต่คุกเข่าลงพร้อมกับอ้อนวอนร้องขอชีวิตกับโม่ฝานอย่างน่าสมเพช
ทักษะสี่ธาตุ ชายผู้นี้ครอบครองธาตุทั้งสี่อย่างแท้จริง! เป้าหมายของกลุ่มศาสตร์มืดมีสี่ธาตุในคนๆเดียว! นักบวชสีชาดเคยบอกกล่าวเอาไว้ว่าเขาเป็นเพียงนักเวทธาตุคู่เท่านั้นมิใช่หรือ…
หากไตร่ตรองกันด้วยเหตุและผลแล้ว วันหนึ่งเมื่อชายผู้นี้เดินทางมาถึงระดับมัชฌิม เขาควรจะปลุกพลังเวทขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งมันก็ควรจะมีเพียงสามธาตุเท่านั้นสิ!
อย่างไรก็ตาม เขาครอบครองธาตุทั้งสี่อย่างแน่นอน
มนุษย์ผู้นี้มีอะไรซุกซ่อนอยู่อีกหรือไม่? เราจะล่วงรู้ความลับของเขาได้งั้นเหรอ?
โม่ฝานไม่เสียเวลาพูดคุยกับสวะพวกนี้อีกต่อไป เขาหันสายตาไปหาหมาป่าเวทผู้ซึ่งเต็มไปด้วยคราบเลือดเต็มปากอย่างเย็นชาพร้อมกล่าวออกมาอย่างไร้อารมณ์ “พี่ชาย… นี่อาหารว่างตอนเที่ยงคืน… ฉันให้!”
หมาป่าเวทยังไม่ได้ขู่วามโจมตีเป้าหมายแต่อย่างใด ในตอนนี้มันรู้ว่าศิษย์ของกลุ่มศาสตร์มืดผู้นี้ถูกจองจําด้วยหอกเงาทมิฬอยู่ ซึ่งมันไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้พ้นอยู่แล้ว ในตอนนี้หมาป่าเวทเพียงแค่คิดถึงการทําความสะอาดฟันของมันให้สวยงามซะก่อน แต่ถ้าทําเช่นนั้นเมื่อจัดการอาหารตรงหน้าเสร็จ มันก็คงจะต้องทําความสะอาดขากรรไกรใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง ในตอนนี้มันเลยคิดว่าควรจะแยกชิ้นส่วนของอาหารชิ้นนี้ออกจากกันก่อนแล้วค่อยจัดจานและกินแบบช้าๆให้กลายเป็นดินเนอร์สุดหรู…
อสูรมีดนั้นค่อนข้างจะหนังเหนียวและมีกลิ่นสาบแรงมาก แต่อย่างไรก็ตามมนุษย์ของกลุ่มศาสตร์มืดย่อมแตกต่าง!
“อ้า!!” เสียงร้องสุดท้ายของกลุ่มศาสตร์มืดคนสุดท้ายดังกึกก้องไปทั่วทั้งโรงงานเนื้อ โม่ฝานเดินออกมาด้านนอกซึ่งเป็นที่พักของลูลู่ผู้ซึ่งเสียเลือดมาก
โม่ฝานเคยพบกับลูลู่มาก่อน ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นแฟนสาวของฉือจ้าวติง อย่างไรก็ตามในตอนนี้เธอได้หมดสติไปนานแล้ว ในตอนแรกเขาต้องการจะมาขอร้องให้เธอช่วยปิดบังเรื่องธาตุทั้งสี่ของเขา แต่ดูเหมือนว่าเธอจะหมดสติไปตั้งแต่ก่อนที่เขาจะร่ายเวทมนตร์ธาตุไฟด้วยซ้ำ
โชคดีที่ไม่ผ่านนั้นพอจะมียารักษาอยู่บ้าง แม้ว่ามันจะไม่สามารถทําให้เธอหายดี แต่ทว่ามันก็จะช่วยต่อชีวิตให้กับเธอได้
ขั้นแรกเขาจะต้องห้ามเลือดก่อน โม่ฝานอุ้มลูลู่ขึ้นบนหลังของหมาป่าเวทที่เพิ่งจัดการอาหารมื้อค่ำของมันเสร็จสิ้นแล้ว
“พวกเรากลับกันเถอะ” โม่ฝานกล่าวกับหมาป่าเวทอย่างแผ่วเบา หมาป่าเวทพ่นกระดูกชิ้นสุดท้ายออกจากปากอย่างหมดจดพร้อมกับอารมณ์ร่าเริง จากนั้นมันพาโม่ผ่านกลับเข้าเมืองอย่างรวดเร็ว
ภายในนครแห่งนี้มีกฎหมายต่อต้านเหล่าอสูรอัญเชิญอยู่ เมื่อโม่ฝานมาถึงเขตเมืองเขาจําเป็นจะต้องเดินทางต่อด้วยรถแท็กซี่แทน ซึ่งโชคดีที่ชีวิตของจางลูลู่นั้นไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายมาก ไม่เช่นนั้นเธอก็คงจะต้องตายตกไปเพียงเพราะเสียเลือดมากเกิน ในกรงเล็บของอสูรมีดนั้นมีสารบางตัวที่ทําให้เลือดไม่แข็งตัวอยู่ เช่นนี้บุคคลที่โดนเฉือนด้วยกรงเล็บมักจะตายด้วยอาการตกเลือดซะส่วนมาก
หลังจากที่เขาได้พาลูลู่ส่งโรงพยาบาลเรียบร้อยพร้อมกับจ่ายค่ารักษาพยาบาลจํานวนมากออกไป นักเวทรักษาได้ทําการรักษาเธอจนพ้นขีดอันตรายโดยสมบูรณ์แล้ว
ลูลู่เสียเลือดมาก เช่นนี้กว่าเธอจะฟื้นขึ้นมานั้นจําเป็นจะต้องใช้เวลาพอสมควร โม่ฝานรู้ดีว่าในโรงพยาบาลนี้ปลอดภัยมากพอๆกับสถาบัน เขาจึงทิ้งเบอร์โทรศัพท์ของตนเองไว้ก่อนที่จะกลับไปยังที่พักของตัวเอง
“พี่สาวมู่ พี่คิดว่าอสูรเงานะซ่อนตัวอยู่ที่ไหนงั้นเหรอ? พวกเราไม่มีเบาะแสอะไรเกี่ยวกับมันเลย เช่นนี้การทํางานของพวกเราจะมีปัญหา!” เสียงของอ้ายตูตู้ดังเล็ดลอดออกมาจากประตู
โม่ฝานเปิดประตูและเดินเข้ามาอย่างเงียบงัน เขาไม่ได้เดินไปหาหญิงสาวทั้งสองเพื่อพูดคุยอะไรเลย หัวใจของเขาบอบช้ำและหลายสิ่งอย่างกําลังวิ่งพล่านในสมองของเขาอย่างบ้าคลั่ง ขณะนี้ขาของเขาทําได้เพียงเดินอย่างเงียบเชียบเพื่อกลับไปยังห้องของตัวเอง
หญิงสาวทั้งสองหยุดพูดในขณะที่โม่ฝานเดินเข้ามา หลังจากที่เขาขึ้นไปยังชั้นสองและบิดประตูไปแล้ว พวกเธอจ้องมองหน้ากันอย่างฉงน
“ทําไมเขาไม่พูดอะไรเลยล่ะ? นี่เขาแปลกๆไปหรือเปล่า? อีกอย่างในวันนี้เขาไม่ได้แอบดูต้นขาของพี่สาวมู่อีกด้วย…” อ้ายตูตู้เริ่มตั้งข้อสังเกตุ
“เธอกําลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร!” มู่หนิวเจี่ยวแสดงอาการเขินอายเล็กน้อย ทําไมเด็กหญิงคนนี้จึงได้พูดพล่อยไปเรื่อยอย่างงี้นะ?
“พี่เห็นรอยจางๆบนเสื้อของเขาไหม มันเหมือนกับรอยเลือดเลย” อ้ายตูตู้ยังคงพูดไม่หยุด
มู่หนิวเจี่ยวไม่ได้กล่าวอะไรต่อ แน่นอนว่าด้วยรอยเลือดขนาดใหญ่เช่นนั้นดูเหมือนว่าเขาเพิ่งจะผ่านการต่อสู้มา ถ้าหากว่าใครได้พบเจอเขาก็จะต้องตั้งข้อสังเกตุอย่างแน่นอน
ชายคนนั้นเขาไปไหนมากันนะ? แล้วทําไมบนเสื้อผ้าของเขาถึงได้มีรอยเลือดมากมายเช่นนั้น?
“จะเป็นไปได้ไหมนะว่าราชันปีศาจตนนี้จะชอบสังหารผู้คนเล่นเป็นงานอดิเรก? นั่นมันไม่ใช่เลือดของเขาอย่างแน่นอนเลย!” อ้ายตูตู้กล่าวออกมา
มู่หนิวเจี่ยวนั้นพยายามจะไม่คาดเดาไปเอง แต่อย่างไรก็ตามเธอก็เริ่มเห็นด้วยกับน้องสาวข้างกายเช่นกัน
ในตรอกเล็กๆ มีโคมไฟอยู่เพียงสามถึงสี่ดวงให้ความสว่างไสว
บนกําแพงหินสีเขียวมีประตูไม้สักบานใหญ่ตั้งอยู่ ประตูบานนั้นค่อยๆเปิดออกอย่างเชื่องช้า มีสัตว์ประหลาดคลานสี่ขาโผล่ออกมาอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าจะมีชายชุดคลุมสีเทาอยู่ที่บริเวณนั้นด้วย ก่อนที่เขาจะเดินเข้าประตูไม้สักไป ศีรษะของเขาหันซ้ายขวาเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีมนุษย์คนไหนตามเขามา
ข้างในประตูนั้นเป็นลานกว้างเก่าๆ ใบไม้ทั้งหมดล้วนแต่ไม่มีใบอีกแล้ว
ลานขนาดใหญ่รกร้างราวกับไม่ได้พบเจอกับไม้กวาดมาเนิ่นนาน ชายสวมหน้ากากครึ่งหน้ายืนอยู่บริเวณนั้น ในมือของเขากําลังถือแส้ที่พร้อมจะฟาดทุกสรรพสิ่ง มีอสูรมีดหลายตัวที่ถูกฟาดจนเนื้อหลุดร่อนออกไปอยู่ข้างกายของเขา พวกมันเหล่านี้เมื่อทําผิดพลาดล้วนแต่จะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรง
“ท่านนักบวชสีชาดครับ แผนของเราถูกทําลายเพราะเด็กคนนี้” ฮุยอีกล่าว
“ถือจ้าวติงงั้นเหรอ? เฮอะ” ชายผู้สวมหน้ากากครึ่งหน้าจับจ้องไปที่ถือจ้าวติงอย่างเย็นชา เด็กหนุ่มเต็มไปด้วยฝุ่นและเศษดินมากมาย ร่างกายของเขาอาบด้วยเลือดโชก จากนั้นเขาเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาทันที
ฉือจ้าวติงนั้นอ่อนแรงและไม่หลงเหลือพลังอีกแล้ว แต่อย่างไรก็ตามเขาจดจําได้ดีว่าบุคคลตรงหน้านี้เป็นใคร!
หลังจากที่จ้องมองอย่างระมัดระวังแล้ว ถือจ้าวติงกัดฟันพร้อมใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดพูดออกมา “เป็นแกจริงๆ!”
เมืองบ่อนั้นไม่ได้ใหญ่มากนัก อีกทั้งเหล่าวัยรุ่นที่อายุเท่าๆกันมักจะรู้จักกันเสมอ แน่นอนว่าหยู่อั๋นจะต้องรู้จักฉือจ้าวติง และฉือจ้าวติงก็รู้จักหยู่อั๋นเช่นกัน
อย่างไรก็ตามฉือจ้าวติงไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่ามูโจวอนจะเลี้ยงดูผู้สืบทอดเจตนารมย์ของกลุ่มศาสตร์มืดเอาไว้ใกล้ตัวมากถึงเพียงนี้ เด็กคนนี้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังทั้งหมดของหายนะในเมืองบ่อครั้งนั้น!
“อ่า ในฐานะที่เป็นคนกันเอง ฉันจะดูแลนายอย่างดีเลยล่ะ” หยู่อั๋นกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ไอ้สัตว์ประหลาดครึ่งหน้า แกไม่รู้วิธีที่จะตายงั้นเหรอ!” ถือจ้าวติงก่นด่าออกมาอย่างโกรธแค้น
ใบหน้าของหยู่อั๋นหุบลงทันที รอยยิ้มจางเมื่อครู่ได้หายไปเหลือไว้เพียงความดํามืดบนใบหน้า
หลังจากที่ใบหน้าของเขาได้ถูกทําลายไปครึ่งหนึ่ง หยู่อั๋นไม่อยากให้ใครพูดถึงมันอีก แม้แต่ทุกสถานที่ที่เขาย่างกรายผ่านก็จะต้องไม่มีกระจก!
“เมื่อกี้ฉันเพิ่งบอกแกไปว่าฉันจะดูแลแกเป็นพิเศษ เฮอะ ใครก็ตามที่ต่อต้านกลุ่มศาสตร์มืดจะต้องได้พบเจอกับความหายนะตราบชั่วชีวิตของมัน!” หยู่อั๋นกล่าวออกมาอย่างเย็นชา
“ท่านนักบวชสีชาด มีเรื่องรายงานครับ ฮุยอู่ ฮุยซื่อ ฮุยซานและฮุยเออร์ทั้งหมดตายตกไปในภารกิจครั้งนี้” ฮุยอีกระซิบออกในพร้อมกับร่างกายสั่นเทาและใบหน้าซีดเผือด
“มีคนจากศาลเวทมนตร์มางั้นเหรอ?” ใบหน้าของหยู่อั๋นเปลี่ยนสีทันที
“เขาคือเป้าหมายของเรา อีกทั้งเขายังช่วยเหลือหญิงสาวที่มากับเด็กคนนี้ออกไปได้ครับ” ฮุยอีกล่าว
เมื่อฉือจ้าวติงได้ยินเช่นนั้น เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
สุดท้ายแล้วลูลู่ก็ยังปลอดภัยอยู่ เขากังวลอย่างมากว่าเธอจะกลายเป็นของเล่นให้กับไอ้พวกสารเลวนี้
แม้ในมือของหยู่อั๋นฟาดไปที่ใบหน้าของฉือจ้าวติงทันที เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธจัดเมื่อรู้ว่าตนเองสูญเสียลูกน้องทั้งสี่ไปจนหมดสิ้น!
“แกกําลังมีความสุขที่ผู้หญิงรอดไปได้งั้นเหรอ? เฮอะ น้ำเน่า!” หยู่อั๋นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของฉือจ้าวติง แม้ในมือของเขายังคงฟาดต่อไปอย่างไร้ความปราณีในขณะที่ปากของเขาก็ยังคงพูดต่อไปอย่างเคียดแค้น “ฉันจะทําให้พวกแกทั้งสองคนเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบ
หลังจากกล่าวจบ หยู่อั๋นก็ฟาดฟันฉือจ้าวติงจนกระอักเลือดและนอนแผ่อยู่ในบ้านหลังเก่าอย่างโกรธแค้น
ฮุยอีตัวสั่นสะท้านเมื่อเขาเห็นว่าหยู่อั๋นกําลังลากชายหนุ่มผู้ไร้สติเขามาภายในบ้าน ความกลัวกําลังเกาะกินหัวใจของเขาในขณะที่จ้องมองภาพตรงหน้าอย่างสั่นไหว
ในกลุ่มศาสตร์มืด ผู้ใดที่ทําผิดกฎหรือเพียงสร้างความขุ่นเคืองให้กับผู้นํา บุคคลนั้นจะต้องโทษให้ทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ความเจ็บปวดนี้รุนแรงมากเสียยิ่งกว่าตายตกไปให้รู้แล้วรู้รอด ยิ่งบุคคลผู้นั้นจะต้องมาอยู่ในมือของนักบวชสีชาดผู้มีจิตใจบิดเบี้ยวไร้ความปราณีแล้วด้วยล่ะก็… ความตายยังจะดีซะกว่า!