จอมเวทอหังการ - ตอนที่ 207
บทที่ 207: สุสานโบราณ
เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว แต่ทว่าเมืองแห่งนี้กลับไม่มีร่องรองของหิมะเลยแม้แต่น้อย
โดยปกติแล้วถ้าหากว่าต้องการพบเจอกับหิมะละก็ทางเดียวก็คือคุณจะต้องขึ้นไปในเมืองทางเหนือ นั่นจะเพิ่มโอกาสการได้พบเจอกับหิมะ สิ่งที่ทำให้นครเซี่ยงไฮ้น่าสนใจก็คือถ้าหากมีหิมะโปรยปรายลงมาภายในนครแห่งนี้ มันจะยิ่งเพิ่มความสวยงามให้ดูมีมิติมากขึ้นไปอีก บรรยากาศที่หนาวเหน็บถูกเจือปนไปด้วยความอบอุ่นของแสงไฟทำให้นครแห่งนี้ยิ่งน่าหลงใหลมากยิ่งขึ้น
โม่ฝานรู้สึกเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมซินเซียจึงชื่นชอบเมืองเล็กๆแห่งนี้อย่างมาก หากเปรียบเทียบกับโม่ฝานแล้วเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ต้องการมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวงที่รุ่งโรจน์ แต่ทว่าซินเซียนั้นแตกต่างออกไป เธอชื่นชอบภูเขาและลำธารพร้อมความเงียบสงบเรียบง่าย
สถาบันของซินเซียนั้นอยู่ใกล้กับซีหู เมื่อโม่ฝานมาถึงกวางโจวแล้วเขาไม่ได้รีบร้อนที่จะรับเธอกลับไปด้วยแต่อย่างใด ในตอนนี้เขามีความคิดที่จะพาเธอเดินเล่นรอบเมืองสักหน่อย
—
ทั้งสองคนเดินอยู่บนสันเขื่อนที่ทอดยาวอย่างเชื่องช้า ต้นไม้วิลโลว์ทั้งสองฝั่งข้างทางกำลังโบกสะบัดตามสายลม ทอดสายตาไปจนสุดขอบฟ้าจะมองเห็นแสงอาทิตย์ทอประกายสาดส่องลงมาบนผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีทิวทัศน์ของภูเขาสูงใหญ่สลับเล็กเรียงรายอยู่อย่างสวยงาม ด้านข้างของอีกฝั่งเขื่อนเต็มไปด้วยนครขนาดใหญ่ซึ่งประดับประดาไปด้วยตึงสูงระฟ้าเกิดเป็นภาพเงาสะท้อนลงในแม่น้ำราวกับภาพวาดในความฝัน
หลังจากที่เดินมาสักระยะหนึ่งจนสุดท้าย ทั้งสองคนมาถึงพื้นที่ของหอคอยเหลยเฟิง โม่ฝานมองไปยังหอคอยตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่งุนงงปนไม่เข้าใจ ความรู้สึกแปลกประหลาดผุดขึ้นมาในหัวใจของเขา ฉับพลันในขณะที่เขากำลังจ้องมองอย่างไม่วางตานั้น ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้างของเขาเหมือนว่าจะเป็นคนในพื้นที่แห่งนี้ได้กล่าวขึ้นมาอย่างลึกลับ “น้องชาย… เพิ่งจะมาที่นี่เป็นครั้งแรกงั้นเหรอ? นั่นคือฐานเก่าของหอคอยเหลยเฟิงน่ะ มานี่สิชายชราผู้นี้จะบอกเหตุผลให้… มีอสรพิษขาวโผล่ออกมาจากตรงนั้น!”
“อสรพิษขาวงั้นเหรอ? ตัวใหญ่ไหม?” โม่ฝานถามออกมาอย่างสนใจ
“มันน่าจะใหญ่ประมานนี้” หลังจากที่กล่าวออกมาชายลึกลับทำท่าสวมกอดอากาศ
“โอ้ ใหญ่ขนาดนั้นเชียวหรือ?” โม่ฝานตื่นตระหนก
เรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย! ถ้าหากว่าอสรพิษตัวนั่นใหญ่ขนาดนั้น แน่นอนว่ามันจะต้องเป็นอสูรเวท!
“ไม่… ไม่มีใครสักคนสามารถสังหารมันได้เลยในเวลานั้น สุดท้ายแล้วผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของเรายอมสละชีพตนเองเพื่อผนึกมันเอาไว้…” ชายลึกลับกล่าวซุบซิบออกมาพร้อมกับมองซ้ายขวาอย่างกับว่าเขากำลังพูดถึงความลับที่ยิ่งใหญ่อยู่
“ไม่สามารถฆ่าได้งั้นเหรอ? แปลกมาก! แล้วมันถูกผนึกไว้ที่ไหนล่ะ?” โม่ฝานถามอย่างอยากรู้
“เป็นไปได้ว่าอาจจะอยู่ในหอคอยเหลยเฟิงอันใหม่นี้ หรือว่าอาจจะอยู่ใต้สะพานที่หักพังเหล่านั้น หรือว่าอาจจะอยู่ที่กระจกจันทราสามน้ำก็ได้ ดูนี่สิ ฉันมีหนังสือแนะนำนักท่องเที่ยวด้วยนะ แน่นอนว่ามันจะบอกเล่าตำนานในเมืองแห่งนี้และสามารถพาพวกเธอไปยังพื้นที่ที่สวยงามได้อย่างมั่นเหมาะ เพียงแค่ห้าหยวนเท่านั้น เพียงแค่ฉันได้พบกับเธอนั้นก็รู้สึกต้องชะตาอย่างบอกไม่ถูก ในใจของฉันมันบอกว่าได้พบเจอกับนักสำรวจที่แท้จริงเสียแล้ว ฉันรู้สึกชื่นชอบเธออย่างไม่สามารถอธิบายได้เลยจริงๆ เอาล่ะฉันจะขายมันให้เธอเพียงสี่หยวนแล้วกัน” ชายแก่ลึกลับกล่าว
“สี่หยวนนั่นดูเหมือนว่ามันจะถูกไปสักหน่อยนะ เอาอย่างนี้สิอาวุโส ผมคิดว่าเรื่องราวของอสรพิษนี้ยังไม่เพียงพอที่จะดึงดูดผู้คนได้เลย ทำไมไม่ลองเปลี่ยนจากอสรพิษยักษ์เป็นมนุษย์ดูล่ะ เอาแบบในเทพนิยายก็น่าจะดีนะ ชายหนุ่มคนหนึ่งบังเอิญได้พบกับนางสวรรค์ที่สะพานหักพัง ทั้งสองพบรักกันทันทีนับตั้งแต่แรกเห็น แต่ทว่าอสรพิษยักษ์นั้นไม่พอใจที่ทั้งสองคนนี้จะได้ลงเอยกัน มันจึงบุกขึ้นมาโจมตีเมืองมนุษย์ด้านบนอย่างสุดความสามารถ จากนั้นชายหนุ่มและหญิงสาวคนนั้นจำเป็นจะต้องสละชีพของตนเองเพื่อผนึกมันไว้ใต้หอคอยเหลยเฟิงและสถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นอนุสรณ์แห่งความรักนิรันดร์ของทั้งคู่ ส่วนคู่มือการท่องเที่ยวนี้คุณควรจะจ้างใครจะคนมาวาดฟองสบู่สักสองสามอันเพื่อเพิ่มความชวนฝันสักหน่อย ด้วยวิธีเช่นนี้คงจะมีวัยรุ่นมากหน้าหลายตาที่อยากจะซื้อมันไปอ่านเล่นในเวลาปลดทุกข์ สำหรับความคิดที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ เอ่อ… อืม ผมตัดสินใจแล้วว่าจะขายมันให้กับคุณในราคาเก้าหยวนเท่านั้น!” โม่ฝานกล่าวออกมาอย่างหน้าตาย
ชายแก่ที่ได้ยินเช่นนั้นรู้สึกตกใจทันที เขารู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้นั้นไม่ธรรมดาเลย ความคิดความอ่านของเขานั้นไม่เหมือนกับคนทั่วไป แต่ทว่าปัญหาในตอนนี้ก็คือ… เขาจะมาขายของให้กับเด็กคนนี้ แต่สุดท้ายแล้วกลายเป็นเด็กคนนี้กำลังขายของให้กับเขาได้อย่างไรกัน?
ซินเซียที่นั่งอยู่บนรถเข็นนั้นมองโม่ฝานอยู่ตลอดเวลา เธอเห็นใบหน้าที่เฉยเมยและไร้ซึ่งอารมณ์มาตั้งแต่ต้น คำพูดพล่อยๆจากปากของเขานั้นยังคงเป็นสิ่งที่ทำให้เธอหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้
หลังจากที่มองซ้ายและขวาอย่างถี่ถ้วน ทั้งสองได้แยกย้ายกันไปโดยที่ไม่มีใครเสียเงินซื้ออะไร…
—
หลังจากที่ชายแก่ขายแผนที่ได้จากไปแล้ว โม่ฝานเดินต่อไปข้างหน้าพร้อมกับเข็นซินเซียไปพร้อมกัน จากนั้นเขากล่าวออกมาอย่างมีอารมณ์ “ทำไมเขาถึงไร้อารมณ์นักนะ เขาไม่เคยได้ยินตำนานของนางพญางูขาวรึไงกันนะ?”
“ฉันก็ไม่เคยได้ยินเหมือนกัน” ซินเซียตอบ
“อ้าว มันไม่ได้อยู่ที่นี่งั้นเหรอ? ฉันคิดว่าประวัติศาสตร์มันควรจะเหมือนกับในตำนานสักหน่อยสิ หรือพวกนิทานอะไรอย่างนี้ก็ควรจะมีเค้าโครงเรื่องจริงอยู่บ้าง…” โม่ฝานกล่าวออกมาอย่างตกใจเล็กๆ
“ฉันไม่เข้าใจว่าพี่กำลังพูดอะไรอยู่…” ซินเซียกล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่สับสน
“ก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้บอกเธองั้นเหรอว่าฉันเป็นผู้ชายที่มาจากโลกอื่นน่ะ ในโลกใบนั้นฉันไม่ต้องเรียนเวทมนตร์ แม้ว่าพวกเราจะมีราชวงศ์ฉิน ราชวงศ์ซุยและราชวงศ์ถังฯลฯ อย่างไรก็ตามเหล่าสัตว์ต่างๆถูกแทนที่ด้วยอสูรเวทไปเสียแล้ว ฉันก็เลยคิดว่าตำนานอะไรเหล่านั้นก็คงจะเหมือนกันบ้าง…” โม่ฝานยังคงพยายามอธิบาย
ซินเซียกล่าวออกมาอย่างแผ่วเบาราวกับกระซิบ “ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ ฉันจะเชื่อเรื่องราวเช่นนี้ได้อย่างไรกัน…”
“แม้ว่าเธอจะไม่เชื่อฉันจริงๆ ฉันก็หมดหนทางเช่นกัน ดูเหมือนว่าฉันจะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าฉันมาจากโลกอื่นน่ะนะ” โม่ฝานกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มที่ขื่นขม
“แต่พี่ก็ยังเป็นพี่อยู่นี่!” ซินเซียกล่าว
โม่ฝานรู้สึกตกใจเล็กน้อย เขารู้สึกกังวลและอยากจะพยายามที่จะฟื้นคืนตัวตนในโลกใบเดิมให้ได้ เขาอยากพิสูจน์มันให้ซินเซียเชื่อถือ อย่างไรก็ตามคำพูดของซินเซียเมื่อครู่ทำให้โม่ฝานรู้สึกคลายความตึงเครียดภายในใจลงไปบ้าง
เมื่อเห็นว่าโม่ฝานนิ่งเงียบไป ซินเซียกังวลว่าสิ่งที่เธอพูดออกไปนั้นเหมาะสมหรือไม่ เช่นนี้น้ำเสียงอ่อนหวานนั้นดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที “พี่ฝาน อาจารย์ของฉันนั้นบอกว่าบุคคลที่อาศัยอยู่ในเมืองบ่อนั้นเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก มีความพิเศษมากกว่าผู้อื่น”
“เขาพูดว่าอะไรงั้นเหรอ?” โม่ฝานหลุดจากภวังค์พร้อมกับถามออกไปทันที
“พี่จำน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ใต้เมืองบ่อได้ไหม? มันคือเรื่องจริง นั่นคือตำนานที่แท้จริง ประวัติศาสตร์ของมันยาวนานกว่าสองพันปีเชียวนะ” ซินเซียกล่าวออกมา
“อืม ก็คงจะประมานนั้นแหละ สองพันปีที่ผ่านมามันคงจะผ่านเรื่องราวมากมายร้อยพันจนนับไม่ถ้วน… แต่ว่าทำไมเขาถึงพูดว่าคนในเมืองบ่อของเรามีความพิเศษล่ะ?” โม่ฝานถามออกไปอย่างไม่เข้าใจ
“อาจารย์บอกฉันว่า ผู้คนของเมืองบ่อนั้นได้รับการปกป้องจากบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ใต้ดินมากที่สุด ในอดีตนั้นเมืองบ่อเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆและถูกกษัตริย์โบราณออกคำสั่งให้ปกป้องสถานที่แห่งนี้เนื่องจากเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์อยู่นานหลายปี จนกระทั่งเวลาผ่านไปเมืองบ่อสามารถพัฒนาการป้องกันตนเองได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเวลาผ่านไปยาวนานหลายปีจากหมู่บ้านเล็กๆได้กลายเป็นเขต จากเขตกลายเป็นเมือง ด้วยการเปลี่ยนผ่านยุคสมัยที่ผันแปรอีกทั้งยังต้องเผชิญกับการล้มล้างระบอบศักดินา ในที่สุดเมืองบ่อของเราก็กลายเป็นดั่งเช่นทุกวันนี้ ซึ่งผู้พิทักษ์ของเมืองบ่อได้หายตัวไปตามกาลเวลาอย่างไร้ร่องรอย แต่ทว่ามันก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปเพราะในตอนนี้เมืองบ่อเต็มไปด้วยผู้พิทักษ์…” ซินเซียเล่าให้โม่ฝานฟังอย่างตั้งใจ
โม่ฝานรับฟังอย่างตื่นเต้น เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงกลุ่มศาสตร์มืดขึ้นมา
กลุ่มศาสตร์มืดดูเหมือนว่าต้องการทำลายเมืองบ่อให้หมดสิ้น เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาต้องการจะทำลายผู้พิทักษ์แห่งเมืองบ่อ? ประวัติศาสตร์เหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับพวกมันหรือไม่?
อย่างไรก็ตามเรื่องราวเหล่านั้นมันผ่านมากว่าสองพันปีแล้ว! ผู้พิทักษ์อะไรนั่นจะมีอยู่จริงงั้นเหรอ?
เป้าหมายของพวกมันคือบ่อน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ใต้ดินจริงๆเหรอ?
ในขณะนี้น้ำพุศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ในมือของเขาอย่างมั่นเหมาะ ถ้าหากว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ สิ่งที่กลุ่มศาสตร์มืดต้องการครอบครองก็อยู่กับเขางั้นเหรอ!?
บัดซบ นี่ไม่ได้หมายความว่าฉันกำลังตกอยู่ในอันตรายใช่ไหม?
กลุ่มศาสตร์มืดเป็นมนุษย์ผู้ไร้หัวใจ พวกเขาพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ ในวันนั้นโม่ฝานยังจดจำการแจ้งเตือนรหัสสีแดงได้อย่างชัดเจน มันยังคงติดตรึงตราอยู่ในใจของเขาเสมอมา… นรกบนดินในเหตุการณ์ครั้งนั้น!
“เขาพูดอะไรอีกไหม?” โม่ฝานถามอย่างใคร่รู้
“เขาบอกว่าการเล่าครั้งนี้เป็นเพียงบันทึกนิดหน่อยเท่านั้น อีกทั้งเขายังบอกว่าถ้าหากต้องการค้นหาความจริง คุณจะต้องไปยังสุสานโบราณและสำรวจที่นั่นด้วยตนเอง แต่ทว่าสิ่งมีชีวิตที่อันตรายและน่ากลัวมากมายอยู่ภายใต้หลุมศพในสุสานแห่งนั้น จวบจนทุกวันนี้ยังไม่เคยมีนักเวทคนใดย่างกรายเข้าไปสู่สุสานโบราณแห่งนั้นสักคน!” ซินเซียกล่าว
“สุสาน… สุสานอะไรกัน?” โม่ฝานถามกลับทันควัน
“ภายในนครแห่งนี้น่ะมีหลุมศพโบราณอยู่ มันอยู่ในเขตแดนที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศของเรา เฮ้ พี่ฝาน… พี่ไม่เคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ระหว่างเรียนประวัติศาสตร์เลยงั้นเหรอ?”