จอมเวทอหังการ - ตอนที่ 203
บทที่ 203: ชายหนุ่มผู้ร่ำรวย
ภายในเวลาชั่วพริบตา โม่ฝานได้รับเงินจำนวนยี่สิบแปดล้านหยวน… การสร้างเม็ดเงินที่รวดเร็วเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกมีความสุขจนเผยสีหน้าเปื้อนรอยยิ้มอย่างอดไม่ได้
นี่เป็นจำนวนเงินที่มากที่สุดในตราบชั่วชีวิตที่เขาลืมตาขึ้นมา!
“คนที่ซื้อมันไปเป็นคนจากตระกูลไป่จริงๆด้วย ฮ่าฮ่าฮ่า!” จ้าวหม่าหยันมองไปที่ชายผู้ประมูลเป็นคนสุดท้ายพร้อมกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ขณะนี้ตระกูลไป่ทั้งหมดได้สิ่งของที่ตนต้องการแล้ว พวกเขาไม่รีรอสิ่งใดอีกต่อไปพร้อมกับเดินออกจากห้องโถงไปอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจว่าสิ่งของชิ้นสุดท้ายในวันนี้คืออะไร
ไป่จ่านเฟิงที่กำลังเดินออกจากห้องโถงแห่งนี้ เขาพลันเหลือบสายตามามองโม่ฝานพร้อมกล่าว “สิ่งของมากมายที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้มันไม่มีวันเป็นของแกหรอกไอ้หมามองเครื่องบิน จงเย่อหยิ่งกับพลังเล็กน้อยที่แกมีไว้ให้มากๆแล้วกันนะ รอจนอุปกรณ์ละอองดาราของฉันแปรเปลี่ยนเป็นเนบิวลาเมื่อไหร่ แกจงเตรียมรับมือให้ดีไอ้กระจอก!”
“โอ้ งั้นเหรอ ได้เลยๆ เมื่อเวลานั้นมาถึงก็ได้โปรดเมตตาฉันด้วยล่ะ” โม่ฝานกล่าวออกไปพร้อมกับเสแสร้งเป็นกลัวจนลนลาน
ไป่จ่านเฟิงเดินออกไปอย่างรวดเร็วด้วยท่าทีที่เย่อหยิ่งอย่างไม่รู้จบ ในส่วนของจ้าวหม่าหยันและโม่ฝานนั้นกำลังระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
มีเพียงจ้าวหม่าหยันผู้เดียวเท่านั้นที่รู้ว่าเงินจำนวนยี่สิบเก้าล้านหยวนของตระกูลไป่มาอยู่ในกระเป๋าเงินของโม่ฝาน! การที่โม่ฝานกล้าขายแก่นแท้จิตวิญญาณระดับนักรบเช่นนี้นั่นแปลว่าเขามีสิ่งที่ยอดเยี่ยมกว่าอยู่ในมือแล้ว มิฉะนั้นใครกันเล่าจะกล้าขายสิ่งที่สามารถเพิ่มระดับการฝึกฝนของตนเองได้อย่างมากมายเช่นนั้นล่ะ?
ไป่จ่านเฟิงนั้นคิดว่าตระกูลของเขาทรงอิทธิพลและพร้อมปรนเปรอทรัพยากรให้เขาได้อย่างไร้ขีดจำกัด แต่ทว่าเมื่อถึงวันที่ได้เข้าสู่สถาบันหลักก็จงรอดูว่าใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน…
ในมือของโม่ฝานนั้นมีสิ่งที่ช่วยการฝึกฝนที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว จี้ทมิฬนี้ได้ดูดซับพลังของน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ใต้ดินของเมืองบ่อไปจนล้นปรี่ ซึ่งแน่นอนว่าแม้แต่พลังของแก่นแท้จิตวิญญาณระดับนักรบก็ยังไม่ใกล้เคียงพลังของมันแม้แต่น้อย!
หลังจากที่ไป่จ่านเฟิงจากไปแล้ว โม่ฝานยังคงรออยู่ที่เดิมเพื่อจะดูว่ามีอุปกรณ์เวทมนตร์อะไรที่เหมาะสำหรับเขาบ้างไหม
ในขณะที่เฝ้ารออย่างใจจดจ่อ ไม่นานนักโล่ห์เวทมนตร์ได้ปรากฏขึ้นสู่สายตา
แน่นอนว่าชุดเกราะเวทมนตร์ที่ยอดเยี่ยมนั้นมีราคาที่สูงมาก ดังนั้นโม่ฝานจึงคิดว่าโล่ห์เวทมนตร์ควรจะเหมาะสมกับสถานะการเงินของเขามากกว่า เมื่อใดที่เขาตกอยู่ในเหตุการณ์อันตราย มันก็ยังคงช่วยเหลือเขาได้เช่นกัน อย่างน้อยก็ช่วยนำพาให้เขารอดพ้นจากความตาย!
โล่ห์เวทมนตร์ปรากฎสู่สายตาของทุกคนในห้องโถงแห่งนี้ มันปิดกั้นการโจมตีได้อย่างยอดเยี่ยมและยังแปรสภาพกลายเป็นหอกแหลมสามารถใช้โจมตีได้อีกด้วย ซึ่งพลังของมันนั้นไม่สามารถดูถูกได้เลย
โม่ฝานพยายามประมูลสินค้าชิ้นนี้อย่างหนัก แต่ทว่าคู่แข่งของเขาไม่ได้มีมากนัก สุดท้ายแล้วมันจบลงที่ราคาสิบเจ็ดล้านหยวน…
ราคาของโล่ห์นี้แพงมากกว่าบูทโลหิตอยู่มาก แน่นอนว่าพละกำลังและความแข็งแกร่งของมันย่อมมากกว่าอีกด้วย
แน่นอนว่าคราวนั้นโม่ฝานถามถึงราคาของบูทโลหิตที่ได้รับจากสถาบันในก่อนหน้านี้ ราคาของมันอยู่ที่สิบสองล้านหยวน เป็นที่น่าประทับใจอย่างมากที่สถาบันเมิงจู่ไม่ได้คดโกงเขาโดยการนำของราคาถูกมามอบให้
“นายอยากจะซื้ออุปกรณ์เวทสังหารบ้างไหม?” จ้าวหม่าหยันถามออกมา
อุปกรณ์เวทสังหารเป็นสิ่งของที่นักเวทล้วนชื่นชอบทั้งในระดับปฐมภูมิและระดับมัชฌิม ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างจำกัดและพลังเวทอันน้อยนิด พวกเขาจำเป็นจะต้องใช้อุปกรณ์เวทสังหาร ซึ่งมันจะช่วยทุ่นแรงและใช้โจมตีได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยเช่นกัน เช่นนี้มันจึงเป็นสิ่งของที่สำคัญสำหรับนักเวทอย่างมาก
“แล้วอุปกรณ์เวทสังหารที่พอจะดูดีหน่อยในราคาสิบล้านน่ะมีไหมล่ะ?” โม่ฝานถามกลับ
“ยกตัวอย่างเป็นอสูรเวทระดับนักรบแล้วกัน ถ้าหากว่านายต้องการพลังที่สามารถโจมตีเทียบเท่ากับพลังของอสูรเวทระดับนักรบล่ะก็นายจำเป็นจะต้องมีอย่างน้อยยี่สิบล้านหยวนหรือมากกว่านั้น ราคามักจะพุ่งสูงขึ้นไปตามความสามารถปลีกย่อยของมันน่ะนะ ยิ่งแข็งแกร่งมากก็ยิ่งแพงมากเช่นกัน”
“ถ้าเช่นนั้นฉันก็คงจ่ายออกไปไม่ได้หรอก ฉันจะเก็บเงินเพื่อที่จะเลี้ยงอสูรตัวน้อยน่ารักๆสักตัวในอนาคต” โม่ฝานกล่าวตอบ
“อ่า นั่นก็มีเหตุผล ถ้านายมีเงินและต้องการจะเลี้ยงอะไรน่ารักๆ ฉันสามารถแนะนำหญิงสาวที่…”
“ฉันหมายถึงอสูรเวทของฉัน!” โม่ฝานโต้กลับจ้าวหม่าหยันในทันที
“โอ้ โอ้งั้นเหรอ ฉันคิดว่าหมายถึงอย่างอื่นน่ะนะ”
“อย่างไรก็ตามฉันก็ยังสามารถรู้จักกับหญิงสาวที่นายพูดถึงเมื่อครู่ได้อยู่นะ”
“เอะ…” จ้าวหม่าหยันหันหน้าขวับทันทีราวกับรับอารมณ์ที่สับเปลี่ยนของโม่ฝานไม่ทัน
——–
หลังจากที่ขายแก่นแท้จิตวิญญาณไปแล้ว พร้อมด้วยซื้ออุปกรณ์เวทมนตร์กลับมา เขายังเหลือเงินอยู่สิบสองล้านหยวน เมื่อรวมกับเงินที่เขามีก่อนหน้านี้โม่ฝานยังเหลือเงินกว่าสิบห้าล้านหยวนหลังจากที่จับจ่ายใช้สอยเสร็จสิ้นแล้ว
ด้วยเงินจำนวนนี้เขาสามารถย้ายเข้าสู่บ้านหลังเล็กที่สวยงามได้แล้ว!
เนิ่นนานที่เขาจำเป็นจะต้องอดทนมุดอยู่ในรูแคบราวกับรังหนู มันคือพื้นที่ห่างไกลผู้คนและรกร้างเสียยิ่งกว่าเมืองบ่อที่เขาเคยอยู่มาก่อน การต่อรถบัสและรถไฟเป็นเวลานานทำให้สูญเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ แล้วเรื่องเช่นนี้จะดำเนินต่อไปได้อย่างไรกันในเมื่อในกระเป๋าของเขาตอนนี้มีเงินมากกว่าสิบล้านหยวน!?!
ซึ่งในปีการศึกษาหน้านั้นจ้าวหม่าหยันคิดว่าจะออกไปอยู่ข้างนอกด้วยเช่นกัน ซึ่งสถานการณ์ของโม่ฝานก็ไม่ต่างกันนัก เขาเบื่อหน่ายที่จะอยู่ร่วมห้องกับผู้อื่นแล้ว อีกทั้งเขาต้องการสถานที่การฝึกฝนที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว เขาเกรงว่าสักวันใครจะมาล่วงรู้ความลับของเขาซึ่งมันต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน ถ้าหากว่ามีคนรู้เข้า… เรื่องราวแห่งความวุ่นวายคงตามติดก้นของเขามาอย่างไม่รู้จบ
——–
เมื่อกลับสู่สถาบัน ปีการศึกษาแรกนั้นจบลงไปอย่างรวดเร็ว
ซึ่งการจบภาคเรียนในคราวนี้ยังไม่มีการสอบใดๆ แต่ทว่าในภาคเรียนถัดไปจะมีการสอบเพื่อเข้าสู่สถาบันหลักอย่างเป็นทางการ
สถาบันไม่สนใจว่านักเรียนจะฝึกฝนด้วยวิธีใด ทั้งหมดนี้นักเรียนจำเป็นจะต้องเรียนรู้มันด้วยตนเอง การนั่งเรียนเพียงอย่างเดียวไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก นักเรียนหลายคนนั้นติดแหงกอยู่ที่สถาบันรองอย่างช่วยไม่ได้ ความหวังของพวกเขานั้นคือการเข้าสู่สถาบันหลัก! ซึ่งการเข้าสู่สถาบันหลักจำเป็นจะต้องผ่านการสอบเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นบุตรหลานในตระกูลขุนนางมาจากไหน พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์จะสัมผัสประตูหลักแห่งนั้นถ้าหากไม่ผ่านการทดสอบ!
นักเวทในสถาบันหลักและรองแตกต่างกันอย่างมาก ซึ่งสถาบันหลักนั้นคือหัวกะทิที่แท้จริงของสถาบันเมิงจู่ ทรัพยากรที่มากมายมาพร้อมกับการแข่งขันที่โหดเหี้ยม ถ้าหากว่าสามารถประกาศศักดาของตนเองภายในนั้นได้ ชื่อของนักเวทผู้นั้นจะกระฉ่อนไปทั่วนครเซี่ยงไฮ้ แม้แต่บุคคลระดับประเทศก็จะยินยอมขานรับชื่อนั้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง!
การเข้าสู่สถาบันหลักนั้นเป็นเป้าหมายสำคัญของนักเรียนทุกคน โม่ฝานตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าจ้าวหม่าหยันไม่ได้ต้องการย้ายออกจากหอพักในสถาบันเพียงเพราะต้องการร่วมหลับนอนกับหญิงสาวมากหน้าหลายตาเท่านั้น แต่เขากำลังต้องการสถานที่ฝึกฝนเงียบๆเท่านั้น หลังจากที่เขาได้รับทรัพยากรมากมายจากตระกูลของตนเอง เขาไม่มีเหตุผลอะไรที่จะใช้ชีวิตไปวันๆอีกแล้ว
สำหรับโม่ฝานนั้นเขาไม่เพียงแต่ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องเข้าสู่สถาบันหลักเท่านั้น แต่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ของเขาคือการการแข่งขันประลองเวทมนตร์ของสมาคมนักล่าที่จะจัดขึ้นในอีกสองปีข้างหน้าอีกด้วย!
ทั้งธาตุสายฟ้าและธาตุไฟระดับมัชฌิมของเขานั้นไม่อาจใช้เวลาร่ายเวทเนิ่นนานกว่านาทีเช่นทุกวันนี้ได้ มันจำเป็นจะต้องเหลือหน่วยเป็นวินาทีเท่านั้น!
โม่ฝานยังคงจดจำหมัดเพลิงราชวังทั้งเก้าทั้งถังหยู่ใช้ได้อย่างแม่นจำ ภาพความแข็งแกร่งและเกรี้ยวกราดของมันยังตราตรึงอยู่ในจิตใจเขาอย่างร้อนแรง
นั่นคือคาถาระดับสามของหมัดเพลิง ซึ่งถ้าหากหลอมรวมเมล็ดอัคคีวิญญาณเข้าไปด้วยแล้ว มันมีความสามารถมากพอที่จะทำลายล้างศัตรูได้อย่างอยู่หมัดแน่นอน
อีกทั้งธาตุสายฟ้าจำเป็นจะต้องเพิ่มระดับด้วยเช่นกัน ถ้าหากว่ามันยังคงอยู่ในระดับเดิม นั่นไม่ใช่เรื่องดีสำหรับโม่ฝานแน่นอน
แม้แต่ธาตุเงาก็เช่นกัน เขานั้นเรียนรู้จากคำภีร์นำทางดวงดาว ซึ่งแน่นอนว่าคำภีร์นั้นก็มีข้อจำกัดในการใช้เช่นกัน!
ตอนนี้ธาตุอัญเชิญของเขาก็ยังไม่เข้าสู่ระดับมัชฌิม นี่ก็เป็นสิ่งที่เขาจะต้องให้ความสำคัญกับมันด้วย!
มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เฝ้ารอให้โม่ฝานทำ ในตอนนี้โม่ฝานรู้สึกว่าตัวของเขาไม่เหลือเวลาที่จะไปทำอย่างอื่นอีกแล้ว
อีกอย่างในตอนนี้ก็คือ… โม่ฝานได้ถือปืนใหญ่และยิงมันใส่นักเรียนใหม่ทุกคนอย่างโจ่งแจ้ง
เล่าต่อกันมาว่าภายในสถาบันหลักนั้นสามารถต่อสู้กันได้อย่างโจ่งแจ้ง มันคือการแข่งขันที่แท้จริง เนื่องจากในตอนนี้โม่ฝานได้สร้างความขุ่นเคืองใจมากมายให้กับนักเรียนทั้งหมด ถ้าหากว่าวันแห่งการล้างแค้นมาถึงแล้วเขาไม่อาจจะมีพลังมากพอกดดันผู้อื่นให้ถอยห่างได้ เขาก็คงจะนอนจมอยู่ใต้เท้าของนักเรียนเหล่านั้นแน่นอน ผู้คนที่เกลียดชังเขาไม่ได้มีเพียงไป่จ่านเฟิงเท่านั้น แต่มันคือกลุ่มนักเรียนใหม่ทั้งหมดในภาคการศึกษานี้ พวกเขาตั้งกลุ่มสังคมขนาดใหญ่ซึ่งมีชื่อว่า “แอนตี้โม่ฝาน!”
สังคมเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรวบรวมศัตรูของโม่ฝานจากทั่วทุกมุมของโรงเรียน! ความแข็งแกร่งที่โม่ฝานได้แสดงออกไปในงานประลองเวทนั้นนับได้ว่าน่าประหลาดใจอย่างมากสำหรับนักเรียนระดับปฐมภูมิเหล่านั้น แต่ทว่ากลุ่มสังคมนี้เติบโตขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาล้วนแต่เฝ้ารอวันล้างแค้นอย่างใจจดจ่อ!
โม่ฝานนั้นไม่เคยรู้สึกเสียอกเสียใจกับการขโมยทรัพยากรของผู้อื่นในวันนั้นแม้แต่น้อย
ถ้าหากว่าพวกเขาไม่พอใจแล้วทำไมจึงไม่คิดจะขโมยมันกลับไปล่ะ? พวกเขาไม่มีความสามารถมากพอที่จะต่อสู้กับราชินีอสูรได้ด้วยซ้ำ ถ้าหากว่ามีทรัพยากรมากมายก็คงไม่อาจจะต่อสู้ได้เช่นเดิม อีกทั้งถ้าหากว่าโม่ฝานไม่ได้เป็นคนสังหารราชินีอสูรตัวนั้น เขาก็คงจะไม่มีเงินมากพอเพื่อที่จะมาซื้อโล่ห์เวทมนตร์ที่ยอดเยี่ยมและอสนีวิญญาณพันปีนี้หรอก! นับได้ว่านี่เป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าที่สุดที่โม่ฝานได้กระทำลงไป
เช่นนี้ดังคำกล่าวของโบราณ “ความแข็งแกร่งมักจะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเมื่อรู้จักต่อยอด”
‘ไอ้พวกสวะนั้นมันจะคิดต่อสู้กับฉันงั้นเหรอ? เฮอะ ต่อให้พวกแกทั้งหมดฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลาหนึ่งปีก็เถอะนะ เมื่อเวลานั้นมาถึงพวกแกก็จะรู้ตัวว่าชายที่ชื่อโม่ฝานก็ยังคงเป็นบิดาของพวกแกเช่นเดิม หึ!’