จอมเวทอหังการ - ตอนที่ 201
บทที่ 201: อสนีวิญญาณพันปี
หลังจากผ่านไปไม่นานนัก จ้าวหม่าหยันเดินออกมาจากห้องประมูล
โดยปกติแล้วเมื่อสิ่งของที่จะเข้าร่วมการประมูลได้ถูกจัดการทั้งไปทั้งหมดแล้ว มันไม่มีทางที่จะเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้อีก แต่อย่างไรก็ตามทุกคนนั้นล้วนที่จะอยากเห็นแก่นแท้จิตวิญญาณระดับนักรบ ซึ่งมันมีค่ามากเสียยิ่งกว่าเมล็ดพันธุ์วิญญาณเสียอีก เช่นนี้พวกเขาจะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงการประมูลนี้สักหน่อยได้อย่างไรกัน?
ผู้ที่เป็นคนรับผิดชอบการจัดงานประมูลในครั้งนี้รีบเอาแก่นแท้จิตวิญญาณระดับนักรบลงในรายการประมูลอย่างรวดเร็ว
“ฉันบอกให้อาวุโสจัดการเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว เขายังบอกอีกว่าแก่นแท้จิตวิญญาณระดับนักรบเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง อีกทั้งมันยังพิเศษมากเสียยิ่งกว่าแก่นแท้จิตวิญญาณทั่วไปอย่างมาก ถ้าหากว่ามันสามารถปรับแต่งร่วมกับเนบิวลาได้อย่างสมบูรณ์ ประสิทธิภาพของมันจะยิ่งทวีคูณมากเพิ่มขึ้นอย่างอัศจรรย์ เช่นนี้แก่นแท้จิตวิญญาณของราชินิอสูรกายเกล็ดหนานั้นอาจจะมีราคามาถึงยี่สิบล้านหยวน แต่ถ้าหากผู้มีอิทธิพลระดับสูงต้องการมันล่ะก็… เขาเกรงว่าราคาของมันคงจะพุ่งไปที่ยี่สิบห้าล้านหยวนได้อย่างไม่ยากเย็นนัก!” จ้าวหม่าหยันกล่าวพร้อมใบหน้าที่ตื่นเต้น
น้ำลายของเขาเกือบจะหยดลงมาจากปากแล้วในขณะที่กำลังอธิบายให้โม่ฝานฟัง เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการที่จะเป็นคนสังหารราชินีอสูรตัวนี้ด้วยตนเอง!
อย่างไรก็ตามจ้าวหม่าหยันนั้นรู้ดีว่าเขานั้นปราศจากภาชนะวิญญาณ แม้ว่าเขาจะสามารถสังหารราชินีอสูรตนนี้ได้ แต่ทว่าเขาก็คงไม่อาจจะกักเก็บแก่นแท้จิตวิญญาณนี้ไว้ได้อยู่ดี
“อีกอย่างหนึ่งคืออาวุโสยังกล่าวไว้อีกว่าแก่นแท้จิตวิญญาณระดับนักรบนั้นจำเป็นจะต้องถูกเก็บไว้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งสิ่งที่จะสามารถกักเก็บมันได้ย่อมเป็นภาชนะวิญญาณระดับสูงเท่านั้น จริงสิ… นายไปหาภาชนะวิญญาณนั้นมาจากไหนกันเหรอ? ของพวกนี้ไม่สามารถจะค้นหาได้โดยง่าย พูดอีกอย่างก็คือมันคืออุปกรณ์ที่ล้ำค่าน่ะนะ!” จ้าวหม่าหยันพูดออกมาตรงๆ
“มันเป็นมรดกน่ะ ครอบครัวฉันยากจนเกินกว่าจะหาซื้อมัน แต่ทว่าพวกเราสืบทอดสิ่งนี้ต่อๆกันมา” โม่ฝานไม่อยากจะอธิบายอะไรนัก เขาจึงตัดบทออกไปดื้อๆเช่นนี้
“ตราบใดที่นายไม่ได้เป็นนักเวทชั่วร้าย มันก็ไม่ได้แย่นักหรอกที่ได้ครอบครองสิ่งนั้น” จ้าวหม่าหยันถอนหายใจออกมาและไม่ได้กล่าวอะไรต่อ
อย่างไรก็ตามจ้าวหม่าหยันนั้นกำลังคิดว่านี่เป็นปัญหาที่ใหญ่สำหรับเขาพอสมควร เขานั้นเป็นถึงลูกหลานในตระกูลขุนนางผู้ทรงอิทธิพล แต่ทว่าเมื่อเทียบกับโม่ฝานในตอนนี้เขากลายเป็นเพียงไก่อ่อนเท่านั้น… โม่ฝานกำลังจะเปลี่ยนฐานะตนเองจากเหวกลายเป็นสรวงสวรรค์!
—–
ขณะที่เดินเข้ามาภายในห้องโถงใหญ่ โม่ฝานต้องการที่จะเดินดูสิ่งหรูหรารอบๆอย่างตื่นตาตื่นใจ
แต่ทว่าสายตาของเขาพลันไปสบเข้ากับผู้ที่มีใบหน้าบิดเบี้ยวราวกับว่าโม่ฝานได้ติดหนี้เขาไว้สักห้าล้านหยวนก็มิปาน… เพียงแค่การเหลือบมองในระยะเวลาสั้นๆ ทำให้โม่ฝานรู้สึกไม่สบายใจกับสายตาเช่นนั้นอย่างมาก
“เฮอะ แกจริงๆด้วย!” ใบหน้านั้นยิ่งบิดเบี้ยวเมื่อพ่นลมหายใจเกรี้ยวกราดออกมา
“แกเป็นใคร?” โม่ฝานถามกลับเรียบๆ
ใบหน้าที่เดิมน่าเกลียดอยู่แล้ว ยิ่งบิดเบี้ยวมากขึ้นเพราะความโกรธจัด
*แก้ไขชื่อ จ้วงหลีเฟิง เป็น ไป่จ่านเฟิง
‘เฮอะ แกไม่รู้จักไป่จ่านเฟิงนายน้อยแห่งตระกูลใหญ่ทั้งสี่ของนครเซี่ยงไฮ้งั้นเหรอ แกลืมฉันงั้นเหรอ!’
“ฉันชื่อไป่จ่านเฟิง!” เขาตอบออกไปด้วยโทสะมากล้น
ในการแข่งขันการประลองอสูรเวท ไป่จ่านเฟิงต้องการที่จะเป็นผู้ชนะ เขาต้องการจะสั่งสอนโม่ฝานให้ล้มลงแทบเท้าของตน เป้าหมายของเขาคือการแสดงพลังให้ทั่วทั้งสถาบันยอมรับ
แต่ใครเล่าจะรู้ว่าวินาทีต่อมาเขาจะถูกโจมตีด้วยอสนีบาตมรุธาอย่างฉับพลัน แม้แต่ไป่จ่านเฟิงก็ยังไม่อาจหลบหนีได้พ้น อาจารย์กู่ฮั่นจำเป็นจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเขา ไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะกลายเป็นเถ้าถ่านมอดไหม้อยู่ในกองไฟ
ในวันนั้น สิ่งที่ไป่จ่านเฟิงพยายามจะรักษาไว้ที่สุดได้ถูกทำลายโดยฉับพลัน ใบหน้าและชื่อเสียงของเขาถูกโม่ฝานบดขยี้ไม่เหลือชิ้นดี
และยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นการเปิดโอกาสให้มู่หนิวเจี่ยวได้วางแผนกับตระกูลสกปรกของตนเอง! เขาสูญเสียมากเกินกว่าคำว่าสูญเสีย! แม้ว่าเธอจะพ่ายแพ้แต่ทว่าด้วยแผนการกอบกู้ชื่อเสียงด้วยการแจกจ่ายทรัพยากรออกไปทำให้ตระกูลมู่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม…
ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ไป่จ่านเฟิงถูกอาวุโสของตระกูลดุด่าอย่างหนักหน่วงเสมอมา บางคำที่พวกเขากล่าวไว้ยังคงตราตรึง “ดูสิ หญิงสาวของตระกูลมู่นั้นมีความคิดมากเช่นไร พวกเธอเต็มไปด้วยมันสมองมากล้น! แต่ดูแกสิ… ไป่จ่านเฟิงเป็นบุรุษที่มีค่าน้อยเสียยิ่งกว่าสวะ!”
แน่นอนว่าอาวุโสของไป่จ่านเฟิงไม่ได้ดุด่าเขาเพียงอย่างเดียว ในทันทีที่เขากลับถึงบ้าน เขาจำเป็นจะต้องกรีดร้องออกมาเมื่อตนเองถูกลดทรัพยากรและเงินทองทั้งหมดลง อีกทั้งยังลงโทษเขาด้วยการบังคับให้นั่งฝึกฝนแทบจะตลอดวันและคืนจนไม่เห็นเดือนและตะวัน!
เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะโม่ฝานเพียงคนเดียว!
แต่ทว่าชายคนนี้เป็นเพียงลมลอยผ่านโม่ฝานเท่านั้น เขาได้เห็นใบหน้าของคนๆนี้เพียงไม่กี่นาที แน่นอนว่าโม่ฝานหลงลืมเขาไปแล้วโดยสมบูรณ์
“ให้ฉันพูดกับแกตรงๆ ถ้าหากว่าแกไม่ได้ลูกเล่นกับฉันในวันนั้น ฉันสามารถฆ่าแกได้เพียงแค่ดีดนิ้วเท่านั้น! รอวันที่ฉันได้เข้าสู่สถาบันหลักก่อนเถอะ ถ้าหากฉันไม่กลับมาล้างแค้นในครั้งนั้น ก็ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าไป่จ่านเฟิงอีก!” ไป่จ่านเฟิงโกรธโม่ฝานอย่างมาก เขาพ่นคำออกมามากมายในขณะที่ชี้หน้าของโม่ฝานอย่างไม่ลดละ
แน่นอนว่าความแค้นในคราวนี้เป็นสิ่งที่ไป่จ่านเฟิงจะไม่มีวันปล่อยไปเป็นอันขาด!
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นในวันเปิดภาคเรียนนั้นย่ำแย่เกินไป ชื่อเสียงของเขายังคงโนเนมอยู่เช่นเดิม อย่างไรก็ตามเขาจะไม่ปล่อยให้เรื่องราวเป็นไปเช่นนี้อยู่ตลอด เขาจำเป็นจะต้องพลิกสถานการณ์กลับมาให้เร็วที่สุด!
ไม่ว่าจะเป็นมู่หนิวเจี่ยว จ้าวหม่าหยัน เซรินเทียนฉ่าว หลัวซ่งและโม่ฝาน บุคคลเหล่านี้จำเป็นจะต้องได้รับการแก้แค้นที่สมน้ำสมเนื้ออย่างแน่นอน จะไม่มีใครรอดจากเขาไปได้!
ไป่จ่านเฟิงนั้นเข้าสู่สถาบันเพราะว่าเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลไป่ เขาไม่เหมือนกับนักเรียนทั่วไป แม้แต่ความแข็งแกร่งนั้นก็ยังมากกว่าตระกูลขุนนางอื่นๆอย่างมาก
คำพูดของไป่จ่านเฟิงดังกึกก้องไปทั่วห้องโถงประมูลอย่างองอาจ
โม่ฝานยืนมองคนตรงหน้าด้วยอารมณ์ที่สับสนอย่างมาก เขาเห็นว่าไป่จ่านเฟิงดุด่าจนพอใจและหันหลังกลับ ในขณะที่ชายคนนั้นกำลังจะเดินออกไป โม่ฝานมองไปรอบๆพร้อมกับหันไปถามจ้าวหม่าหยันว่า “ใครคือไป่จ่านเฟิง?”
“เขาเป็นชายที่ถูกอสนีบาตมรุธาของนายเล่นงานเมื่อครั้งประลองอสูรเวทน่ะนะ เขาเป็นนักเวทระดับมัชฌิม แต่เขากลับพ่ายแพ้นายในเวลาไม่ถึงนาที!” จ้าวหม่าหยันอธิบายออกมาพร้อมกับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“โอ้ เขานั่นเอง! ฉันจัดการเขาเร็วเกินไปสินะ ดูเหมือนว่าสีหน้าของเขาจะไม่ค่อยดีนัก” โม่ฝานกล่าวออกมา
ไป่จ่านเฟิงที่เพิ่งจะเดินออกไปไม่นาน เขาแทบจะตกบันไดทันทีเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น!
บัดซบ เขากล้าที่จะต่อว่าฉันงั้นเหรอ!!!
‘รอก่อนเถอะ ไอ้บัดซบเพียงแค่รอบิดาผู้นี้ก่อน! การต่อสู้ของสถาบันรองนั้นเป็นเพียงน้ำจิ้มเท่านั้น มันก็แค่การต่อสู้ของเด็กน้อย เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันเข้าสู่สถาบันหลักได้… ฮี่ฮี่ มันจะยากยิ่งกว่าการประลองเด็กน้อยในคราวนั้นเป็นทวีคูณ!’
———
จ้าวหม่าหยันนั้นเต็มไปด้วยความซื่อตรงและจริงใจในการทำธุรกิจ ไม่นานหลังจากที่การประมูลเริ่มต้นขึ้น ตะรกูลจ้าวไม่ได้กล่าวสิ่งใดมากนักเมื่อเมล็ดอสนีวิญญาณปรากฏสู่สายตาทุกคน เขาเพียงแค่บอกกล่าวกับทุกคนว่าเขาต้องการของชิ้นนี้ไม่ว่ามันจะราคาเท่าไหร่ก็ตาม ตระกูลจ้าวพร้อมจะจ่ายมันออกไปแน่นอน
เมล็ดอสนีวิญญาณนี้มีราคามากถึงสองล้านแปดแสนหยวน แต่ทว่าตระกูลจ้าวก็ยังยืนยันที่จะซื้อมัน!
สำหรับโม่ฝานแล้ว การยอมแลกชื่อเสียงเล็กน้อยกับเมล็ดอสนีวิญญาณมูลค่าเกือบสามล้านหยวนนี้ เขารู้สึกพึงพอใจกับการแลกเปลี่ยนในคราวนี้อย่างมาก โม่ฝานมองว่ามันคุ้มค่าที่สุดแล้ว
แน่นอนว่าถ้าหากตระกูลจ้าวจำเป็นต้องสูญเสียชื่อเสียงในสถานการณ์อันตรายครั้งนี้ โม่ฝานก็ไม่รู้เช่นกันว่ามูลค่าของมันคือเท่าไหร่ แม้แต่ความเสียหายเล็กน้อยเขาก็ไม่สามารถจะคิดคำนวนมันได้เช่นกัน…
“สองล้านแปดแสนหยวนได้ถูกประมูลไปแล้วเรียบร้อย ซึ่งเมล็ดอสนีวิญญาณนี้ฉันได้อธิบายคุณลักษณะของมันไปแล้วเมื่อครั้งเริ่มการประมูล อย่างไรก็ตามฉันจะขอพูดมันอีกครั้งแล้วกันนะ เมล็ดพันธุ์อสนีวิญญาณนี้ถูกค้นพบที่ยอดภูเขาสูง มันถูกสกัดมาจากสรวงสวรรค์เหนือเมฆาที่มีสายฟ้าแล่นผ่านตลอดเวลา ชื่อของมันคืออสนีวิญญาณพันปี ซึ่งพลังของมันนั้นแทบจะสะเทือนฟ้าดินได้ในการโจมตีเดียว แน่นอนว่าถ้าหากปรับแต่งมันเปรียบร้อยแล้วพลังของธาตุสายฟ้าที่มีอยู่จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว!”
“พวกเราทุกคนนั้นรู้ดีว่าเมล็ดพันธุ์นั้นก็เป็นสิ่งของธรรมดาทั่วไป แต่ทว่าเมล็ดพันธุ์อสนีวิญญาณครั้งนี้คือสิ่งที่พิเศษยิ่งกว่า ฉันเพียงแค่หวังว่าอสนีวิญญาณพันปีจะได้พบเจอกับเจ้านายที่ยอดเยี่ยมเหมาะสมกับมัน ขอโทษทีที่ในวันนี้ฉันจำเป็นจะต้องพูดมากสักหน่อย เพราะฉันคือคนที่หยิบมันมาจากสหายรักของตนเอง เขาเสียชีวิตในขณะที่กำลังพยายามสกัดมันออกมาจากยอดเขา สุดท้ายแล้วฉันก็ได้นำมันมาถึงสถานที่แห่งนี้ได้อย่างปลอดภัย นั่นหมายความว่าสิ่งนี้แลกมาด้วยชีวิตของเพื่อนรักฉันเอง” ผู้ที่นำอสนีวิญญาณพันปีมาประมูลกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่โศกเศร้าแต่ทว่ากลับเข้มแข็งเช่นกัน
ชายวัยกลางคนแห่งตระกูลจ้าวซึ่งดูสุภาพอย่างมาก เขาเผยรอยยิ้มอบอุ่นพร้อมกล่าวออกมาอย่างหนักแน่น “คุณหวังไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย อสนีวิญญาณพันปีจะถูกมอบให้กับเด็กรุ่นใหม่ซึ่งเต็มไปด้วยพรสวรรค์”
“เด็กงั้นเหรอ ฉันชื่นชมเหล่าเยาวชนรุ่นใหม่ไฟแรง! เขากล้าหาญที่จะเปลี่ยนแปลงและเผชิญหน้า ซึ่งไม่เหมือนกับคนรุ่นเก่าอย่างฉัน พวกเราไม่เคยกล้าจะไปที่ไหนเลย… ซึ่งต่างจากพวกเด็กเหล่านั้นโดยสิ้นเชิง หวังว่าอสนีวิญญาณพันปีจะเหมาะสมกับเขา!” ชายวัยกลางคนที่ชื่อหวังกล่าวออกมาอย่างตื้นตันและรำลึกความหลังเล็กน้อย
โดยรอบเงียบสนิท ดูเหมือนว่าสถานะของนายหวังคนนี้จะไม่ธรรมดา ไม่มีใครกล้าที่จะซุบซิบต่อหน้าเขาสักคน
—–
“อสนีวิญญาณพันปี…” โม่ฝานรู้สึกชื่นชอบชื่อของมันอย่างมาก
เมล็ดอสนีวิญญาณพวกนี้ทั้งหมดล้วนแต่มีสติปัญญาเป็นของตนเอง พวกมันมีบุคลิคราวกับมนุษย์และต้องการจะเลือกผู้เป็นนายด้วยตนเองอีกด้วย อีกอย่างพวกมันมีชื่อเฉพาะ!
เมล็ดอสนีวิญญาณที่รวบรวมความแข็งแกร่งทั้งหมดของสายฟ้าเอาไว้สมควรแล้วที่จะได้รับชื่อนี้… อสนีวิญญาณพันปีเป็นชื่อที่เหมาะสมกับมันอย่างยิ่ง!
ในอนาคตธาตุสายฟ้าและธาตุไฟของเขาล้วนแต่ต้องมีชื่อเป็นของตนเองเพื่อสำแดงถึงฤทธิ์เดชของมัน!
ในวันนี้ธาตุสายฟ้าของเขาไม่ใช่นิรนามอีกต่อไป มันมีชื่อว่าอสนีวิญญาณพันปี!