จอมเวทอหังการ - ตอนที่ 154
บทที่ 154: หลัวซ่งคนชั่ว!
เด็กหนุ่มตัวเตี้ยเดินเข้าสู่เวที เขาอัญเชิญหมาป่าเวทออกมา
โม่ฝานเคยเห็นหมาป่าเวทตัวนี้ในชั้นเรียนมาก่อนแล้ว เห็นได้ชัดว่ามันยังเด็กอยู่ ความแข็งแกร่งของมันไม่อาจเทียบได้กับหมาป่าเวทของโม่ฝาน ซึ่งอาจจะไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ!
หลังจากที่เขาเดินเข้ามาสู่กึ่งกลางของเวที เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนขี้อายอย่างมาก ผู้คนรอบสนามกำลังเยาะเย้ยหมาป่าตัวจ้อยอย่างสนุกสนาน ยิ่งทำให้ความอายของเขาเพิ่มพูนมากขึ้นโดยทวี
เป็นไปตามคาด เขาไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้ได้นานนัก เพียงแค่รอบเดียวของการประลอง เขาโดนนักเวทธาตุเงาหลอกล่อจนรู้สึกเหนื่อยหอบอย่างช่วยไม่ได้
เขาเดินกลับมาที่ทีมด้วยใบหน้าที่แดงก่ำพร้อมกระซิบอย่างแผ่วเบา “ฉัน… ฉันทำดีที่สุดแล้ว ใน… ในอนาคตฉันจะไม่ทำให้พวกนายต้องผิดหวังเช่นนี้แน่นอน”
“ไม่เลวเลย นายจัดการไปได้ตั้งสองคนน่ะ” หวังจี่หลิงกล่าวออกมา
“อย่ากังวลเลย พวกเราจะจัดการที่เหลือเอง เอาล่ะคนต่อไปเป็นฉันเอง!” ชางปิงเฉียวกล่าวอย่างมุ่งมั่น
—
อสูรอัญเชิญของชางปิงเฉียวนั้นคือศิลาปีศาจ ซึ่งความแข็งแกร่งของมันมากกว่าแมงป่องเกราะพิสุทธิ์เล็กน้อย
แมงป่องเกราะพิสุทธิ์นั้นอ่อนแอต่อธาตุไฟ ซึ่งถ้าหากมันต้องพบเจอกับนักเวทธาตุไฟ สิ่งเหล่านี้จะทำให้มันอ่อนแอและพ่ายแพ้ได้ไม่ยากเย็นนัก
แต่ทว่าศิลาปีศาจนั้นสามารถต่อต้านธาตุไฟได้อย่างสมบูรณ์ หรือบางทีแม้แต่ธาตุสายฟ้าก็ยังไม่อาจทำอะไรมันได้!
แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของศิลาปีศาจก็คือความเร็ว… การเคลื่อนที่ของมันนั้นเชื่องช้าอย่างมาก พวกเขานั้นไม่จำเป็นจะต้องใช้คาถาใดๆเพื่อหลบหนี เพียงแต่ว่าจำเป็นจะต้องหลบกำปั้นที่รุนแรงของมันให้ได้เท่านั้น
อย่างไรก็ตามศิลาปีศาจนั้นมีความสามารถในการควบคุมพื้นดิน มันสามารถใช้พื้นเหล่านี้ได้อย่างอิสระ ความสามารถของมันทำลายนักเรียนไปสี่ทีมได้อย่างง่ายดาย
“เยี่ยมไปเลยชางปิงเฉียว สมแล้วที่นายเป็นความหวังของทีม ฮ่าฮ่าฮ่า!” นักเรียนสาขาอัญเชิญตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น
“ดูท่าทีของพวกธาตุไฟและสายฟ้านั่นสิ แม้ว่าคาถาพวกมันทั้งหมดจะอยู่ในระดับที่สามแล้วก็ตาม แต่ทั้งหมดกลายเป็นเด็กน้อยทันทีเมื่อยืนอยู่ตรงหน้าของศิลาปีศาจ ความรู้สึกนี้มันยอดเยี่ยมจริงๆ!”
“ตอนนี้พวกเรากำจัดพวกมันไปได้ยี่สิบสามคนแล้ว ฮ่าฮ่า ธาตุที่เหลือก็มีเพียงขยะเท่านั้น!”
ชางปิงเฉียวยืนอยู่ในกรงขนาดใหญ่ ซึ่งนักเรียนที่ยังพอมีสมองอยู่บ้างนั้นล้วนแต่ต้องการที่จะหลบหนีเขา แต่ในอีกทางหนึ่งเขากลับเป็นที่ชื่นชมของเหล่าหญิงสาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!
อย่างไรก็ตามตอนนี้ชายหนุ่มจากธาตุอื่นๆล้วนแต่กำลังตกที่นั่งลำบากแล้ว
พวกเขาถูกทุบตีจนวิ่งหนีกันหางหด กลุ่มที่ห้าเดินเข้ามาภายในกรงและยังไม่รู้เลยว่าจะสามารถต้านทานศิลาปีศาจนี้ไว้ได้หรือไม่…
“ฉันน่ะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าในระดับปฐมภูมินี้มีธาตุอัญเชิญรวมอยู่ด้วย ตอนนี้ฉันรู้ถึงความแข็งแกร่งของพวกเขาแล้วล่ะ การจัดการนักเรียนหลายกลุ่มได้เช่นนี้พวกเขาไม่ธรรมดาเลยจริงๆ แล้วเช่นนี้พวกเราจะเอาชนะได้อย่างไรกัน?” นักเรียนรอบข้างสนามเริ่มเปิดประเด็นพูดคุยกันอย่างออกรส
ซึ่งธาตุอัญเชิญนั้นสามารถต้านทานนักเรียนจากทุกธาตุได้อย่างง่ายดาย แม้แต่นักเรียนธาตุสายฟ้ายังอดไม่ได้ที่จะชื่นชมนักเรียนสาขาอัญเชิญ
“พวกเขาแข็งแกร่งในระดับปฐมภูมิเท่านั้นแหละ ใครจะรู้ว่าพวกเขายังจะแข็งแกร่งอยู่ไหมถ้าหากต้องพบเจอกับระดับมัชฌิม นายเห็นคนที่เรียกหมาป่าเวทตัวเล็กๆนั่นมารึเปล่าล่ะ? ส่วนใหญ่แล้วพวกเขานั้นพึ่งพาเพียงพลังของอสูรอัญเชิญเท่านั้น มันยากมากที่พวกเขาจะจับอสูรที่แข็งแกร่งโดยไม่ใช้เครื่องมือใดๆช่วยเหลือ” ผู้คนเริ่มจับกลุ่มคุยกันอย่างออกรส
“อย่างไรก็ตาม ภายในโรงเรียนเช่นนี้ ฉันว่าเราอย่าไปยุ่งกับพวกอัญเชิญจะดีกว่า”
“แต่ศิลาปีศาจก็ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถยืนหยัดได้อีกต่อไปแล้วนะ มันถูกโจมตีจากทุกทิศทางเลยในตอนนี้”
“อืมใช่!”
—
ชางปิงเฉียวไม่สามารถยืนต่อไปได้อีก สุดท้ายแล้วเขาต้องยอมถอยหลังจากจัดการศัตรูไปได้เพียงยี่สิบห้าคนเท่านั้น
“ฉันได้ยินมาว่าศิลาปีศาจเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุดที่พวกเขามีแล้วนะ…” นักเรียนคนหนึ่งกล่าวออกมา
“ถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาด มันควรจะมีโครงกระดูกปีศาจอีกตัวหนึ่ง มันเป็นสัตว์ประหลาดที่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมอย่างมาก ซึ่งเป็นอะไรที่แข็งแกร่งผิดจากอสูรตนอื่น ถ้าหากนักเวทระดับปฐมภูมิไม่รวมทีมกันมากกว่าสิบคนล่ะก็… พวกเขาไม่มีทางสู้มันได้!”
“เตรียมรอดูกันเถอะว่าจะมีไอ้ง่อยที่ไหนโผล่มาอีกหรือไม่! ฮ่าฮ่า”
“ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”
—
“ในรอบของฉัน ตัวเลขมันควรจะอยู่ที่สี่สิบ ถ้าหากว่าฉันอารมณ์ดีสักหน่อย แน่นอนว่าจะไม่ยอมให้พวกนายที่เหลือต้องลำบาก เฮอะ!” หวังจี่หลิงเดินไปข้างหน้าพร้อมกับความมั่นใจเกินร้อยของเขา
เจียงหยุนหมิงนั้นยืนอยู่ที่ด้านข้างของเวที เขาพูดอย่างกำชับว่า “ยิ่งตัวเลขสูงมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีสิทธิ์ได้รับทรัพยากรมากเท่านั้น…”
“เตรียมทรัพยากรไว้เถอะ…” หวังจี่หลิงกล่าวพร้อมยักคิ้วขึ้นอย่างไม่ใส่ใจพร้อมกับมองไปยังกลุ่มคนที่เหลืออยู่
หวังจี่หลิงนั้นไม่ใช่คนโอ้อวดแต่อย่างใด เขาเรียกอสูรอัญเชิญของตนออกมาในทันที
เป็นไปตามคาด อสูรอัญเชิญของเขานั้นก็คือโครงกระดูกปีศาจ!
โครงกระดูกปีศาจนั้นรูปร่างคล้ายกับอีแร้ง มันมีปีกขนาดใหญ่ที่ด้านหลัง แม้ว่าความแข็งแกร่งของมันจะไม่เทียบเท่ากับอสูรเวทอื่นๆ แต่อย่างไรก็ตามความเร็วในการบินของมันนั้นเพียงพอที่จะเขย่าขวัญของผู้ท้าชิงได้อย่างง่ายดาย!
ความรวดเร็วของมันนั้นยังเต็มไปด้วยไหวพริบ ความฉลาดของมันเป็นสิ่งที่ต้องเกรงกลัว ความเร็วของมันเพียงพอที่จะจู่โจมนักเวทก่อนที่พวกเขาจะเชื่อมต่อเส้นทางดวงดาวได้ด้วยซ้ำ หรือไม่งั้นมันก็มากพอที่จะหลบการโจมตีของศัตรูได้อย่างง่ายดายเช่นกัน…
ถ้าหากกล่าวถึงศิลาปีศาจมันคงเป็นสัตว์ประหลาดที่ต้านทานพลังเวททุกธาตุได้ แต่ถ้าหากกล่าวถึงโครงกระดูกปีศาจแล้วล่ะก็มันก็คงจะเป็นสัตว์ประหลาดที่สามารถหลบหลีกทุกการโจมตีได้!
ในตอนนี้โครงกระดูกปีศาจถูกเรียกออกมาแล้ว ทุกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของมันเตรียมตัวจะถูกกำจัด! เป้าหมายที่ชัดเจนและสายตาที่ดุร้ายของมันกวาดมองไปด้านหน้าอย่างเหี้ยมโหด สิ่งที่หวังจี่หลิงต้องทำคือรอนับจำนวนเท่านั้น….
—
“ฉันได้ยินมาว่านักเรียนธาตุอัญเชิญนั้นมีรางวัลพิเศษ ถ้าหากพวกเขาไม่สามารถเอาชนะนักเรียนร้อยคนได้ ทรัพยากรที่เป็นของสาขานั้นจะถูกแจกจ่ายให้กับนักเรียนธาตุอื่นที่มีศักยภาพมากกว่า บัดซบ! ในตอนนี้โครงกระดูกปีศาจออกมาแล้ว อีกเพียงแค่ครึ่งเดียวคงไม่ยากเย็นนัก ไม่ว่าพวกเขาจะขึ้นไปอีกกี่ร้อยคนก็คงไม่อาจจะทำอะไรมันได้!” นักเรียนในธาตุดินเริ่มพูดคุยกันอย่างออกรส
“แน่นอนว่าเป็นอย่างนั้น แล้วเช่นนี้ใครกันจะสามารถเอาชนะโครงกระดูกปีศาจนี้ได้ล่ะ?”
“ฉันว่าในกลุ่มนั้นจะต้องมีคนที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงแน่นอน เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่คิดที่จะเคลื่อนไหวหรอก…”
ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น มีเด็กอ้วนคนหนึ่งโผล่หัวขึ้นมาพร้อมกับถามว่า “พวกนายพูดว่านักเรียนธาตุอัญเชิญมีทรัพยากรที่ยอดเยี่ยมงั้นเหรอ?”
“ใช่แล้ว แต่ว่าพวกเขาจำเป็นจะต้องชนะผู้ท้าชิงให้ได้จำนวนหนึ่งร้อยคน” อีกคนกล่าวตอบ
สายตาที่ชั่วร้ายของหลัวซ่งจับจ้องไปที่โม่ฝานผู้ที่ยังไม่ยอมขึ้นเวที
“ถ้าหากว่าพวกเขาไม่สามารถทำตามเงื่อนไขได้ ทรัพยากรนั้นก็จะตกเป็นของนักเรียนจากธาตุอื่นงั้นเหรอ?” หลัวซ่งถามต่อ
“แน่นอนว่าเป็นเช่นนั้น มันมากมายและคุ้มค่าอย่างมาก อย่างไรก็ตามธาตุดินอย่างเราไม่สามารถเอาชนะโครงกระดูกปีศาจนั่นได้…”
“ฮ่าฮ่า พวกนายค่อยมาขอบคุณฉันในคราวหลังแล้วกัน!” หลัวซ่งลุกจากเก้าอี้ของตนพร้อมกับเดินไปยังสถานที่ลงทะเบียนเป็นผู้ท้าชิงในทันที
“พวกเราจะไปขอบคุณแกทำไม?” ทุกคนถามออกมาอย่างสับสน
หลัวซ่งเดินต่อไปโดยไม่สนใจคำกล่าวใด ท้ายที่สุดเขามาถึงสถานที่ลงทะเบียนเป็นผู้ท้าชิง เนื่องจากในตอนนี้โครงกระดูกปีศาจนั้นแข็งแกร่งเกินไป ผู้ท้าชิงมากมายเริ่มลังเลที่จะต่อสู้กับมัน แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น
หลัวซ่งเดินตรงไปที่แถวด้านหน้าอย่างไม่สนใจสิ่งใด
เดิมทีหลัวซ่งนั้นไม่อยากจะที่จะออกมาเคลื่อนไหวใดๆอยู่แล้ว ในการแข่งขันนี้นักเวทระดับมัชฌิมอย่างเขาไม่ควรจะเข้ามายุ่งเกี่ยว
แต่เมื่อเขาได้รู้ว่าความพ่ายแพ้นั้นมีผลต่อนักเรียนธาตุอัญเชิญ ความคิดของเขาเปลี่ยนไปทันที!
“หลัวซ่งงั้นเหรอ? เธอต้องการจะสู้?” เมื่ออธิการบดีเซียวเห็นหลัวซ่งเดินมา ใบหน้าของเขาแสดงถึงความขุ่นเคืองเล็กน้อยพร้อมกล่าวต่อ “เธอไม่ได้สัญญากับฉันงั้นเหรอว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับโม่ฝานอีก?”
“ผมไม่ได้ท้าทายเขาสักหน่อย” หลัวซ่งตอบกลับอย่างเฉยเมย
ในตอนนี้อธิการบดีเซียวนั้นไม่รู้ว่าจะกล่าวอย่างไรต่อ หลัวซ่งนั้นเป็นนักเรียนใหม่ก็จริงแต่ทว่ากฏของการแข่งขันนี้คือนักเวทระดับมัชฌิมไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมการประลอง
หลังจากกล่าวจบ หลัวซ่งหยุดยืนอยู่ตรงทางเข้าอย่างไม่แยแส
แน่นอนว่าเขาได้ให้คำมั่นสัญญากับอธิการบดีเซียวว่าจะไม่ยั่วยุโม่ฝานที่เป็นนักเวทระดับมัชฌิมแล้ว
แน่นอนว่าหลัวซ่งไม่ได้คิดที่จะต่อสู้กับโม่ฝานหรืออสูรอัญเชิญของเขา แต่แผนการของเขาก็คือการทำลายเพื่อนร่วมสาขาของโม่ฝาน!
เขาต้องการที่จะเห็นโม่ฝานเรียกหมาป่าเวทออกมาเพื่อจัดการกับจำนวนที่เหลือทั้งหมด นี่คือความหมายในการเคลื่อนไหวของเขาในคราวนี้!
‘หึ ทรัพยากรที่เป็นของนักเรียนสาขาอัญเชิญ จะต้องเป็นของนักเรียนธาตุดิน!’