จอมเวทอหังการ - ตอนที่ 149
บทที่ 149: พ่อหมาป่านักสู้!
ตกกลางคืนพระจันทร์ลอยเด่น กิจวัตรประจำวันของโม่ฝานยังคงดำเนินไปเช่นเคย เขาปีนขึ้นไปบนหลังคาพร้อมกับเริ่มทำสมาธิอีกครั้ง…
การทำสมาธิของเขาตอนนี้นั้นคือการให้อาหารแก่อสูรอัญเชิญ ซึ่งการทำสมาธิเพื่อฝึกฝนธาตุอัญเชิญคือการบำรุงอสูรเวทให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ละอองดาราที่แข็งแกร่งจะถูกแปรเปลี่ยนเป็นอาหารชั้นเยี่ยมให้กับอสูรเวทของเขา
อีกทั้งความเร็วในการฟื้นฟูพลังเวทของโม่ฝานนั้นค่อนข้างที่จะรวดเร็วมาก จี้ทมิฬน้อยคอยช่วยเหลือสิ่งเหล่านี้อย่างยอดเยี่ยม พลังเวทของโม่ฝานนั้นมากกว่าคนปกติถึงสองเท่า รวมไปถึงความเร็วของเขาด้วยเช่นกัน!
โม่ฝานนั้นมาถึงระดับที่สามแล้วสำหรับธาตุอัญเชิญของเขา ซึ่งพลังงานที่เขามอบให้อสูรเวทนั้นไม่ได้น้อยเลย! มันมีความแข็งแกร่งมากพอสมควรเมื่อเป็นละอองดาราระดับสาม
ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา โม่ฝานใช้พลังเวทของตนเองเพื่อเป็นอาหารให้กับหมาป่าเวททุกๆวัน แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่พบความเปลี่ยนแปลงใดที่ชัดเจนมากนักเกี่ยวกับหมาป่าน้อยของเขาตนนี้
ฮู่~~~~~~~~~~~~ว!
ในขณะที่โม่ฝานกำลังทำสมาธิอยู่ ฉับพลันเสียงหอนได้ดังขึ้นระหว่างเส้นทางการเชื่อมต่อวิญญาณของเขากับหมาป่าน้อย มันถูกส่งผ่านกระแสจิตมาอย่างรวดเร็ว
เสียงนี้ฟังดูราวกับว่ามันกำลังคึกคะนอง!
“เด็กชายคนนี้ต้องการจะต่อสู้อีกงั้นเหรอ?” โม่ฝานบ่นออกมาพร้อมกับงุนงงเล็กน้อย
อสูรเวทอัญเชิญนั้นไม่สามารถออกมาอยู่ที่โลกปกติแห่งนี้ได้นานนัก พวกมันจำเป็นจะต้องอาศัยอยู่ในมิติอัญเชิญ ซึ่งรอยแยกระหว่างมิตินี้แตกต่างกันเรื่องกาลเวลาอย่างมาก อีกทั้งดินแดนที่มันอยู่ยังเต็มไปด้วยอสูรร้ายมากมาย
ในดินแดนแห่งนั้นทุกสรรพสิ่งล้วนแต่ทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองอยู่รอด เหล่าอสูรร้ายทั้งหมดล้วนแต่ต่อสู้กันเพื่อเอาชีวิตรอดในทุกนาที ในทุกครั้งที่โม่ฝานเรียกหมาป่าเวทออกมาด้านนอก ร่างกายของมันมักจะเต็มไปด้วยบาดแผลจากการต่อสู้ที่ไม่ได้หยุดหย่อน
เมื่อเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นสักสองถึงสามครั้ง โม่ฝานจึงค่อยๆเข้าใจธรรมชาติของอสูรอัญเชิญ
ในอดีตโม่ฝานนั้นเคยเข้าใจว่าอสูรเวทเหล่านั้นมักจะนอนรอเจ้านายเรียกหาเท่านั้น ไม่ว่าเมื่อไหร่พวกมันก็จะปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่จนพลังหยดสุดท้ายหมดไป
แต่ความจริงแล้ว ทุกสิ่งล้วนแต่มีชีวิตเป็นของตนเอง ข้อตกลงที่พวกมันสมควรจะได้รับจากนักเวทในการทำสัญญาครั้งนี้คือละอองดาราซึ่งเป็นอาหารของพวกมัน เช่นนี้เพื่อตอบแทนสำหรับอาหารนั้น พวกมันจะปรี่มาช่วยเหลือนักเวทคนนั้นทันทีถ้าหากมีการร้องขอเกิดขึ้น
ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา โม่ฝานนั้นทำสมาธิอย่างหนักในทุกวันโดยไม่เกียจคร้าน ซึ่งเขารู้ดีว่าหมาป่าเวทของเขานั้นต่อสู้ไม่ต่ำกว่าสิบครั้งต่อวันภายในมิติอัญเชิญแห่งนั้น ทุกครั้งเมื่อมันฟื้นฟูพลังกลับคืนมาได้ มันจะเริ่มวิ่งออกไปต่อสู้อีกครั้งอย่างคึกคะนอง
พูดตามตรงแล้ว โม่ฝานกังวลอย่างมากว่าอสูรเวทของเขาจะตายตกไปในสักวัน ถ้าหากว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ โม่ฝานจำเป็นจะต้องออกล่าหมาป่าเวทตัวใหม่อีกครั้ง… ซึ่งนั่นจะทำให้เขาเสียเวลาและใช้พลังงานมากขึ้น! นอกจากนี้อาหารที่เขาคอยป้อนให้มันตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาก็จะสูญเปล่าอีกด้วย…
อีกอย่างการต่อสู้ภายในมิติอัญเชิญที่พวกมันเผชิญหน้ากันเอง ไม่ใช่สิ่งที่นักเวทจะเข้าไปวุ่นวายได้เลย สิ่งเดียวที่เจ้านายสามารถทำได้ก็คือการทำสมาธิเท่านั้น เมื่อการต่อสู้สิ้นสุดลงพวกเขาก็มีหน้าที่มอบพลังให้กับอสูรเวทของตนเอง ซึ่งพลังเวทนั้นไม่เพียงแต่เป็นอาหารของเหล่าอสูรอัญเชิญ แต่ทว่ามันยังเป็นยารักษาช่วยให้พวกมันฟื้นคืนพลังจากการต่อสู้อันดุเดือดได้อีกด้วย!
หลังจากผ่านไปสักพักหนึ่ง การต่อสู้ของหมาป่าเวทได้สิ้นสุดลงอีกครั้ง…
ทันใดตราประทับของเขาและหมาป่าเวทเริ่มจางลงอย่างรวดเร็ว ด้วยสิ่งนี้ทำให้โม่ฝานเข้าใจได้ทันทีว่าหมาป่าน้อยของเขากำลังบาดเจ็บสาหัส!
“บัดซบเอ๊ย ห้ามตายเด็ดขาด!” โม่ฝานอุทานออกมาอย่างหวาดผวา
‘ฉันน่ะไม่เคยพบเจออสูรอัญเชิญตัวไหนที่ดื้อดึงเช่นนี้มาก่อนเลย! ในเมื่อนายน่ะได้รับการดูแลจากฉันแล้ว ทำไมไม่วิ่งหาที่หลบภัยและอยู่รอกินข้าวแบบเงียบๆล่ะ ทำตัวเป็นหมาที่ดีไม่ได้รึไงกัน!’
โม่ฝานไม่ได้ใช้เวลาคิดเกี่ยวกับเรื่องตรงหน้ามากเกินไป เขารีบส่งพลังเวทผ่านตราประทับเพื่อหวังที่จะดึงพลังชีวิตของมันกลับมาให้พ้นจากหุบเหวแห่งความตายโดยเร็ว
ละอองดาราส่องแสงประกายราวกับจันทราได้ถูกส่งผ่านไปอย่างรวดเร็วจนหายไปหมดสิ้น ตราประทับค่อยๆส่องสว่างขึ้นมาอีกครั้ง นั่นหมายความว่าพลังชีวิตของหมาป่าเวทเริ่มดีขึ้นเล็กน้อย
‘ฉันจะอัญเชิญนายออกมาที่นี่อีกครั้งและเราจะไปห้องพยาบาลกัน ที่นั่นจะมีอาจารย์ธาตุการรักษา เขาจะช่วยเหลือนายเอง’ โม่ฝานกล่าวกับหมาป่าเวทผ่านกระแสจิต
ตอนนี้โม่ฝานนั้นรู้ดีว่าหมาป่าน้อยของเขากำลังบาดเจ็บสาหัส ถ้าหากว่ามันไม่ได้รับการรักษาโดยเร็ว เรื่องราวร้ายๆอาจจะเกิดขึ้นได้ในไม่ช้านี้
ในขณะที่โม่ฝานกำลังเชื่อมต่อเส้นทางดวงดาวของธาตุอัญเชิญ หมาป่าเวทส่งกระแสจิตตอบกลับมาหาเขาว่า ‘ไม่ต้องห่วง ฉันดูแลตัวเองได้’
‘พี่ชายน้อยเอ๋ย ถ้าหากว่านายน่ะต้องการจะรักษาร่างกายของตนด้วยตัวเอง ใครเล่าจะรู้ว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่? ถ้าหากต่อจากนี้นายได้พบเจอกับผู้อื่น แน่นอนว่านายจะเอาชีวิตไม่รอด!’ โม่ฝานพูดออกไปอย่างห่วงใย
แต่หลังจากนั้นไม่นานนัก หมาป่าเวทตอบกลับมาว่า ‘ฉันซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัยแล้ว…’
ในตอนนี้โม่ฝานไม่รู้ว่าเขาควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีกับสถานการณ์ตรงหน้า
นี่เขาพบเจอกับหมาป่าเวทผู้ดื้อด้านงั้นเหรอ? ก็เห็นกันอยู่ว่ามันกำลังจะตาย แต่มันก็ยังดื้อดึงที่จะนั่งอยู่ตรงนั้นรอให้แผลทั้งหมดหายไปเอง!
—
ตลอดทั้งคืนโม่ฝานกังวลเกี่ยวกับหมาป่าเวทของตนจนแทบจะหลับไม่ลง เขาได้แต่หวังว่าในเช้าวันรุ่งขึ้นพลังของมันก็ควรจะส่องสว่างมากกว่าเดิม…
โม่ฝานส่งผ่านพลังทั้งหมดที่เขามีให้กับหมาป่าเวทโดยไม่หวงแหน ซึ่งหมาป่าเวทนั้นหลับไปอย่างยาวนาน นานจนเขากลัวว่ามันจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
“ดูเหมือนว่าจะยังมีชีวิตอยู่สินะ!” โม่ฝานถอนหายใจ “แต่ดูเหมือนว่าฉันจะไม่มีหวังที่จะได้รับโลหิตอสูรแล้วล่ะสิ ถึงอย่างไรก็คงไม่สามารถต่อสู้ได้ล่ะนะ…”
บาดแผลที่หมาป่าเวทได้รับมาในคราวนี้นั้นดูเหมือนว่าจะสาหัสอย่างมากและจำเป็นจะต้องใช้เวลาที่ยาวนานพอสมควรในการฟื้นฟูพลัง
เมื่อเป็นเช่นนี้ โม่ฝานไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยอมแพ้ในศึกครั้งนี้เท่านั้น
……
….
..
.
ในที่สุด… วันแห่งการรอคอยก็ได้มาถึง เหตุการณ์ที่น่าเกรงขามกำลังจะปรากฏขึ้นแล้ว!
นักเรียนเก่าที่อยู่มาก่อนหน้านั้นไม่พลาดที่จะเข้าร่วมการแสดงที่นักเรียนใหม่กำลังจะเปิดเผยออกมา ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้นักเรียนใหม่รู้สึกกดดันอย่างช่วยไม่ได้แต่อย่างไรก็ตามนักเรียนใหม่นั้นเชื่อในตนเองอย่างมากว่าพวกเขาแข็งแกร่งและเต็มไปด้วยจุดแข็ง นี่เป็นโอกาสอันดีที่พวกเขาจะได้แสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์!
แต่ในบางครั้งทุกอย่างอาจไม่เป็นอย่างที่หวัง แม้ว่านักเรียนทุกคนจะรู้สึกว่าตนเองสุดยอดและแข็งแกร่งมากแล้ว แต่เมื่อพวกเขาได้มายืนอยู่ในมหาวิทยาลัยเมิงจู่ซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดด้านเวทมนตร์มากมาย พวกเขาอาจจะกลายเป็นแค่เศษเสี้ยวในจักรวาลยิ่งใหญ่นี้ก็เป็นได้!
“เอาล่ะ นักเรียนของสาขาอัญเชิญมีแค่เจ็ดคนงั้นเหรอ?” ด้านในโรงอาหารนักเรียนชายสี่ถึงห้าคนกำลังจับกลุ่มพูดคุยกันราวกับว่าคุยเรื่องสำคัญของประเทศแห่งนี้
“ฉันไปถามมาแล้วล่ะ คนที่ชื่อว่าไฮ่ต้าหู่น่ะมีเกราะไหมขาว ความแข็งแกร่งของมันน่ะแข็งแกร่งเทียบเท่ากับอสูรเวทโตเต็มไวเชียวนะ! ชางปิงเฉียวน่ะครอบครองศิลาปีศาจ ซึ่งมันเป็นอสูรอัญเชิญที่แข็งแกร่งทั้งด้านการโจมตีและป้องกันและนอกจากนั้นยังมีโครงกระดูกปีศาจ…” ชายที่ดูตื่นเต้นเริ่มพูดออกมาอย่างรวดเร็วให้พรรคพวกฟัง
“โครงกระดูกปีศาจงั้นเหรอ? นั่นไม่ใช่สิ่งที่ใครก็ตามจะไปยั่วยุมันได้เลย!” ชายอีกคนหนึ่งตะโกนออกมาอย่างตื่นตระหนก
“ถ้าหากว่าไม่ต้องการจะยั่วยุเขาก็ไม่ต้องทำ ไม่ว่าอย่างไรก็ยังมีคนที่ดูจะจัดการไม่ยากอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย” ชายที่เป็นคนเปิดประเด็นกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง
“อืมมีนักเรียนธาตุอัญเชิญอีกคนชื่อว่าโม่ฝาน ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเขาครอบครองอสูรอัญเชิญอะไร อีกทั้งเขานั้นไม่ได้อยู่ร่วมห้องกับอีกหกคนก่อนหน้าด้วย” ชายอีกคนกล่าวขึ้นมาอย่างลอยๆ
“ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่พวกเราจะพบเจอกับลูกพลับที่อ่อนนุ่มบ้าง ฮ่าฮ่า ไม่ว่าอย่างไรหากพวกเราสามารถเอาชนะผู้อัญเชิญได้สักคน ก็ย่อมต้องได้รับรางวัลมากมายจากโรงเรียนอย่างแน่นอน”
“ใช่แล้ว เราจะต้องทำงานหนักสักหน่อยเพื่อที่จะได้รู้จุดอ่อนของศัตรู!”
“รางวัลอะไรนั่น ฉัน… ลี่จันเหว่ย… ไม่ได้สนใจมากนักหรอก แต่ความจริงแล้วมีเด็กธาตุสายฟ้าคนหนึ่งซึ่งกล้าที่จะต่อกรกับฉันซะมากกว่า! มันมายุ่งกับจินฉาวเหมียนของฉัน!”
“โอ้ ลี่จันเหว่ย ฉันเพิ่งรู้นะว่านายชอบหญิงสาวที่ดูอ่อนโยนและเชื่องช้าคนนั้น ไม่เหมือนกับฉันเลย ฉันน่ะชอบมู่ เน่วจ้าว…”
“บัดซบ ใครกันบ้างล่ะที่ไม่ชื่นชอบมู่เน่วจ้าว? นายรู้รึเปล่าว่าผู้ชายตั้งกี่คนที่กำเดาไหลจนแทบจะหมดตัวเพียงแค่ได้เห็นหน้าเธอวันแรก?”
“ฮ่า ใช่แล้วเธอนั้นเปรียบกับเทพธิดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์!”
••••••••••••••••••••