จอมเวทอหังการ - ตอนที่ 127
บทที่ 127: เฝ้าดู
“ฉันขอแนะนำให้เธอพึ่งพาพลังความร่ำรวยที่แข็งแกร่งของผู้มีอิทธิพลนะ ด้วยสิ่งเหล่านั้นพวกเขาจะมอบทรัพยากรที่มีค่าและจำเป็นให้กับเธอ ซึ่งมันจะส่งผลดีกับอนาคต แต่แน่นอนว่าในอนาคตเธอจำเป็นจะต้องทำตามคำสั่งของพวกเขา เพราะด้วยเหตุผลที่พวกเขาจ่ายออกไปมาก ผลตอบแทนของพวกเขาก็ย่อมต้องมากด้วยเช่นกันน่ะนะ…” ถังหยู่แนะนำ
“นี่พี่สาวถัง คุณดูเหมือนว่าจะมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดาเลยนะ ทำไมคุณถึงไม่มาเป็นอนาคตให้กับผมเองล่ะ อิอิ… แน่นอนว่าผมจะไม่ลังเลที่จะเชื่อฟังคุณเลย ต่อให้ภารกิจนั้นจะอันตรายมากแค่ไหน!” โม่ฝานเสนอออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
“ฉันสาบานว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้พูดจาเลี่ยนๆกับฉันแบบนี้นะ!” ใบหน้ารูปไข่ที่สวยงามนั้นกำลังจ้องมองไปที่โม่ฝานอย่างหมายเอาชีวิต แน่นอนว่าเธอเข้าใจความหมายที่น่ารังเกียจอยู่ในคำพูดเหล่านั้นชัดเจน
โม่ฝานไม่กล้าที่จะยียวนอีกครั้ง จริงๆแล้วเขาต้องการที่จะรับความช่วยเหลือจากเธอ มันจะดีกว่าถ้าหากว่าเขาต้องไปอยู่ที่อื่น แต่ในตอนนี้เขาควรหยุดปากเพียงเท่านี้ไม่เช่นนั้นเขาคงจะถูกสับเป็นพันชิ้นแน่
—
หลังจากนั้นทั้งสองเริ่มติดตามกลุ่มสมาคมนักล่าไปอย่างเงียบๆ ทั้งสองไม่ได้ตามอย่างใกล้ชิดมากนัก คาถาเงามืดของถังหยู่นั้นอ่อนแอเกินไป การเข้าใกล้จะทำให้สามารถถูกตรวจพบได้โดยง่าย
เมื่อเดินตามรอยเท้าของบุคคลเหล่านั้นมาเรื่อยๆ ทั้งสองได้มาพบกับต้นน้ำแล้ว
ต้นน้ำแห่งนี้เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น มันเปรียบเหมือนกับบ่อขนาดย่อม ซึ่งในตอนนี้แห้งขอดและเต็มไปด้วยกระดูกปลาเกลื่อนกลาด
“ทำไมคนเยอะเช่นนี้ แต่ก็อย่างว่าข่าวของสถานที่แห่งนี้ไม่ได้ถูกเก็บเป็นความลับเท่าไหร่นัก” ถังหยู่และโม่ฝานรีบซ่อนตัวอย่างรวดเร็วในทันทีที่พบกับอีกสองกลุ่มที่อ่างเก็บน้ำแห่งนี้
กลุ่มแรกคือสมาคมนักฆ่าก่อนหน้านี้ ปันเซียงนั้นยืนอยู่ข้างกับชายใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น อีกคนหนึ่งสวมใส่ชุดคาวบอยพร้อมทั้งมีสหายอีกเจ็ดคนยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขา ซึ่งขณะนี้ดูเหมือนว่ากลุ่มสมาคมนักฆ่าจะได้พบกับศัตรูที่อยู่ตรงบริเวณเนินเขาแล้ว
อีกกลุ่มนั้นดูเหมือนกับว่าพวกเขาเพิ่งจะมาถึง ทั้งหมดมีกันสี่คน พวกเขาแข็งแกร่งและดูสง่างามอย่างมาก เมื่อได้เผชิญหน้ากับกลุ่มสมาคมฆ่าแล้วแทบจะไม่เผยความเกรงกลัวใดๆบนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย
“เฮ้ ปันเซียงถ้าแกไม่ต้องการที่จะกลายเป็นขอทานบนถนนกวางโจว ก็พาพวกพ้องของแกออกไปซะ จิตวิญญาณแห่งไฟนี้ตระกูลตงฟางของพวกฉันได้จับจ้องแล้ว ซึ่งแน่นอนว่ามันจะไม่ถูกแบ่งปันให้กับใครเด็ดขาด!” ชายคนหนึ่งในกลุ่มนั้นกล่าวขึ้นมา ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นผู้นำของกลุ่มและสวมใส่สูทที่ดูหรูหรา
ชายผู้นี้ดูเหมือนว่าจะพิถีพิถันในการแต่งตัวอย่างมาก ชุดของเขาตอบรับกับรูปร่างที่ได้สัดส่วน เส้นผมทุกเส้นล้วนแต่เป็นระเบียบเรียบร้อย ถ้าหากเขาเดินไปตามถนนแน่นอนว่าจะต้องดึงดูดสายตาของหญิงสาวจำนวนมากไว้อย่างง่ายดาย
ตระกูลตงฟางงั้นเหรอ?
โม่ฝานเริ่มคิดตามคำพูดเหล่านั้น ก่อนหน้านี้เขาเคยดูทีวีและอ่านนิยายมาบ้าง ชื่อตระกูลเหล่านี้ล้วนแสดงถึงความเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ ในกลุ่มคนเหล่านี้มักจะเต็มไปด้วยความหยาบคายและยโสโอหัง ทุกครั้งที่พวกเขาจะพ่นอะไรออกมา ทั้งหมดจะบอกกล่าวนามสกุลของตนเองก่อนเสมอราวกับว่าเป็นลูกหลานแห่งพระราชา!
“อืม เป็นตระกูลตงฟางสินะ มารยาทที่เลวทรามเช่นนี้ก็มีเพียงคนเหล่านี้เท่านั้น พวกมันเล็งเป้าหมายเป็นจิตวิญญาณแห่งไฟเหมือนกัน ซึ่งตระกูลตงฟางนี้เป็นตระกูลใหญ่อีกทั้งยังมีชื่อเสียงในด้านธาตุไฟ โอกาสที่หายากเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆในกวางโจว ซึ่งเมืองนี้เป็นเขตแดนของพวกมันอีกด้วย แน่นอนว่าไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะให้ตระกูลนี้ยอมเอื้อผลประโยชน์มหาศาลให้กับผู้อื่น!” ถังหยู่พึมพำออกมาเบาๆ
ถังหยู่นั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญธาตุไฟเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เธอจะรู้จักตระกูลใหญ่ในประเทศแห่งนี้
“ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังทะเลาะกันสินะ แต่ปัญหาก็คือชายสวมหมวกนั้นอยู่ที่ใด?” โม่ฝานตั้งข้อสงสัยขึ้นมาทันทีในขณะที่เห็นว่าทั้งสองกลุ่มนี้พร้อมจะปะทะกันตลอดเวลา
“เขาคงซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง แผนของเขาก็คงจะเป็นการให้ทั้งสองกลุ่มนี้ทุบตีกันเองแล้วค่อยฉกฉวยสิ่งเหล่านั้นในภายหลัง” ถังหยู่วิเคราะห์
“แล้วเราควรทำอะไร?”
“เราควรจะรอจนเรื่องเหล่านี้จบลง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราก็จะต้องจัดการกับเขาให้ได้!” ถังหยู่กล่าวออกมาด้วยดวงตาที่แน่วแน่
ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ผู้คนจากตระกูลตงฟางทั้งสี่กำลังต่อสู้กับปันเซียงจากสมาคมนักฆ่า
ตระกูลตงฟางทั้งสี่นั้นล้วนแต่เป็นนักเวทธาตุไฟ ในขณะที่การต่อสู้เริ่มขึ้น เปลวไฟลุกโชนอยู่บนมือของพวกเขาอย่างน่าเกรงขาม
โม่ฝานไม่เห็นด้วยซ้ำว่าพวกเขาร่ายเวทกันตั้งแต่เมื่อใด ราวกับว่าเพียงเสี้ยววินาทีเปลวไฟระดับปฐมภูมิได้ปรากฏขึ้นอย่างง่ายดาย ซึ่งพวกเขาทำมันอย่างราบรื่นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชี่ยวชาญ
บ้าจริง ทั้งสี่คนเป็นนักเวทระดับมัชฌิมทั้งหมด! ตระกูลตงฟางนั้นเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมจริงๆ พวกเขาส่งนักเวทระดับมัชฌิมออกมาเพื่อตามหาจิตวิญญาณแห่งไฟ ถ้าหากทั้งสี่คนนี้อยู่ในเมืองบ่อล่ะก็… พวกเขาจะเต็มไปด้วยชื่อเสียงและได้รับการยกย่องแน่นอน!
ในอีกกลุ่มหนึ่งนั้นก็ไม่ได้อ่อนแอไปมากกว่ากันเลย ปันเซียง ชายแผลเป็นและหนุ่มคาวบอยทั้งสามล้วนแต่เป็นนักเวทระดับมัชฌิม ส่วนอีกเจ็ดคนที่เหลือนั้นอยู่ในระดับปฐมภูมิ แต่ทว่าพวกเขาสามารถใช้คาถาระดับสามได้อย่างง่ายดาย การร่ายเวทของพวกเขาใช้เวลาเพียงแค่สามวินาทีเท่านั้น!
นี่คือทีมขนาดใหญ่ของสมาคมนักฆ่า ความสามารถของพวกเขาสามารถต่อกรกับอสูรเวทระดับทั่วไปได้อย่างง่ายดาย!
“เราต้องซ่อนตัวถ้าหากไม่ต้องการโดนลูกหลง!” ถังหยู่ดึงร่างกายของโม่ฝานมาแนบชิดอีกครั้งพร้อมกับค่อยๆเข้าไปซ่อนตัวอยู่ใต้ร่มไม้ขนาดใหญ่ด้านหลัง…
เวทมนตร์ทั้งหมดถาโถมใส่กันอย่างรุนแรง สภาพแวดล้อมทุกสิ่งล้วนแต่ถูกบดบังไปจนหมดสิ้น…
ในตอนนี้สภาพแวดล้อมได้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ฝุ่นควันค่อยๆจางหายไปช้าๆ โม่ฝานเบิกตาโพลงด้วยความประหลาดใจเมื่อพบว่าร่างกายของเขานั้นอยู่ใต้ต้นองุ่นเต็มไปด้วยเถาวัลย์มากมาย ซึ่งมันห่างออกมาจากสถานที่หลบซ่อนแรกถึงสามสิบเมตร!
ดวงตาของเขาแสดงถึงความประหลาดใจพร้อมกับหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน ความสามารถของถังหยู่นั้นมีอะไรบ้างที่เขายังไม่รู้?
“มันเรียกว่าเงาดำดิน ซึ่งเป็นคาถาเริ่มต้นของธาตุเงา มันใช้เวลาเรียนรู้ไม่นานนักซึ่งเธอจะสามารถใช้มันได้ถ้าหากปลุกธาตุเงาขึ้นมา” ถังหยู่อธิบายออกมาอย่างชัดเจน ความเก่งกาจนี้ทำให้โม่ฝานยิ่งรู้สึกประทับใจในตัวของเธอมากขึ้นไปอีก
เทคนิคและความแข็งแกร่งของเธอนั้นลึกลับซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งร่างกายที่น่าดึงดูดของเธอยังทำให้คนที่มองอยู่ไม่ยากพ่ายแพ้ต่อเธอได้เลย!
ในอีกด้านหนึ่ง ตระกูลตงฟางกำลังต่อสู้กับกลุ่มของสมาคมนักฆ่าอย่างดุเดือด ต้นไม้พืชพรรณบริเวณนั้นล้วนถูกเปลวไฟเผาไหม้จนหมดสิ้น เสียงระเบิดของบอลเพลิงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องในป่าเล็กแห่งนี้
โม่ฝานเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิดโดยไม่กระพริบตา เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่านักเวทระดับมัชฌิมนั้นใช้เพียงเวทมนตร์ระดับปฐมภูมิเท่านั้น พวกเขายังไม่ได้แสดงฝีมือร่ายเวทระดับมัชฌิมเลยแม้แต่น้อย
การร่ายเวทระดับมัชฌิมนั้นจำเป็นจะต้องควบคุมดวงดาวทั้งสี่สิบเก้าดวง ซึ่งระยะเวลากว่าที่พวกเขาจะเชื่อมต่อเส้นทางดวงดาวได้ ฝ่ายศัตรูก็คงจะประเคนเวทประฐมภูมิไม่รู้กี่บทใส่พวกเขาแล้ว!
แม้ว่าเวทระดับปฐมภูมิจะไม่ได้แข็งแกร่งมาก แต่ด้วยระยะเวลาร่ายเวทนั้นนับว่าเร็วกว่าหลายเท่านัก!
“พวกแกกล้ามากที่ล้อมรอบฉันอย่างนี้ เอาล่ะ ฉันจะให้พวกแกทั้งหมดได้ลิ้มรสหมัดเพลิงสักหน่อย!” ชายสวมสูทหรูหราตะโกนออกมาอย่างเดือดดาล
กลุ่มคนตระกูลตงฟางทั้งสี่หันมารวมกันอย่างรวดเร็ว อีกสามคอยปกป้องชายสวมสูทเอาไว้อย่างมั่นคง
ดวงดาวของเขาค่อยๆเชื่อมต่อกันทีละดวง
เส้นทางดวงดาวทั้งหมดเปล่งประกายสว่างไสวออกมาอย่างแจ่มชัด พวกมันทั้งหมดปรากฏอยู่ที่ฝ่ามือของชายสวมสูทผู้นั้นอย่างน่าอัศจรรย์
ช่วงเวลาที่เส้นทางดวงดาวได้ก่อตัวขึ้น เปลวไฟแดงฉานได้ก่อตัวพันรอบชายสวมสูท ภาพลักษณ์ของเขาในตอนนี้ได้กลายเป็นบุรุษที่มาจากนรกเพื่อล้างแค้นก็มิปาน! นัยตาของเขาเปล่งประกายเปลวไฟออกมาให้ดูน่าหวาดกลัวมากขึ้นไปอีก ความแค้นทั้งหมดราวกับว่าจะถูกชำระในการ่ายเวทเพียงครั้งเดียว อุณหภูมิโดยรอบนั้นเดือดดาลเสียยิ่งกว่าน้ำต้มเดือด!
“หมัดเพลิง ระเบิดสวรรค์!”
หลังจากที่ชายสวมสูทร่ายเวทระดับมัชฌิมเสร็จสิ้น ชายอีกสามคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าได้กระโดดหลบให้พ้นทางในทันที เสียงคำรามกู่ก้องดังขึ้นอย่างฉับพลันในขณะที่รวบรวมเปลวไฟไว้ในมือขวาอย่างอุกอาจ ทั้งท่าทางและออร่าของเขานั้นเป็นสิ่งที่โม่ฝานรู้สึกคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างมาก…