จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 486 กล้านักนะ แกรอก่อน
พริบตารอบด้านร้านบะหมี่ได้ดังขึ้นด้วยเสียงสูดปาก
ใครก็คิดไม่ถึง เห็นเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาขาวสะอาด แต่กลับร้าย กาจถึงขนาดนี้ แค่ไม่กี่ฝ่ามือก็เล่นงานเอาอันธพาลหกเจ็ดคนลงไปแผ่ พังพาบกับพื้นได้ราวกับเป็นของเล่น
ในช่วงหนึ่งปีกว่ามานี้ มีคนประหลาดคนเก่งออกมามากมาย แต่ที่ ยื่นมือได้คล่องแคล่วว่องไวแบบชายหนุ่มคนนี้ ทุกคนก็พึ่งจะเคยเห็น เป็นครั้งแรก
จางจวินจื่อรู้สึกศีรษะทั้งหมดชาดิก
ปากของเขา ฟันทั้งหมดเหมือนตะขอแขวนทีกาวหมดอายุอย่างไร อย่างนั้น ร่วงกราวออกมาจากปากทั้งแผง เขารู้ทันทีว่าครั้งนี้ตนเองมา เจอกับตัวร้ายเข้าเสียแล้ว
แต่ด้วยนิสัยที่ปกติเอาแต่กวนคนอื่นอย่างไม่รู้กาลเทศะ ทําให้เขา ตระหนักขึ้นว่าตนเองจะต้องหยาบคายไร้เหตุผล ไม่หวาดกลัว ดิ้นรน ปีนตะกายขึ้นมาเปล่งเสียงขู่คําราม “ที่แท้ก็เป็นเพื่อนจากยุทธจักร
ด้วยกันนี่เอง แต่มาหาเรื่องบริษัทมังกรทะยานของพวกเรา จะทําให้แก กินไม่ได้นอนไม่หลับในเมืองนี้แน่”
ดวงตาหลี่มู่เปล่งประกายจิตสังหาร
บนแผ่นดินใหญ่เสินโจว เขากระทั่งจักรพรรดิที่สูงส่งก็ยังสังหาร มาแล้ว จะสังหารอันธพาลไม่กี่คนมันยังง่ายดายกว่าบี้มดทิ้งเสียอีก แต่ พอคิดๆ ดู ถึงอย่างไรก็กลับมาบนดาวโลกแล้ว โลกที่ควบคุมด้วย กฎหมาย จะสังหารมากเกินไปก็ไม่ดี ไหนจะยังทําให้ครอบครัวของลุง เจิ้งเดือดร้อนอีก
“แกรอก่อนเถอะ”
จางจวินจื่อที่ถูกประคองด้วยศิษย์น้อง เอ่ยขึ้นอย่างเดือดดาล
“แกจบสิ้นแล้ว อย่าคิดว่าแค่มีฝีมือนิดหน่อยแล้วจะมายั่วบริษัท มังกรทะยานของพวกเราได้”
“กลับไปหาพี่ใหญ่ให้มาแก้แค้น”
“จับตาดูมันไว้ อย่าให้มันหนี”
“ไอ้เด็กน้อย แกจะทําตัวเป็นวีรบุรุษใช่ไหม? จะบอกให้ ถ้าเก่งนักก็ อย่าหนี ถ้าแกหนีล่ะก็ ครอบครัวตาแก่เจิ้งมีปัญหาแน่”
เหล่าอันธพาลร้องเอะอะเอ็ดตะโรด้วยความเดือดดาล
พวกเขาเกะกะระรานในช่วงรัศมีกว่าร้อยลี้จนชินแล้ว เนื่องจากมี เบื้องหลังเป็นต้นไม้ใหญ่โต ดังนั้นกระทั่งตํารวจก็ยังไม่สามารถมายุ่งกับ พวกเขาได้ง่ายๆ วันนี้ขาดทุนยับมีหรือจะยอมกล�ากลืนฝืนทนเอาไว้
หลี่มู่ยกเก้าอี้ยาวขึ้น ดึงมานั่งอยู่ด้านหน้าประตูร้านบะหมี่ เอ่ยว่า “ก็ดี อย่าว่าฉันไม่ให้โอกาสพวกแกก็แล้วกัน ฉันให้เวลาแกหนึ่งชั่วโมง พวกแกจะยกคนมาเท่าไรก็เอามา บริษัทมังกรทะยานอะไรนั่นไม่ได้อยู่ ในสายตาฉันเลยแม้แต่น้อย”
“ได้ กล้านักนะแก” จางจวินจื่อลูบหน้า หยิบโทรศัพท์ขี้นมากด เบอร์โทรออกไปทันที
หลี่มู่คิดในใจ ก็ดี ถ้าหากบริษัททะยานอะไรนี่เป็นพวกกลุ่มพวกก่อ หายนะล่ะก็ จัดการให้สิ้นซากไปเสียเลยก็แล้วกัน
ตั้งแต่ที่เขาลงมาจาก ‘ฮาร์บินเจอร์’ ก็ได้หลงทางมาตลอด วิ่งผิด ทิศผิดทางจนมาถึงเมืองอวี้เหมิน คิดจะกินอะไรรองท้องเสียก่อนแล้ว จึงค่อยไปเมืองเป่าจีหาซินแสเฒ่า ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอกับเรื่องเช่นนี้
ประมาณดูแล้วคงไม่ได้ทําให้เสียเวลาเท่าไรนัก จัดการเรื่องนี้ เสียก่อนแล้วค่อยว่ากัน
…
…
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?”
ห้องประชุมหลัก ฐานปล่อยดาวเทียมจิ่วเฉวียน
หลังจากฟังรายงานของซูชั่วและซ่งชางหลินจบ เหล่านายทหาร ระดับสูงและผู้เชี่ยวชาญในนี้ล้วนมองหน้ากันไปมา
ถ้าไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้ได้ทําการวินิจฉัยทางด้านจิตใจในหลาย ด้าน และยืนยันได้ว่าร่างกาย สติของทั้งสองคนยังปกติอยู่ น่ากลัวว่าพอ ฟังเรื่องราวที่พวกเขาพูดจนจบ คงเข้าใจว่าพวกเขากําลังพูดเรื่องบ้า บออยุ่เป็นแน่
นับตั้งแต่ที่ ‘ฮาร์บินเจอร์’ หายสาบสูญเมื่อสามสิบปีที่แล้ว ผ่าน เรื่องราวทั้งหมดบนดาวดวงนั้น จนถึงถ้ายสุดที่คนของสํานักผู้วิเศษ วิญญาณถูกสังหาร กลุ่มนักสํารวจวิทยาศาสตร์ได้รับการช่วยเหลือจาก ชายหนุ่มคนหนึ่ง…นี่มันเหมือนกับเรื่องราวในหนังอันเหลือเชื่อเลย จริงๆ
บนดาวดวงนี้ มีเทพเซียนที่บินขึ้นฟ้ามุดลงดิน พลิกน�าล้มทะเลได้ จริงหรือ?
พลโทหลู่ปิงสูดลมหายใจลึก
ถึงแม้ก่อนหน้านี้ พวกเขาก็เดาออกมาลางๆ ว่าหลังจากที่ ‘ฮาร์บิน เจอร์’ หายสาบสูญไปอย่างลึกลับสามสิบปีได้กลับมาอีกครั้ง ข้อมูล ข่าวสารที่นํามาจะต้องเป็นเรื่องน่าตกตะลึงอย่างมากเป็นแน่ แต่ไม่คิด เลยว่าจะไม่น่าเชื่อถึงระดับนี้
แต่ทว่า ความรู้สึกบอกกับเขา ว่าสิ่งที่ซูชั่วกับซ่งชางหลินพูดมานั้น ถูกต้อง
ไม่ต้องพูดเรื่องอื่นเลย แค่มองพวกเขาทั้งสองคนที่หายสาบสูญไป สามสิบปี พอกลับมาถึง รูปร่างหน้าตากับสมรรถนะร่างกายกลับไม่ เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ราวกับออกไปเพียงแค่สามสิบวันเท่านั้น แค่นี้ ก็เพียงพอที่จะยืนยันปัญหาได้กลายๆ แล้ว
แต่ว่า ข่าวสารพวกนี้จะต้องเก็บเป็นความลับ
มิเช่นนั้น พอเรื่องรั่วไหลออกไป น่ากลัวว่าจะก่อให้เกิดคลื่นแห่ง ความตื่นตระหนกลูกใหญ่โถมเข้ากับสังคมโลกมนุษย์เป็นแน่ หากไม่ จัดการดีดี อารยธรรมนับพันปีที่สร้างระบบระเบียบสังคมขึ้นมาอย่าง ยากลําบากคงได้พังทลายลงเป็นแน่
“ชายหนุ่มที่พวกเธอพูดออกมา ตอนที่ยานร่อนลงก็ได้ออกไปแล้ว เช่นนั้นหรือ? เขาออกไปอย่างไรกัน?” มีผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งถามขึ้น อย่างอดไม่อยู่
ซ่งชางหลินตอบ “เสี่ยวมู่มีพลังเซียนเทพ พวกเราตอนนั้นรู้สึก เพียงตาลาย จากนั้นคนก็หายไปแล้ว”
“เขาเก่งกาจขนาดนั้นเลยหรือ?” มีอีกคนถามขึ้นมา
ซูชั่วตอบ “น่ากลัวเสียยิ่งกว่าที่พวกเราจินตนาการได้ ใช้ภาษาไม่ สามารถบรรยายพลังเต็มร้อยของเขาออกมาได้ ในโลกใบนั้น เขามี ตัวตนที่ไร้เทียมทาน พวกเราหลังจากที่หลุดพ้นจากการควบคุมของ สํานักผู้วิเศษวิญญาณ ช่วงเวลาหนึ่งเดือนสุดท้ายก็ได้ทําการสํารวจ ข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับตัวเขา”
ในห้องประชุม เสียงสูดลมหายใจลึกได้ดังขึ้นอีกครั้ง
ความจริงของเรื่องนี้ ทําเอาคนมากมายยากที่จะรับได้จริงๆ
หลี่มู่คนนี้ ฟังแล้วเหมือนเป็นยอดมนุษย์ที่ทําได้ทุกอย่าง
คนประเภทนี้ หากหลุดจากการควบคุม นั่นก็หมายถึงมหันตภัย ครั้งยิ่งใหญ่ แม้กระทั่งอํานาจรัฐของประเทศชาติ ก็ล้วนสามารถทําลาย
ย่อยยับลงได้ในพริบตา พลังทําลายล้างประดุจระเบิดนิวเคลียร์ เป็น หนึ่งความยุ่งยากที่ไม่สามารถมองข้ามได้เลย
ซูชั่ว สมาชิกกลุ่มนักสํารวจวิทยาศาสตร์ที่สวยงามผึ่งผายคนนี้ เข้าใจอย่างชัดเจนว่าเหล่าผู้นําคิดอะไรอยู่ เอ่ยต่ออย่างเอาจริงเอาจังว่า “ท่านนายพล เหล่าผู้นําทุกท่าน ดิฉันขอแนะนํา ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ อย่าได้มองเสี่ยวมู่เป็นศัตรูเด็ดขาด และไม่ต้องคิดที่จะควบคุมเขา คนผู้ นี้มีพลังเกินกว่าที่พวกเราจินตนาการเอาไว้มาก”
หลู่ปิงยิ้มขืนๆ พยักหน้าเอ่ยตอบ “เอาล่ะ พวกเธอสองคนออกไป พักผ่อนเสียก่อนเถอะ ฝ่ายทหารได้ติดต่อไปยังครอบครัวของพวกเธอ และส่งคนออกไปรับแล้ว พวกเธอต้องพักชั่วคราวอยู่ในฐานทัพนี่ก่อน ห้ามออกไปสถานที่อื่น เพราะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ หวังว่าพวกเธอจะ เข้าใจนะ”
ซูชั่วและซ่งชางหลินถูกนําทางออกมาจากห้องประชุม
ที่ประตู ซ่งชางหลินพูดเสียงต�า “เสี่ยวซู หลี่มู่จะเป็นอะไรไหม?”
ซูชั่วสั่นศีรษะ ไม่พูดอะไร
สิ่งที่เธอกังวลตอนนี้ไม่ใช่หลี่มู่ แต่เป็นเรื่องที่เหล่าผู้นํายังคงใช้ สายตาและมุมมองปกติมามองปัญหา คิดที่จะควบคุมหรือจํากัดหลี่มู่
แต่นั่นมันจะยิ่งเป็นการผลักให้หลี่มู่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน นั่นยิ่งเป็นเรื่องที่ น่ากลัวอย่างมากเรื่องหนึ่ง
ในห้องประชุม
สายตาของหลู่ปิง กวาดผ่านเหล่าสมาชิกในห้องทั้งสามสิบคน เอ่ย ขึ้นว่า “ทุกท่าน เรื่องเกี่ยวกับฮาร์บินเจอร์ทั้งหมด ให้ถือเป็นเอกสารลับ สุดยอดในระดับSS ห้ามให้แพร่งพรายออกไปอย่างเด็ดขาด หัวหน้า ฝ่ายสนับสนุนกลยุทธกําลังรีบตรงมาที่นี่ด้วยตนเอง จะมีการจัดตั้งกลุ่ม ผู้นําเล็กขึ้นมาในทันที ขอให้แต่ละฝ่ายของพวกท่านนับตั้งแต่ตอนนี้ สมาชิกทุกคนในฐานห้ามออกไปภายนอกโดยเด็ดขาด…เลิกประชุม!”
ทุกคนลุกขึ้นเดินออกไปด้วยอารมณ์ที่อธิบายออกมาได้ยาก
หลู่ปิงนั่งอยู่คนเดียวในห้องประชุม นวดขมับครุ่นคิดอะไร บางอย่าง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เลขาการทหารวัยรุ่นโจวฉีได้เข้ามา เตือนขึ้นเสียง ต�า “หัวหน้า ผู้บัญชาการฟ่านจากหน่วยสนับสนุนกลยุทธใกล้จะมาถึง แล้ว น่าจะได้เวลาออกไปต้อนรับแล้วครับ”
หลู่ปิงพยักหน้า ลุกขึ้นเอ่ยว่า “ทหารกองที่หกสิบแปดไปถึงไหน แล้ว”
“กองที่หกสิบแปดหลังจากได้รับคําสั่งย้าย ก็ได้ออกจากที่ตั้งกอง กําลังทันที อีกครึ่งชั่วโมงก็สามารถมาถึงฐานทัพ ภายในสี่ชั่วโมง สามารถจัดวางการป้องกันได้เสร็จสมบูรณ์ ถึงตอนนั้น บริเวณโดยรอบ ฐานทัพห้าสิบลี้ จะกลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามทางการทหาร ห้ามไม่ให้คน นอกเข้ามาได้” โจวฉียื่นเอกสารในมือส่งไปให้พร้อมรายงาน
หลู่ปิงผงกศีรษะ แรงกดดันของเขานั้นมีมากจริงๆ
เรื่องของ ‘ฮาร์บินเจอร์’ ประเทศใหญ่อื่นๆ ล้วนรู้หมดแล้ว ในกลุ่ม นักสํารวจวิทยาศาสตร์มีสมาชิกจากประเทศใหญ่ทั้งอเมริกา เยอรมัน อังกฤษเป็นต้น เรื่องบางเรื่องไม่ว่าอย่างไรก็ปิดบังไว้ไม่ได้
เรื่องนี้ สําหรับคนธรรมดาแล้ว ในระยะเวลาอันสั้นยังไม่ส่งผล กระทบอะไร
แต่สําหรับประเทศใหญ่เหล่านี้แล้ว กลับเป็นจังหวะและโอกาสที่ พันปีจะมีมาสักครั้ง ยานอวกาศนําข่าวสารและทรัพยากรมากมาย กลับมา มากพอที่จะทําให้โลกตกอยู่ในความคุ้มคลั่งได้
ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมง เหล่าประเทศใหญ่ๆ ล้วนส่งบันทึกการ สนทนาผ่านสถานทูต ไม่เพียงแค่ต้องการจะพาสมาชิกกลุ่มของ ประเทศตนเองกลับเท่านั้น แต่ยังต้องการให้ประเทศจีนส่ง ‘ฮาร์บิน เจอร์’ ออกมาเพื่อทําการวิจัยร่วมกัน
สงครามที่ไร้ควันไฟได้เปิดม่านขึ้นแล้ว
เมื่อถึงตอนนั้น การเจรจาการทูตต่อหน้ามากมาย รวมไปถึง สงครามสายลับภายในพื้นที่ จะเกิดขึ้นรอบๆ ฐานยิ่งดาวเทียมจิ่วเฉวียน จะมีช่องโหว่ใดๆ ไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับดวงชะตาประเทศนับพันปีเลยทีเดียว
พายุลมฝนกําลังเข้ามาแล้ว
…
…
‘ฝ่ามือเหล็กไร้พ่าย’ กู้เฉิงกงเป็นหนึ่งในสี่ผู้รับผิดชอบควบคุม รักษาความปลอดภัยใหญ่ของบริษัทมังกรทะยาน ด้านนอกยังมีอีกชื่อ เรียกพวกของกู้เฉิงกงทั้งสี่คนที่เป็นยอดฝีมือพลังแข็งแกร่ง ว่าเป็น ‘สี่ ยอดเพชร’ แห่งบริษัทมังกรทะยาน
เขาเดิมทีเป็นคนชางโจวจากมณฑลเหอเป่ย ได้รับการสืบทอด ‘ฝ่า มือทรายเหล็ก’ มาจากในครอบครัวตั้งแต่เล็ก กฎเหล็กอันเก่าแก่ สืบ ทอดเพียงในตระกูลไม่แพร่งพรายสู่ภายนอก ถ่ายทอดต่อกันมาทีละรุ่น
แต่ปู่และบิดาของเขา ฝึกฝนวิชาฝ่ามือทรายเหล็กมาทั้งชีวิตก็ยัง ไม่สําเร็จ ยิ่งไปกว่านั้นยังฝึกจนเสียมือไปอีกด้วย กลายเป็นก้อนเนื้อ
กลมสีดํา หลังผ่านการตรวจจากโรงพยาบาล คุณหมอบอกว่ากล้ามเนื้อ ตายจนกลายเป็นพังผืดไปแล้ว ดังนั้นฝ่ามือทรายเหล็กของตระกูลกู้จึง ได้กลายเป็นเรื่องตลกของคนในภูมิลําเนาเดียวกันไป
ตอนยังเล็ก บิดาบีบบังคับให้กู้เฉิงกงฝึก ‘ฝ่ามือเหล็ก’
ด้วยเหตุนี้ บิดากับลูกชายจึงเกือบจะผิดใจกัน
กู้เฉิงกงตั้งแต่เล็กก็รู้สึกว่า วิชาฝ่ามือทรายเหล็กบ้าบอนี่มันก็แค่ ของเล่นของคนโกหกคนหนึ่ง กระทั่งมารดาของเขาก็ยังคัดค้านการ เรียนวรยุทธ์ของลูกชาย กลัวว่าจะฝึกจนเสียมือไปอีก ต่อมาด้วยเรื่องนี้ บิดามารดาของเขาจึงหย่าร้างกัน แต่นี่ก็ไม่ได้ช่วยเหลืออะไร ภายใต้ การบีบบังคับของบิดา เขาก็ยังต้องฝึกฝ่ามือทรายเหล็กต่อมาถึงสิบปี
มือทั้งสองฝึกไปจนเปลี่ยนรูปร่าง
ต่อมาเขาเติบโตขึ้น ออกจากบ้านมาทํางานที่หนานเจียง ตอนนี้ถึง นับว่าหลุดพ้นจากการควบคุมของบิดา
แต่ก็ไม่รู้ว่าทําไม จู่ๆ เขาพบว่าตนเองได้สําเร็จวิชาฝ่ามือทราย เหล็กไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ฝ่ามือทั้งสองฟื้ นฟูกลับมาเป็นปกติ ยิ่งไป กว่านั้นยังสามารถซัดกําแพงจนทะลุได้ด้วยมือเปล่า บิดท่อเหล็กจน ขาด ฝ่ามือเดียวสามารถทิ้งรอยฝ่ามือไว้บนแผ่นเหล็กได้ พลานุภาพ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ในการทะเลาะกับคนอื่นครั้งหนึ่ง เขาได้พลั้งมือสังหารคนจนตาย จึงกลายเป็นอาชญากรหลบหนี
ต่อมาเขาหนีมาที่กานซู่ ขณะที่กําลังหมดสิ้นทางเดินก็ได้มาซ่อน ตัวอยู่ในบริษัทมังกรทะยาน ผลลัพธ์คือได้รับการให้ความสําคัญ ต่อมา ได้แสดงพลังอันแข็งแกร่งออกมา หลังจากที่ทํางานใหญ่สําเร็จหลาย ครั้ง ตําแหน่งเหมือนเรือที่สูงขึ้นตามกระแสน�า จนกลายมาเป็นหนึ่งใน ‘สี่ยอดเพชร’ ของบริษัท เสพสุขกับเงินทองหญิงสาวไม่มีหมด
ครั้งนี้ เมื่อได้ยินว่าลูกน้องถูกเล่นงาน ซ�าอีกฝ่ายยังไม่เห็นบริษัท มังกรทะยานอยู่ในสายตา กู้เฉิงกงจึงรีบพาคนบึ่งรถมาทันที
ใครจะคิดว่าเมื่อได้เจอกัน ‘ตอท่อนใหญ่’ ที่ทําให้คนในบริษัท บาดเจ็บจะเป็นเพียงชายหนุ่มในชุดนักกีฬาอายุราวสิบแปดสิบเก้า เท่านั้น
ดูแล้วน่าจะเป็นกีฬาจากมหาวิทยาลัยไหนกระมัง ทั่วร่างไม่ได้ดูมี พลังอะไรเลย นี่หรือ ‘ตอท่อนใหญ่’ ?
“หัวหน้ากู้ มันนี่ล่ะ” จางจวินจื่อลูบหน้าเดินเข้ามาบอก
“ขยะฝูงหนึ่ง” กู้เฉิงกงด่าขึ้นเสียงดัง จากนั้นเดินไปหาหลี่มู่ ยิ้มเย็น ชาเอ่ยขึ้น “ข้าคิดว่าจะเป็นมังกรข้ามแม่น�าอะไรเสียอีก กล้าไม่เห็น บริษัทมังกรทะยานของพวกเราในสายตา เหอๆ ที่แท้ก็แค่นกกระจอก
หลงทาง กลับกล้าปลอมตัวเป็นพญาเหยี่ยว ไอ้หนุ่ม วันนี้หักแขนตัวเอง สักข้างเป็นค่าไถ่โทษเสีย แล้วข้าจะปล่อยแกไป”
……………………………………