จอมศาสตราพลิกดารา - บทที่ 485 พบเจอความอยุติธรรม
“นี่แหละรสชาติแห่งแดนมนุษย์”
หลี่มู่สูดบะหมี่ลงไปรวดเดียวสิบชามใหญ่ ถึงรู้สึกเต็มอิ่มพอใจ เช็ด มุมปาก
ตอนนี้เอง เขาจู่ๆ คิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ หน้าค้างไปทันที
แย่ล่ะบนตัวไม่มีเงินเลยนี่นา ทําอย่างไรดี?
เป็นถึงเซียนดาบแห่งยุค จะมากินแล้วชักดาบที่นี่ไม่ได้สิ?
กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเสียแล้ว
ดีที่เถ้าแก่ของร้านบะหมี่เป็นคู่สามีภรรยาอายุห้าสิบกว่า หน้าตาใจ บุญ พอเห็นท่าทีของหลี่มู่ก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
คุณลุงผมขาวคาดเอี๊ยมสีน�าเงินเข้มหัวเราะ เอ่ยว่า “พ่อหนุ่ม ลุง ขายบะหมี่ในเมืองอวี้เหมินเขตเมืองเก่านี้มาก็สิบห้าปีแล้ว ไม่เคยเห็น ใครกินบะหมี่แบบพ่อหนุ่มเลย ดูแล้วเธอไม่เหมือนพวกมากินแล้วชัก ดาบนะ ฮ่ะๆ คงจะหิวเอามากๆ เลยสิ ไม่ได้พกเงินมาหรือ? ไม่เป็นไร รอเธอมีเงินแล้วค่อยเอามาจ่ายคืนก็ได้”
หลี่มู่ในใจอับอายจนเหงื่อตก
น่าขายหน้าเสียจริง
จู่ๆ กลับมาถึงดาวโลก ยังปรับตัวกลับมาไม่ได้
“หนุ่มน้อย ไม่ได้กินข้าวมาสามวันสามคืนแล้วกระมัง?”
“ดูจากการแต่งตัว คงไม่ได้เป็นคนจากยุทธจักรใช่ไหม? สังคม ตอนนี้ คนที่วรยุทธ์แข็งแกร่งก็มากขึ้นทุกทีแล้ว”
“ฮ่ะๆ หนุ่มน้อย เธอนี่ยังโชคดีนะ มาเจอกับเถ้าแก่เจิ้ง คนแก่ใจดี แห่งซินเจียโข่ว ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็โดนแจ้งความไปแล้ว”
คนอื่นๆ ในร้าน ล้วนหัวเราะร่ามองมาทางหลี่มู่
เห็นได้ชัดว่าการกินบะหมี่ครั้งนี้ ทําเอาแขกในร้านสั่นสะเทือนจน จับจ้องมาทางหลี่มู่อย่างอยากรู้อยากเห็น
“ขอบคุณท่านลุงเจิ้ง ข้าหิวมากไปจริงๆ แต่ว่าจะไม่ติดเงินแน่นอน ขอออกไปกดเงินจากตู้ก่อนเดี๋ยวจะกลับมา” หลี่มู่หนีเตลิดออกไป
เขาเดินไปทั่วถนนเสียรอบหนึ่ง ในที่สุดก็พบกับร้านขายทอง จึงได้ ผลักประตูเข้าไป
ด้านในร้าน หญิงสาวอายุสี่สิบกว่าสองคนกําลังคุยเล่นอยู่ด้านหลัง เคาท์เตอร์ สําเนียงอวี้เหมินค่อนไปภาษาถิ่น หลี่มู่ยังพอฟังออกอยู่บ้าง
“พี่สาว ร้านของพวกพี่รับซื้อทองคําไหม?” หลี่มู่เอ่ยถามขึ้นตรงๆ ไม่อ้อมค้อม
หญิงสาวที่ดัดผมเป็นลอนเหมือนบะหมี่กึ่งสําเร็จรูปในนั้น มองดู ตัวหลี่มู่ผาดหนึ่ง เอ่ยตอบว่า “รับ แต่จะถูกกว่าราคาปกตินิดหน่อย”
หลี่มู่พยักหน้า ล้วงเอาก้อนทองคําที่เก็บมาจากแผ่นดินใหญ่เสินโจ วก้อนหนึ่งออกจากมิติเก็บของ วางลงบนเคาท์เตอร์
“ก้อนใหญ่ขนาดนี้เชียว?” หญิงสาวผมบะหมี่กึ่งสําเร็จรูปสะดุ้ง ตกใจ
หญิงสาวอีกคนก็ยืนขึ้นมาเช่นกัน เดินมาหน้าเคาท์เตอร์ จ้องมองห ลี่มู่อีกครั้ง ถามขึ้นว่า “น้องชาย น้องไปเอาทองก้อนนี้มาจากไหน? ถ้า เป็นของโจรเราก็ไม่กล้ารับนะ”
หลี่มู่หัวเราะตอบกลับ “วางใจได้ ที่มาของมันไม่มีปัญหา”
“เช่นนั้นรอสักครู่ ฉันจะไปเรียกผู้จัดการมาประเมินค่าเสียหน่อย” หญิงสาวผมบะหมี่หันหลังเดินออกไปด้านประตูหลังร้านทอง
หลี่มู่รออย่างอดทน
ในตอนนี้ เขาก็กําลังเหนี่ยวนํากับกฎเกณฑ์ฟ้าดินบนดาวโลก
กฎเกณฑ์ฟ้าดินของดาวโลกนี้ แตกต่างอย่างชัดเจนกับ แผ่นดินใหญ่เสินโจว ถ้าหากเป็นจอมยุทธ์จากโลกนั้น เมื่อมาถึงโลกใบนี้ พลังคงจะหดหายจากสิบลงไปเหลือไม่ถึงหนึ่ง ขั้นกับพลังการรบคงได้ ล้มคว�าไม่เป็นท่า
หลี่มู่ได้รับผลกระทบเช่นกัน
เขารู้สึกว่า พลังการรบของตนเองในตอนนี้ เหลืออยู่เพียงไม่ถึง หนึ่งส่วนสามของสถานะสูงสุด
แต่ดวงดาวที่อยู่ในจักรวาลเดียวกัน กฎเกณฑ์วิถีสวรรค์ต่อให้มี ส่วนที่แตกต่างกันก็ยังมีจุดหมายที่เหมือนกัน บ่อเกิดแห่งเต๋าล้วนไม่ แตกต่างกัน หลี่มู่ที่เป็นคนยืนอยู่บนจุดสูงสุดโลกวิถียุทธ์ในดวงดาว มุมมองที่เห็นจะปราดเปรื่องสักเพียงไหน?
“ประมาณหนึ่งปี ก็คงจะฟื้ นฟูกลับไปยังระดับสูงสุดได้ ไม่ใช่ ปัญหาใหญ่”
แต่ให้พลังแค่หนึ่งส่วนสาม ก็ยังเพียงพอที่จะควบคุมทั้งหมดบน โลกใบนี้ได้ ต่อให้ต้องต่อต้านกับประเทศมหาอํานาจใหญ่ ก็ไม่ใช่ปัญหา อะไร บนดาวโลกในตอนนี้เขามีพลังอยู่ในระดับที่ไร้คู่ต่อกรแล้ว
หลี่มู่ไม่กังวลแม้เพียงน้อย เขาตอนนี้รู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก “เอ๋?” หลี่มู่สีหน้าเปลี่ยนกะทันหัน
เพราะเมื่อครู่ เขาค้นพบอย่างน่าประหลาดใจ เขาสัมผัสได้ถึงการ ไหลเวียนของพลังวิญญาณฟ้าดินจากในอากาศ
ถึงแม้เมื่อเทียบกับแผ่นดินใหญ่เสินโจว คลื่นพลังวิญญาณนี้จะห่าง ชั้นอยู่มาก แต่จุดนี้มันไม่ปกติ เพราะหลี่มู่จําได้ว่าตอนก่อนที่จะจากโลก นี้ไปเมื่อครั้งนั้น ฟ้าดินไม่ได้มีพลังวิญญาณอะไรอยู่เลยแม้แต่น้อย
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ถ้าหากเมื่อห้าปีก่อนบนดาวโลกมีพลังวิญญาณล่ะก็ เขาก็สามารถ ฝึกฝน ‘วิชาก่อนกําเนิด’ และ ‘หมัดยุทธ์แท้’ ได้ โดยที่ไม่ต้องถูกซินแส เฒ่าส่งออกไปยังแผ่นดินใหญ่เสินโจว
หรือว่าพลังวิญญาณบนดาวโลกเริ่มที่จะฟื้ นฟูกลับมาแล้ว? หรือก็คือ เกิดเรื่องอะไรอื่นๆ ขึ้นมา?
หลี่มู่ค่อยๆ รู้สึกว่า บนดาวโลกน่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางส่วน ที่ตนเองคาดไม่ถึงมาก่อน
ที่ร้านบะหมี่ของคุณลุงเจิ้งก่อนหน้า ก็ได้ยินคนพูดอะไรเกี่ยวกับ ‘คนจากยุทธจักร’ หลี่มู่ตอนนั้นยังคิดว่าพูดหยอกมาเพราะดูละครจอม ยุทธ์มากเกินไป แต่ว่าพอมาคิดละเอียดๆ แล้ว อาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้
เพราะพลังวิญญาณฟ้าดินบนโลกตอนนี้ถึงแม้จะยังบางเบามาก แต่ก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงร่างกายของเหล่าจอมยุทธ์บางส่วน สามารถที่จะสนับสนุนวิชาวิถียุทธ์ระดับต�าบางส่วนได้แล้ว พวกการ เหาะเหินไต่กําแพง กําลังภายในที่คนจีนใฝ่หา ก็ควรที่จะฝึกฝนออกมา ได้บ้างแล้ว
ขณะที่หลี่มู่กําลังพิจารณาอยู่นั้น หญิงสาวผมบะหมี่คนนั้นก็ได้พา ชายหัวเกือบล้านคนหนึ่งเดินมาที่ด้านหน้าเคาท์เตอร์
หลังจากตรวจสอบอย่างมืออาชีพไปครั้งหนึ่ง และผ่านการทดสอบ จากอุปกรณ์อีกครั้ง ชายหัวล้านได้เอ่ยขึ้นอย่างประหลาดใจว่า “ทองคํา บริสุทธิ์ หายากมากเลยนะ…น้องชาย ทองคําก้อนนี้ราคาไม่ธรรมดาเลย ยังมีชิ้นอื่นอีกไหม?”
หลี่มู่สั่นศีรษะ
“กระผมบุ่มบ่ามไปแล้วสินะ” ชายหัวล้านหัวเราะร่าขึ้น รู้ว่าตนเอง ไม่ควรถามเซ้าซี้ เอ่ยต่อว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน ทองก้อนนี้ของเธอ กระผมจะรับซื้อด้วยราคาทองปกติเลย ไม่กดราคาด้วย ถ้าน้องชายมี ของแบบนี้อีกแวะมาหากระผมได้นะ” พูดพลาง ก็ยื่นนามบัตรออกมา หนึ่งใบ เอ่ยต่อว่า “กระผมหวางหลี่ ผู้จัดการใหญ่ร้านทองต้าฟา”
หลี่มู่หัวเราะ รับนามบัตรนั้นมาเก็บไว้และไม่พูดอะไรอีก
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ในที่สุดกระเป๋าสะพายที่ใส่เงินสดนับล้านใบหนึ่ง ก็ได้ถูกจัดเตรียมมา ส่งมอบให้กับมือของหลี่มู่
ชายหัวล้านไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทําไมเด็กหนุ่มคนนี้จึงต้องการเป็น เงินสด ไม่ใช้บัตรธนาคารที่ปลอดภัยยิ่งกว่า ช่วงนี้ทั้งในและนอกเมือ งอวี้เหมินต่างเกิดการโจรกรรมขึ้นบ่อยครั้ง แต่ในเมื่อเป็นความต้องการ ของลูกค้า เขาก็จะไม่พูดอะไรมาก
หลี่มู่สะพายเงินสด หาห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เข้าไปซื้อชุดกีฬา ยี่ห้อหลี่หนิง จากนั้นได้เปลี่ยนเป็นรองเท้ากีฬา เอาเสื้อผ้าเหมือน นักแสดงก่อนหน้าเก็บเข้าไปในมิติเก็บของทั้งหมด
หลังจากที่จัดการเรียบร้อย เขายืนส่องอยู่หน้ากระจกในร้าน โฮ่ นักเรียนมหาวิทยาลัยร่างสูงโปร่งคนหนึ่ง องอาจผึ่งผาย พอมองแล้วก็
เหมือนกับหนุ่มผิวขาวหน้าตาดีที่ใส่เสื้อก็ดูผอมถอดเสื้อก็ดูล�า เหมือนกับนักกีฬาทีมชาติคนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
เขาพอใจกับลุคใหม่ของตนเองอย่างมาก
หลังจากแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จ หลี่มู่จึงเดินกลับมาตามถนน จนถึงหน้าร้านบะหมี่หลันโจวอีกครั้งเพื่อคืนเงิน
ใครจะรู้ว่าเพิ่งเดินมาถึงประตู ก็มองเห็นคนกลุ่มหนึ่งกําลังล้อม ประตูใหญ่เอาไว้ มีเสียงเอะอะสะอื้นไห้ลอดออกมาจากด้านในร้าน บะหมี่
จากนั้นจึงได้ยินเสียงระรานแหลมบาดแก้วหูลอดออกมา
“ลุงเจิ้ง ลุงก็เป็นร้านเก่าแก่ของซินเจียโข่วนะ ทุกคนก็เป็นเหมือน เพื่อนบ้านกัน ฉันก็ไม่ได้จะหลอกลวงอะไรลุง แต่ลุกสาวลุงติดเงินพวก เราอยู่สองแสนสามหมื่น วันนี้ถ้าลุงคืนเงินมา พวกเราก็อยู่กันอย่างสันติ ได้ มิเช่นนั้น ฉันเห็นว่าร้านลุงคงจะเปิดต่อไปไม่ได้แล้ว คงต้องให้ลูก สาวลุงไปทํางานชดใช้หนี้ที่ร้านคาราโอเกะจินปี้ แล้วล่ะ”
จากนั้นชายหนุ่มใส่เสื้อสีฉูดฉาดอายุราวยี่สิบกว่าปีหลายคน ย้าย เก้าอี้มาขวางหน้าประตูร้านบะหมี่เอาไว้
ชายหนุ่มอายุราวยี่สิบกว่าที่เป็นหัวหน้าคนหนึ่ง กลางวันแสกๆ แต่ ใส่แว่นดํา หวีผมไปด้านหลังใส่เจล รูปร่างผอมแห้ง บนคอแขวนโซ่ทอง ไว้หนึ่งเส้น ใช้นิ้วชี้ไปที่จมูกลุงเจิ้งพร้อมก่นด่า
ลุงเจิ้งที่อยู่อีกด้าน ใช้ยิ้มเข้าสู้ พร้อมพูดจาดีด้วย
ด้านในร้าน ยังมีเด็กสาวที่ดูแล้วอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปีอีกหนึ่งคน ลักษณะเป็นนักเรียน ผมสั้นดําชิดหูเก็บรวบไว้อย่างเป็นระเบียบ เรียบร้อย สวยสดงดงาม ในตอนนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ตัวสั่นเทิ้มหดอยู่ในอ้อมกอดของลุงเจิ้ง ร้องไห้ตะโกนออกมา “หนูไม่ได้ ติดเงินพวกเขา เป็นพวกเขาที่คว้าเอามือหนูไปประทับตาลงบนสัญญา ขัดสน พ่อคะ แม่คะ หนูไม่ได้ยืมมาจริงๆ…”
กลุ่มคนที่มองอยู่รอบๆ ทยอยถอนใจ แต่กลับไม่กล้าที่จะพูดอะไร
หลี่มู่ฟังไปไม่กี่ประโยค ในใจก็เข้าใจคร่าวๆ แล้ว
ครั้งนี้ ไม่รู้ว่าทําไมพวกเขาจึงมาเล็งเป้าที่ลูกสาวลุงเจิ้ง วันนี้จู่ๆ ก็ พังประตูเข้ามา บอกว่าเจิ้งซิ่วเอ๋อร์ยืมเงินมา และยังหยิบเอาหลักฐาน สัญญา แจ้งว่าดอกเบี้ยพุ่งไปถึงสองแสนสามหมื่นแล้ว บีบคั้นให้ลุงเจิ้ง ชดใช้เงิน…
“สร้างเวรสร้างกรรมจริงๆ เจ้าพวกจางจวินจื่อ ไม่กลัวคนจะมา แทงข้างหลังบ้างหรือไงกัน”
“ไม่มีใครมาควบคุมดูแลเลยหรือ?”
“จะคุมยังไง? เจ้าพวกอันธพาลนี่ ได้ยินว่าเบื้องหลังมีบริษัทอะไร สักอย่างหนุนหลังอยู่”
“บริษัทมังกรทะยานน่ะสิ แต่ก่อนทําด้านอสังหาริมทรัพย์อยู่ ตอนนี้ได้ยินว่าเลี้ยงเอายอดฝีมือบู๊ลิ้มเอาไว้หลายคน บอกว่าจะเปิดโรง ฝึกยุทธ์อะไรสักอย่าง แล้วพวกยอดฝีมือบู๊ลิ้มพวกนั้น ได้ยินว่าเหาะเหิน เดินกําแพง พลังปราณแข็งแกร่ง ฟันแทงไม่เข้าด้วย กําเริบเสิบสาน อย่างมาก”
“ใช่ๆ หลายปีมานี้ คนฝึกยุทธ์ไม่รู้ว่าทําไมถึงมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ ดันทําให้พวกเขาฝึกฝนออกมาได้จริงๆ น่าเสียดายที่ในนั้นดันมีพวก เดนมนุษย์ ใจกล้าบ้าบิ่น เรื่องอะไรก็ทําออกมาได้หมด”
“จริง ก่อนหน้านี้ที่หมู่บ้านเซี่ยซีเฮ่าก็มีเด็กหนุ่มหลายคนออกมา จากโรงเรียนยุทธ์ วัยหนุ่มเลือดร้อน และเนื่องจากไปยุ่งกับเรื่องของ พวกจางจวินจื่อ ผลลัพธ์เลยถูกคนๆ หนึ่งที่เรียกตัวว่า ‘ฝ่ามือไร้พ่าย’ ไปหาถึงหน้าประตู เล่นงานจนขาหักขาเป๋ ตอนนี้ยังอยู่ในโรงพยาบาล อยู่เลย”
“แจ้งตํารวจสิ”
“ตํารวจก็ช่วยอะไรไม่ได้ เจ้าคนพวกนี้ใช้ช่องว่างด้านกฎหมาย มี หลักฐานการกู้ยืม ไหนจะยังมีทนายเฉพาะทางช่วยเหลือพวกเขาว่า ความอีกด้วย…”
กลุ่มคนที่ล้อมมุง โมโหจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ก็ไม่กล้าที่จะพูด อะไร
หลี่มู่สั่นศีรษะ
เขาแหวกกลุ่มคนเดินเข้าไปทางร้านบะหมี่
“เอ๋? ไอ้หนุ่ม จะทําอะไรน่ะ? ไปๆๆๆ วันนี้ร้านปิดแล้ว…” นักเลง เคราแพะในชุดเบสบอลคนหนึ่ง ในมือถือไม้เบสบอลชี้มายังจมูกหลี่มู่ พร้อมก่นด่า
หลี่มู่ไม่มองเขา หันหน้าไปพูดกับลุงเจิ้งว่า “คุณลุง ผมมาคืนเงิน เมื่อครู่กินบะหมี่ลุงไปสิบชามยังไม่ได้จ่ายเงินเลย”
ลุงเจิ้งรีบร้อนตอบกลับมา “ไม่ต้องแล้วไม่ต้องแล้ว หนุ่มน้อย เธอ รีบไปเถอะ” เขาพยักเพยิดใช้สายตา ให้หลี่มู่รีบเดินออกไป กลัวว่าจะ ถูกดึงเข้ามาพัวพันด้วย
หลี่มู่กลับเดินตรงเข้าไปในร้าน เอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นได้อย่างไรกัน ผมไม่ใช่พวกกินฟรีนะ”
“ให้ตายเถอะ ไอ้เด็กน้อยคนนี้หูหนวกหรือไง ไสหัวไป ได้ยินหรือ ยัง….โอ๊ะโอ๋ ดูท่าเอ็งจะวอนหาเรื่องสินะ” นักเลงชุดเบสบอลพูดออกมา ไม่กี่ประโยค เห็นว่าหลี่มู่ดูเหมือนไม่สนใจตนเอง จึงเปลี่ยนจากรําคาญ กลายเป็นโมโห คว้าไม้เบสบอลจะฟาดลงไปที่แขนของหลี่มู่ ด้วย ความคิดที่จะสั่งสอนเสียหน่อย
“ไม่รู้จักตายจริงๆ” หลี่มู่ยกเท้าขึ้น
ผัวะ!
นักเลงคนนี้ร้องเสียงหลง ลอยหวือออกไปสิบกว่าเมตร โก่งโค้งเอว พังพาบอยู่บนพื้น ครวญครางเหมือนสุนัขตาย กุมท้องแน่น สํารอกเอา ของที่กินลงไปเมื่อวานนี้ออกมาจนหมด
เพียงพริบตา รอบๆ เกิดอาการฮือฮาขึ้น
เท้าเดียวถีบคนลอยไปสิบกว่าเมตร?
เด็กหนุ่มคนนี้ก็เป็นยอดฝีมือบู๊ลิ้มด้วยสินะ
ชายหนุ่มแว่นดําที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าประตูใหญ่พร้อมกับนักเลง อีกห้าหกคนยืนขึ้นกันพรึบพรับ ค่อยๆ เข้าล้อมหลี่มู่เอาไว้ตรงกลาง ถือ อาวุธครบมือ
“ไอ้เด็กน้อย มาจากที่ไหนกันนี่? กล้ามาหาเรื่องกับบริษัทมังกร ทะยานอย่างเราได้?”
ชายหนุ่มแว่นดําจางจวินจื่อถอดแว่นออก ดวงตาปลาทองคู่หนึ่ง เต็มไปด้วยความรู้สึกชั่วร้ายเหมือนเสพสุรานารี จับจ้องมาที่หลี่มู่อย่าง พิจารณา เท้าของหลี่มู่เมื่อครู่ทําเอาเขาไม่กล้าที่จะประมาท
หลี่มู่ไม่พูดจา ยกมือขึ้นฟาดผัวะไปหลายที
นักเลงเหล่านี้ไม่ทันได้รู้สึกตัว เป็นเหมือนกับท่อนซุงที่ถูกดึง ออกไปอย่างไรอย่างนั้น ทั้งหมดถูกกระชากลอยออกไป ฟันร่วงกราว หมดทั้งปาก ลงไปนอนกองอยู่ข้างๆ นักเลงชุดเบสบอล ราวกับสุนัขที่ กระดูกสันหลังหัก ร้องครวญครางกันระงม
…………………………