คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 803 เป็นเจ้า เฉิงเหย่าจิน!
ตอนที่ 803 เป็นเจ้า เฉิงเหย่าจิน!
……….
ฉินหลิวซีเข้าไปในเรือนของตัวเอง เป็นเวลาที่ทุกคนจะต้องเข้านอนแล้ว แต่ผีชายหญิงสองตนที่อยู่บนกำแพงชี้ไปที่ข้างนอกให้นางดู นางชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อเปิดประตูเรือน กลับเห็นสะใภ้หวังถือโคมไฟเดินไปมาอยู่ไม่ไกลจากหน้าประตู
“ท่านแม่ ดึกขนาดนี้แล้วเหตุใดท่านจึงเดินไปเดินมาอยู่ที่นี่”
สะใภ้หวังเงยหน้าขึ้น ฝืนยกมุมปาก เดินเข้ามาหาพลางเอ่ย “ข้ารู้สึกไม่ดีทั้งวันเลย จึงอยากจะมาเดินเล่นที่เรือนของเจ้า คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกลับมาแล้ว”
นางคุ้นเคยกับการไปมาแบบไม่ให้สุ่มให้เสียงของฉินหลิวซีแล้ว เดินมาที่นี่ก็เพื่อวัดดวงเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะโชคดีขนาดนี้ ได้พบนางพอดี
เมื่อฉินหลิวซีได้ฟังก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แม่ลูกจิตผูกพัน เกิดเรื่องกับฉินหมิงเยี่ยน นางก็เลยไม่สบายใจ
นางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วดึงมือสะใภ้หวังเข้าไปในเรือน ให้มาที่ห้องของตัวเอง ฉีหวงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงตามมา เมื่อเห็นทั้งสองคนก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นฉินหลิวซีก็กำชับว่า “ในเตายังมีไฟอยู่หรือไม่ ไปตุ๋นน้ำแกงลำไยใส่เม็ดบัวกับพุทรามา”
ฉีหวงตอบรับด้วยรอยยิ้ม รีบไปต้มชามาสองถ้วยทันที คนละหนึ่งถ้วย
“ในวันปกติท่านก็สามารถต้มดื่มเองได้ ช่วยบำรุงม้ามให้แข็งแรง บำรุงชี่ และเลือด ทำให้จิตใจสงบ มีประสิทธิภาพในการรักษาอาการนอนไม่หลับและใจสั่นเป็นอย่างดี” ฉินหลิวซีเอ่ยกับสะใภ้หวังว่า “ปีนี้อากาศหนาวเร็วขึ้น ดึกขนาดนี้อย่าออกไปเดินเล่นในลาน หากเป็นไข้ขึ้นมาจะได้ไม่คุ้มเสีย”
“ข้ารู้ว่าควรใส่ใจเรื่องสุขภาพ เพียงแต่ข้ารู้สึกกระวนกระวายใจ จึงได้ออกมาเดินเล่น” สะใภ้หวังตักน้ำแกงเม็ดบัวมาทาน มองนางพลางเอ่ย “ข้าเห็นว่าเจ้าผอมลงไปมาก กลับมาครั้งนี้ก็อยู่ที่เรือนให้มากหน่อย อย่าทรมานตัวเองมากเกินไป ใบหน้าเจ้าแทบจะไม่มีเนื้อแล้ว”
ฉินหลิวซีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่สักพัก หลังจากกินน้ำแกงหวานเสร็จ นางก็ไปส่งสะใภ้หวังกลับไปที่เรือนด้วยตัวเอง ซ้ำยังมอบกำยานสงบจิตให้หนึ่งกล่อง แต่ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องของฉินหมิงเยี่ยน
หากบอกไปเกรงว่าสะใภ้หวังจะล้มลงทันที คนก็กลับมาไม่ได้ หากพานางไปก็ไม่เพียงแต่เป็นที่สะดุดตาซ้ำยังจะยิ่งเสียใจไปกันใหญ่จึงไม่บอกจะดีกว่า
ฉินหลิวซีกลับมาหลับที่ห้อง หลังจากตื่นนอนก็เอาขวดยารักษากระดูกมาจากเรือนโอสถ และเพิ่มยาทาลบรอยแผลเป็นและบำรุงผิวอีกหนึ่งขวด รวมถึงยารักษาอาการบาดเจ็บภายในและยาจินชวงสมานแผล ห่อเป็นถุงสัมภาระหนึ่งใบ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปทางด้านซีเป่ย
เมื่อฉินเหมยเหนียงและบุตรสาวทั้งสองกลับมาจากเมืองหลวง นายหญิงผู้เฒ่าก็ลากพวกนางมาถามคำถามมากมาย อยากจะเชิญนางไปพูดคุยด้วย แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงา
ฉินหลิวซีอยู่ที่ไหนน่ะหรือ ในเวลานี้นางได้แสร้งทำเป็นเคาะประตูเรือนตระกูลฉินในเมืองอู่ที่มีห้องเล็กๆ ไม่กี่ห้อง
ผู้ที่มาเปิดประตูคือผู้ที่มีสัมพันธ์ที่ดีต่อท่านอารองผู้นั้น เมื่อเห็นนางก็ร้องตะโกนว่าผีมาแล้ว
ฉินหลิวซี “!”
กลางวันแสกๆ ท่านบอกว่าข้าเป็นผี เลอะเลือนไปแล้วกระมัง!
เมื่อฉินปั๋วชิงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว ก็รีบมาหา เมื่อเห็นฉินหลิวซี ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความดีใจ “ซีเอ๋อร์”
เมื่อเขาเห็นว่าในมือของฉินหลิวซีถือสัมภาระใบใหญ่อยู่ก็รีบเชิญให้เข้ามา เขาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ที่เมื่อคืนนางหายตัวไปกลางอากาศแล้วตอนนี้ก็มาปรากฏตัวอีกครั้ง แต่ก็ไม่กล้าซักไซ้
แต่นี่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคที่ทำให้เขาและคนทั้งตระกูลขอบตาดำ เฝ้าฉินหมิงเยี่ยนพลางคิดไปด้วยทั้งคืนว่าคนหายไปกลางอากาศเช่นนี้ได้อย่างไร หรือว่าจะเป็นอภินิหารในตำนานของลัทธิเต๋า
ลัทธิเต๋าเก่งกาจขนาดนั้นเชียวหรือ ทั้งๆ ที่ควันธูปของศาสนาพุทธรุ่งเรืองกว่า!
เมื่อได้ยินว่าฉินหลิวซีมาแล้ว บรรดาบุรุษตระกูลฉินที่พึ่งหรี่ตาขึ้นตอนรุ่งสางก็พากันลืมตาแล้วรีบมาหา สายตาที่มองฉินหลิวซีราวกับเห็นเทพเซียนอะไรทำนองนั้น
ฉินหลิวซีพยักหน้าเบาๆ ถามว่า “ฉินหมิงเยี่ยนมีอาการตัวร้อนหรือไม่”
“ไม่มี ต้องขอบคุณพระโพธิสัตว์ที่คุ้มครอง ยาที่เจ้าให้เขากินก็ไม่รู้ว่าคืออะไร บาดแผลเจ็บสาหัสเช่นนี้แต่ก็ไม่ได้มีอาการตัวร้อน สีหน้าก็ดีขึ้นไม่น้อย” ฉินปั๋วชิงไม่ได้หลับตาเลย เฝ้าฉินหมิงเยี่ยนตลอดทั้งคืน
“หมายความว่าท่านอาสามเฝ้าทั้งคืนเลยหรือ” ฉินหลิวซียิ้มใบหน้านิ่งพลางเหลือบมองฉินปั๋วหง
ฉินปั๋วหง “…”
สายตาเช่นนี้ กำลังตำหนิข้าเป็นนัยๆ อยู่หรือ
ใบหน้าของเขาแดงก่ำ อยากจะอธิบายว่าเขางีบหลับไปเพียงครู่เดียว แต่ฉินหลิวซีหันหน้าเดินเข้าไปในห้องเลย
ฉินปั๋วชิงกลับถูกคำเรียกว่าท่านอาสามทำให้รู้สึกสับสนไปหมด ตามเข้าไปอย่างมีความสุข ตั้งแต่ที่เด็กคนนี้ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขามาจนถึงตอนนี้ ทุกคนทั้งหมดในห้องนี้ นางยอมรับตัวเขาแค่คนเดียวกระมัง
แม้แต่บิดาผู้ให้กำเนิด นางก็ยังไม่เรียกด้วยซ้ำ
มีความสุขเหลือเกิน
ในห้อง ฉินหลิวซีมองดูสีหน้าของฉินหมิงเยี่ยน อดรู้สึกปวดใจกับยาหุยชุนที่ตัวเองกลั่นออกมาไม่ได้ ยาหุยชุนมูลค่ากว่าหมื่นตำลึงทอง สิ่งที่นำมาปรุงล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าทั้งนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือยาชนิดนั้น ขาโสมของปีศาจโสมน้อย มีฤทธิ์ทำให้คนตายกลับมามีชีวิตอีกครั้ง นางปรุงออกมาได้เพียงสามเม็ดเท่านั้น
แน่นอน แม้ว่าปรุงออกมาได้สามเม็ด แต่ผงยาเหล่านั้นนางได้ขูดออกมาจากเตาปรุงยาหมดแล้ว เติมแป้งข้าวเหนียวนวดลงไปกลายเป็นน้ำตาลก้อนเล็กขนาดเท่าถั่วเขียวหนึ่งขวด ไม่ดีเท่ายาหุยชุนที่แท้จริง แต่ก็ดีกว่ากำลังยาของโสมธรรมดาทั่วไปเป็นอย่างมาก
ตอนนี้ เด็กคนนี้ได้ยาหุยชุนไปหนึ่งเม็ด หากยังผ่านไปไม่ได้ เช่นนั้นก็เสียยาลูกกลอนดีๆ ไปหนึ่งเม็ดโดยเปล่าประโยชน์จริงๆ
ฉินหลิวซีจับข้อมือฉินหมิงเยี่ยนมาตรวจชีพจร ชีพจรมั่นคง หัวใจมีกำลัง นับว่าไม่เลว
“เป็นอย่างไรบ้าง น้องสามของเจ้าไม่เป็นอะไรแล้วกระมัง” ฉินปั๋วหงเบียดฉินปั๋วชิงออกไป ถามอย่างกระตือรือร้น เขาไม่ได้มีสีหน้าเป็นกันเองเหมือนฉินปั๋วชิงเช่นนั้น แสร้งทำเป็นเบ่งอำนาจสงวนท่าทีราวกับว่าข้าเป็นบิดาของเจ้า
ฉินหลิวซีกลับเพิกเฉยต่อท่าทางวางตัวเป็นบิดาของเขา เอ่ยประชดประชันว่า “ได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ นอนพักหนึ่งคืนก็ไม่เป็นอะไรแล้ว หากข้าบอกว่าใช่ แล้วท่านจะเชื่อหรือ”
ฉินปั๋วหง “…”
เด็กคนนี้นี่มันอะไรกัน เอ่ยเหน็บแนมทุกประโยค หรือว่ามีหนามที่ลิ้น!
ฉินหยวนซานได้ยินถึงความเหลืออดและความรำคาญในน้ำเสียงของฉินหลิวซี ถอนหายใจในใจ หากต้องการให้สนิทสนมกลมเกลียว เกรงว่าจะยากแล้ว
“ซีเอ๋อร์ เยี่ยนเอ๋อร์จะฟื้นเมื่อไหร่หรือ ข้าเห็นว่าสีหน้าของเขาดีขึ้นมาแล้ว” ฉินปั๋วชิงมองออกถึงความอึดอัดและความหดหู่ของพี่ใหญ่ จึงถามพลางเบียดเขาออกไป
สำหรับฉินปั๋วชิง ฉินหลิวซีกลับไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับเขามากนัก ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาเสียมือไปหนึ่งข้างหรือไม่ แต่นิสัยกลับยังคงร่าเริง หรือว่าเป็นเพราะฉินหมิงเป่าพวกเขาสามคนพี่น้อง
“ใกล้ฟื้นแล้ว”
ทันทีที่ฉินหลิวซีเอ่ยจบ เปลือกตาของฉินหมิงเยี่ยนก็กระตุก ไม่นานดวงตาทั้งสองข้างก็ค่อยๆ ลืมขึ้น
“ฟื้นแล้ว ฟื้นแล้วจริงๆ ด้วย” ทุกคนต่างดีใจกันใหญ่ ทยอยกันล้อมวงเข้ามา
ฉินปั๋วหงตื้นตันจนขอบตาแดง โน้มตัวเข้าไปหา ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “เยี่ยนเอ๋อร์ เจ้าฟื้นขึ้นสักที ทำเอาพ่อตกใจจะแย่อยู่แล้ว”
“เยี่ยนเอ๋อร์ เจ็บตรงไหนหรือไม่ ไม่สบายตรงไหนหรือไม่” ฉินหยวนซานก้าวไปข้างหน้าด้วยความสั่นเทา
ฉินหมิงเยี่ยนรู้สึกเวียนศีรษะ หลังจากที่ดวงตาเริ่มค่อยๆ เพ่งเล็งได้ ความทรงจำก็ค่อยๆ หลั่งไหลมาราวกับน้ำท่วม ทำให้หน้าอกของเขารู้สึกถึงอาการบวมและเจ็บปวด รวมถึงรู้สึกปวดศีรษะ เมื่อกำลังจะขยับ ทั้งร่างกายราวกับพังทลายแล้วถูกจัดระเบียบใหม่ เจ็บไปทั้งตัว
เดิมทีเขามีใบหน้าที่นับว่าดูดี แต่เนื่องจากความเจ็บปวด ทำให้สีหน้ากลับมาไร้สีสัน ซีดเซียวไปหมด
“หากยังขยับ ไม่เจ็บก็ให้มันรู้ไป!” น้ำเสียงเย็นยะเยือกทะลุเข้าไปในแก้วหูของฉินหมิงเยี่ยน
ใครกัน น้ำเสียงฟังดูคุ้นหู
เขามองไปตามเสียง คนผู้หนึ่งที่มัดผมทรงหางม้ายกสูงเข้ามาในสายตา “เป็นท่าน!”
เฉิงเย่าจินผู้นั้นที่หลอกลวงเขาในตรอก