คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 793 ศัตรูที่รับมือได้ยากมาแล้ว
ตอนที่ 793 ศัตรูที่รับมือได้ยากมาแล้ว
……….
เรื่องทางด้านวัดหนาหมัวจบลงแล้ว เมื่อฉินหลิวซีจะไปที่วังหลิงซวี เริ่นถิงก็มาหานางด้วยสีหน้าลังเลที่จะเอ่ยปาก
ฉินหลิวซีถอนหายใจ ส่ายหน้าพลางเอ่ยว่า “ขออภัย ทางด้านในหุบเขาก็ได้ลองหาแล้ว ข้าก็หาสองจิตหกวิญญาณของท่านแม่เจ้าไม่พบ”
สีหน้าของเริ่นถิงราวกับเถ้าถ่าน
“วังหลิงซวีจะเป็นโอกาสสุดท้าย หากที่นั่นก็ไม่มี เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะถูกหล่อหลอมหรือควบคุมเป็นทาสผีแล้ว”
เริ่นถิงถอยหลังสองก้าว เม้มริมฝีปาก โค้งคำนับนาง หันหลังแล้วเดินจากไป
หลานซิ่งมองนางตาปริบๆ
“ยังคงยืนยันคำเดิม เจ้ารออยู่ที่นี่” ฉินหลิวซีเอ่ยกับหลานซิ่ง
หลานซิ่งสีหน้ามืดมน ก้มหน้าลง
ฉินหลิวซีขี้เกียจจะมาดูแลอารมณ์ของเขา จัดการกับเรื่องนี้ นางก็รู้สึกรำคาญมากพอแล้ว และยิ่งกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ อยากจะเอาชื่อเจินจื่อมาจัดการฆ่าทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอด
ความรีบร้อนนี้ทำให้นางระมัดระวังมากขึ้น
ผิดปกติเกินไปแล้ว!
ทิ้งหลานซิ่งไว้ จากนั้นนางก็ใช้วิชาย่นระยะทางแล้วจากไป มุ่งหน้าไปยังวังหลิงซวี
เมื่อหนึ่งชั่วยามที่แล้ว ตอนที่หลุมศพในหุบเขาถูกฉินหลิวซีทำลาย นักพรตฉางเหมยผู้หนึ่งกำลังโคจรมหาจักรวาลรู้สึกเจ็บที่หน้าอก มีเลือดไหลออกมาที่มุมปาก
เกิดอะไรขึ้น ค่ายอาคมทางด้านหลุมศพถูกทำลาย?
เป็นฝีมือใครกัน
นักพรตฉางเหมยอดลุกขึ้นไม่ได้ มาที่วิหารหลักของวังหลิงซวี มองไปยังเด็กหนุ่มที่นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อดหดตัวไม่ได้
ตั้งแต่ที่คนผู้นี้มาที่นี่ เขาก็รู้สึกราวกับว่าดวงวิญญาณของเขาถูกกดทับ ถูกควบคุมไปเสียทุกอย่าง ไม่มีพลังที่จะต้านทานได้
นักพรตฉางเหมยเหลือบมองพระพุทธรูปองค์นั้น หลับตาลงทันที ถอนหายใจเบาๆ กดที่หัวใจ ให้ใจที่สั่นคลอนสงบลง
“ยืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น มีอะไรก็ว่ามา” เด็กหนุ่มลืมตาขึ้น ใบหน้าอันงดงามละเอียดอ่อนทำให้นักพรตฉางเหมยเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจ เขารูปร่างงดงามเกินไปแล้ว หากดวงตาอ่อนโยนกว่านี้ เช่นนั้นก็คงเป็นกระต่ายขาวตัวน้อยที่ไร้เดียงสา
แต่ใบหน้างดงามละเอียดอ่อนนี้ กลับมีดวงตาที่เย็นชา ซึ่งทำลายใบหน้าที่สวยงามมากไปโดยไร้ประโยชน์
นักพรตฉางเหมยสูดหายใจ เอ่ยว่า “ท่านเจ้าสำนัก ค่ายอาคมหลุมศพทางด้านหุบเขาวัดหนาหมัวถูกทำลาย เกรงว่าจะเกิดเรื่องแล้ว”
เด็กหนุ่มสีหน้าเย็นชา เอ่ยว่า “เจ้าเข้ามา”
นักพรตฉางเหมยเดินเข้าไปในวิหาร คนผู้นั้นเห็นโหวงเฮ้งของเขา สีหน้าดูแย่ขึ้นเรื่อยๆ มีร่องรอยของความโมโหปรากฏขึ้นในสายตาอย่างรวดเร็ว
คนใกล้จะตาย
อีกฝ่ายมีโหงวเฮ้งว่าจะตาย มีชีวิตอยู่ได้ไม่นานแล้ว คาดว่าคนผู้นั้นที่ทำลายหุบเขาจะหาที่นี่พบแล้ว
เขาไม่ได้แสดงอะไรบนใบหน้า แต่กลับคำนวณข้อนิ้วทำนายอย่างรวดเร็ว ด้วยการชี้แนะของเทพเจ้า ทั้งยังยึดร่างเด็กหนุ่มผู้นี้ได้อย่างสมบูรณ์ วิชาเต๋าของเขาล้ำไปหนึ่งขั้น ใช้เวลาอยู่พักใหญ่จึงได้ทำนายออกมา
“เป็นนางอีกแล้ว ไม่ไปผุดไปเกิดเสียที” ชายหนุ่มสีหน้ามืดครึ้ม เอ่ยกับนักพรตฉางเหมยว่า “ไปเปิดค่ายอาคมใหญ่ เตรียมพร้อมสักหน่อย มีศัตรูที่รับมือได้ยากมาแล้ว”
นักพรตฉางเหมยตกตะลึง ศัตรูที่รับมือได้ยาก? เขาเห็นสีหน้าหวาดกลัวบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม ในใจยิ่งมืดมนกว่าเดิม แม้แต่เขาก็ยังกลัว เช่นนั้นผู้ที่มาจะเป็นบุคคลที่เก่งกาจเพียงใด
“เจ้าสำนักรู้จักหรือ”
“แน่นอนว่ารู้จัก หากเอ่ยตามตรง นับว่าเป็นศิษย์หลานของข้า คิดไม่ถึงว่าข้ามาหลบอยู่ที่นี่แล้ว นางก็ยังตามหาจนเจอ” เด็กหนุ่มก็คือชื่อเจินจื่อ แสยะยิ้ม “เลิกพูดมากแล้วรีบไปจัดการเตรียมตัวซะ”
เขากลับไม่รู้ว่าฉินหลิวซีไม่ได้ตามหาเขาอย่างจริงจัง เพียงแค่สังเกตเห็นถึงเบาะแสบางอย่างจึงได้ตามมา แต่นี่ก็ทำให้ชื่อเจินจื่อเข้าใจผิดแล้ว
เขามองดูมือทั้งสองข้างของตัวเองและร่างกายนี้ เอ่ยตามตรง ร่างกายนี้เป็นร่างกายที่เขาพอใจมากที่สุดจากที่เคยยึดร่างมาหลายครั้ง ไม่เพียงแต่อายุยังน้อย รูปร่างงดงาม ซ้ำแปดอักษรเวลาตกฟากก็ตรงกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคนผู้นี้ยังเป็นคนจากโลกอื่นอีกด้วย
หากไม่ใช่เช่นนั้น แม้ว่าจะได้รับคำชี้แนะจากเทพเจ้า เขาก็คงไม่สามารถฟื้นตัวเร็วขนาดนี้ สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือดวงวิญญาณของคนผู้นี้ยังไม่ได้ถูกเขาหล่อหลอมอย่างสมบูรณ์แบบ
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ กลับเป็นเรื่องของฉินหลิวซี เขาอดนึกถึงวันที่ถูกไฟแผดเผาบังคับให้ละทิ้งร่างไม่ได้ ความรู้สึกที่ถูกเผาไหม้ดวงวิญญาณได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทำให้เขาอดตัวสั่นไม่ได้
นั่นคือไฟอะไรกัน
ในความสับสนนี้ มีความเคลื่อนไหวในส่วนลึกของแท่นวิญญาณเล็กน้อย ชื่อเจินจื่อดวงตาเฉียบคม มือทั้งสองข้างร่ายคาถา ระงับวิญญาณที่แตกสลายครึ่งหนึ่งของหลานโย่ว “อยากจะฟื้นอำนาจกลับคืนมา? เจ้าฝันไปเถอะ!”
ชื่อเจินจื่อลุกขึ้น หยิบธูปไปบูชาหน้าพระพุทธรูป ก้มศีรษะลงที่เท้าของเขา “ข้าแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โปรดประทานพลังแห่งความปรารถนาแก่ข้า ศิษย์ยินดีที่จะรับใช้ท่านไปชั่วกัปชั่วกัลป์”
ฉินหลิวซีเจ้าเด็กเมื่อวานซืน ไม่จบไม่สิ้นกันเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องดี หากต้องเผชิญหน้ากับนางตรงๆ เขาก็ลังเลเล็กน้อย โดยเฉพาะหลังจากที่ได้รับร่างกายอันล้ำค่าเช่นนี้
เขาเป็นคนหวงแหนชื่อเสียงของตัวเองมาโดยตลอด โดยเฉพาะหลังจากที่รับใช้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขายิ่งต้องการที่จะกลายเป็นผู้รับใช้เทพเจ้าที่เก่งกาจที่สุด เมื่อถึงเวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นสู่การเป็นเทพเจ้า ตัวเองก็จะได้ประโยชน์ไปด้วย เช่นนั้นจะไม่ดียิ่งกว่ามีชีวิตเป็นอมตะหรือ
ที่เขาต้องการเป็นอมตะก็เพราะไม่อยากตายไม่ใช่หรือ ขึ้นสู่ความเป็นเซียน ก็เท่ากับเป็นอมตะ ซ้ำดีเลิศกว่าเป็นอมตะเสียอีก
ดังนั้นเขาจึงไม่อยากพัวพันกับคนบ้าบิ่นอย่างฉินหลิวซีผู้นี้ แต่ฝ่ายตรงข้ามเอาแต่ตามหลอกหลอนอยู่ตลอด จะตามมาหาให้ได้
“จะต้องจัดการนางให้ตาย” ชื่อเจินจื่อมองพระพุทธรูป มีร่องรอยความขุ่นเคืองปรากฏขึ้น หากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยเขาได้ก็คงดี เช่นนั้นเขาก็ไม่มีห่วงอะไรแล้ว รับใช้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างใจจดใจจ่อ
ทันทีที่มีความคิดนี้ ศีรษะของเขาก็รู้สึกเจ็บจี๊ด มึนราวกับถูกฟ้าผ่า สีหน้าซีดขาว
เขาคุกเข่าลงอย่างแรง เอ่ยขออภัยซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เขาเป็นศิษย์ที่รับใช้เทพเจ้า จะให้เทพเจ้าช่วยแก้ไขปัญหาให้เขาได้อย่างไร
เขาผิดไปแล้ว
พักอยู่ครู่หนึ่ง ชื่อเจินจื่อก็ลุกขึ้นมา เขาไม่สามารถนั่งรอความตายได้ จะต้องไปจัดการนางหนูที่ตามจองเวรจองกรรมผู้นั้น
เขามองไปยังรูปปั้นตรงหน้า เกิดความคิดขึ้นมาในหัว มีวิธีแล้ว
นางต้องการจะมีเรื่องกับตัวเองไม่ใช่หรือ เช่นนั้นก็ไปจัดการอาจารย์ของนาง ตาเฒ่าชื่อหยวนผู้นั้นคงจะเป็นจุดอ่อนของนางกระมัง
หากเอาชื่อหยวนมาบังคับให้นางละทิ้งตบะ ไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ ก็สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ ซ้ำยังสามารถโจมตีชื่อหยวน กระทั่งแก้แค้นที่เขาทำให้ตัวเองต้องตายและสูญเสียวิชาเต๋าในตอนนั้น ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
จะรอช้าไม่ได้ อาศัยจังหวะที่นางใช้วิชามาที่นี่ เขาก็ชิงไปจับตัวชื่อหยวนก่อน
ชื่อเจินจื่อจัดการเก็บข้าวของ จากนั้นก็เปิดเส้นทางหยินแล้วหายตัวไป
เมื่อนักพรตฉางเหมยเห็นว่าเขาจากไปก็มีสีหน้ามืดครึ้ม ทิ้งตัวเองไว้ที่นี่เป็นโล่กำบังหรือ
ตู้ม
ค่ายอาคมใหญ่ถูกทำลาย นักพรตฉางเหมยมองดูผู้ที่โผล่มากลางอากาศ เป็นคนที่ดูรูปร่างหน้าตางดงามและอ่อนเยาว์เป็นอย่างมาก เจ็บปวดหัวใจ
หนุ่มสาวสมัยนี้ ล้วนเป็นผู้ที่เก่งกาจกันหมดเลยหรือ ค่ายอาคมใหญ่ก็ขวางไว้ไม่ได้แม้แต่อึดใจเดียว?
ฉินหลิวซีเดินไปหานักพรตฉางเหมย เมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาของเขาชัดเจนก็ขมวดคิ้ว ข้างกายนางคือเฮยซาที่พึ่งมาสมทบกับนางเมื่อครู่นี้ ยังไม่ทันได้งัดไม้เด็ด นักพรตเฒ่าฝ่ายตรงข้ามก็ยกมือขึ้นทันที
“นักพรตเฒ่าอย่างข้า เป็นเพียงบริวารเท่านั้น ทนต่อการต่อสู้ได้ไม่กี่ครั้ง คนเก่งกาจผู้นั้นพึ่งจะใช้เส้นทางหยินหนีไปแล้ว” นักพรตฉางเหมยคิดในใจ สองต่อหนึ่งเขาสู้ไม่ได้แน่ๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่คนผู้นั้นบอกว่าคนผู้นี้เป็นศัตรูที่รับมือได้ยาก คิดจะเอาตัวเองมาเป็นโล่กำบังแล้วเขาก็หนีไปอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ!
เฮยซา “?”
ฉินหลิวซี “…”
นี่เป็นการแทงข้างหลังหรือ