คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 783 สัญชาตญาณผิดพลาด
ตอนที่ 783 สัญชาตญาณผิดพลาด
เนื่องจากฮูหยินเริ่นไม่อยู่ ดังนั้นในห้องพระเล็กจึงไม่ได้มีการจุดธูปบูชา แต่กลิ่นฉุนของไม้จันทน์หอมจากกำยานทรงกรวยทำให้ฉินหลิวซีที่เดินเข้ามาในห้องพระรู้สึกระอาใจและวิงเวียนเล็กน้อย
นอกจากกำยานทรงกรวยแล้ว ยังมีการถวายดอกไม้สดและผลไม้ เพียงแต่สองวันนี้ไม่ได้เปลี่ยน จึงไม่ค่อยสดใหม่แล้ว ดอกไม้ก็เริ่มเหี่ยวเฉา และด้านหลังโต๊ะบูชา มีแท่นไม้จันทน์แดงงดงาม มีพระพุทธรูปประดิษฐานอย่างสง่างาม นอกจากนี้ยังมีกระถางธูปทองสีม่วงขนาดเล็กตั้งอยู่หน้าพระพุทธรูป
เพียงแค่เหลือบมองฉินหลิวซีก็รู้ว่าพระพุทธรูปองค์นั้นเหมือนกับพระพุทธรูปที่อยู่กับตัวเอง แต่ก็ไม่ได้เหมือนกันทั้งหมดเนื่องจากสีที่แตกต่าง
พระพุทธรูปในห้องพระมีสีแดงจางๆ เต็มไปด้วยพลังงานเลือด ทำให้พระพุทธรูปองค์นั้นดูชั่วร้ายมากขึ้น ทำให้ผู้ที่เห็นเกิดความหงุดหงิด
“เหตุใดจึงได้เป็นสีนี้” เริ่นถิงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เขาไม่เคยเห็นสีนี้มาก่อน
เริ่นหมิงกวงก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก พระพุทธรูปองค์นี้ดูไม่น่าพึงใจและน่าขยะแขยงกว่าที่เคยเห็นก่อนหน้านี้
ฉินหลิวซีก้าวไปข้างหน้าสองก้าว มองดูพระพุทธรูปที่แฝงไว้ด้วยพลังงานเลือดองค์นั้น ขมวดคิ้ว กล่าวว่า “ให้คนไปตรวจดูบนร่างกายของฮูหยินสักหน่อยว่ามีบาดแผลหรือไม่”
เริ่นถิงตกใจ “ท่านเจ้าอาวาสน้อยหมายความว่าอย่างไร”
“นางอาจจะสละตนเพื่อรับใช้พระพุทธเจ้าจริงๆ แสดงถึงความตั้งมั่นตั้งใจ” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียดสีประชดประชัน
เริ่นหมิงกวงได้ฟังดังนั้นก็สีหน้ามืดครึ้ม “เลอะเลือน นางเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ”
ในขณะที่รอบ่าวรับใช้ไปตรวจดู ฉินหลิวซีได้หยิบพระพุทธรูปองค์นั้นขึ้นมา ร่องรอยพลังงานเลือดชั่วร้ายพยายามไหลเข้าไปในร่างกายของนาง เยือกเย็น เหน็บหนาว
ฉินหลิวซีสีหน้าเย็นชา มือมีความร้อนขึ้นมา ราวกับพลังงานเลือดชั่วร้ายพบกับศัตรูตัวฉกาจ ถอยออกไปทันที พระพุทธรูปที่อยู่ในมือเกิดรอยแตกร้าวขึ้นเล็กน้อย
เสียงฝีเท้าวิ่งมาด้วยความเร่งรีบ เป็นบ่าวรับใช้ที่กลับมา เอ่ยกับเริ่นหมิงกวงและคนอื่นๆ ว่า “รายงานนายท่าน จากการตรวจสอบนิ้วของฮูหยิน มีรอยมีดกรีดเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
เริ่นหมิงกวงรูม่านตาหดลง “ตอนเปลี่ยนเสื้อผ้าเหตุใดจึงไม่บอก”
หากอยู่บนนิ้วมือจริงๆ ก็ควรจะเห็นได้ง่าย แต่ไม่มีใครเอ่ยถึงรายละเอียดเหล่านี้เลย
บ่าวรับใช้คุกเข่าลง ตัวสั่นเทา เอ่ย “บ่าว บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ”
“ไปเรียกจ้าวหมัวหมัวมา”
ฉินหลิวซีไม่ได้สนใจพวกเขา ถามถึงแปดอักษรเวลาตกฟากของฮูหยินเริ่น นางถือพระพุทธรูปพลางหลับตาลงเล็กน้อย มือข้างหนึ่งร่ายคาถา เรียกสองจิตหกวิญญาณที่หายไปของฮูหยินเริ่นในใจอย่างเงียบๆ
จากการใช้เลือดนี้เป็นสื่อกลาง ตามหลักแล้วจะเรียกมาได้ไม่ยาก แต่ดวงวิญญาณของฮูหยินเริ่นไม่กลับมา
ฉินหลิวซีหยุดวิชาเรียกวิญญาณ สีหน้ามืดครึ้ม เรื่องนี้เริ่มยุ่งยากแล้ว
และจ้าวหมัวหมัวก็ได้สารภาพภายใต้การบีบคั้นของเริ่นหมิงกวง เพื่อแสดงถึงความตั้งมั่นตั้งใจแล้ว ฮูหยินเริ่นได้ใช้เลือดที่ปลายนิ้วรับใช้พระพุทธเจ้ามาเป็นเวลาหลายวันแล้ว แต่นางไม่ให้ใครเผยแพร่ออกไป
คนที่อยู่รอบตัวฮูหยินเริ่นล้วนเป็นคนสนิทของนาง ย่อมจงรักภักดีต่อนาง แม้จะคิดว่าการสักการะบูชาพระพุทธเจ้าเช่นนี้นั้นไม่เหมาะสม แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร จึงพากันปิดบัง
เริ่นหมิงกวงโกรธเป็นอย่างมาก ถีบนางกระเด็น “คนแก่หงำเหงือกอย่างเจ้านี่มัน ฮูหยินเลอะเลือนแล้ว พวกเจ้าก็ทำเรื่องโง่เขลาไปด้วยหรือ มีใครที่ไหนบูชาพระพุทธเจ้าโดยการใช้เลือดทาบนพระพุทธรูป ก็ไม่รู้จักรังเกียจว่าจะสกปรกและโชคร้ายบ้างหรือ”
จ้าวหมัวหมัวโขกศีรษะขอความเมตตาไม่หยุด คำพูดของเจ้านาย พวกนางก็ไม่กล้าไม่เชื่อฟัง
เริ่นหมิงกวงอยากจะอาละวาดอีก แต่ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเอาความเรื่องนี้ เจ้าเล่ามาเถิดว่าตอนที่ฮูหยินไปที่ห้องพระเล็กในคืนนั้นเจ้าได้ตามเข้าไปด้วย รู้หรือไม่ว่านางเอ่ยอะไรบ้าง”
จ้าวหมัวหมัวส่ายหน้า “เปล่าเจ้าค่ะ ฮูหยินไม่ให้พวกเราตามเข้าไปด้วย” นางหยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “แต่บ่าวได้ยินวาจาคลุมเครืออยู่สองสามคำ ฮูหยินบอกว่าเต็มใจอะไรสักอย่าง ประมาณว่าจะรับใช้ตลอดไปเจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีเม้มริมฝีปาก ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ ก็พอจะนึกออกแล้วว่าฮูหยินเริ่นได้เอ่ยสิ่งใดต่อหน้าพระพุทธรูป
ด้วยพฤติกรรมที่เกือบจะบ้าคลั่งของนาง ดวงวิญญาณหายไปมากกว่าครึ่ง เกรงว่าจะเอาดวงวิญญาณของตัวเองบูชาสิ่งที่เรียกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ไปแล้วกระมัง
“เจ้าอาวาสน้อย?”
ฉินหลิวซีบอกถึงการคาดเดาของตัวเอง สองคนพ่อลูกสีหน้าเปลี่ยนไป ถามว่า “จะเกิดอะไรขึ้นหากเซ่นไหว้แล้ว”
ฉินหลิวซี “การเซ่นไหว้คือการบวงสรวง กฎของสวรรค์และโลกจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย และยิ่งเป็นการสมัครใจด้วยตัวเองก็ยิ่งไม่สนใจ”
อะไรคือการสมัครใจน่ะหรือ คือการที่ตัวเองยินยอมพร้อมใจ วิถีสวรรค์จะไปสนใจเจ้าทำไม!
ทุกอย่างเป็นการเลือกของตัวเจ้าเอง
เริ่นหมิงกวงและบุตรชายได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งหน้าซีดลงกว่าเดิม
เริ่นถิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ถามว่า “หากเป็นเช่นนั้น แล้วเหตุใดหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณยังอยู่”
“ประการแรกคือการยึดติด ประการที่สองคือมีเครื่องรางหรือยันต์คุ้มภัยอะไรบางอย่างคุ้มครอง หนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณจึงไม่ได้ให้นางจากไปโดยสิ้นเชิง”
“ลูกประคำ เป็นลูกประคำเจ้าค่ะ” จ้าวหมัวหมัวเงยหน้าขึ้น เอ่ยว่า “คืนนั้นหลังจากที่ฮูหยินออกมาจากห้องพระ ลูกประคำไม้จันทน์แดงที่นางสวมใส่อยู่เป็นประจำก็ขาดเจ้าค่ะ เป็นอาจารย์หยวนทง เจ้าอาวาสวัดหนิงอู่ปลุกเสกให้ฮูหยินด้วยตัวเอง ใส่มาเป็นเวลาหลายปี ปกติจะมีความมันวาวเป็นอย่างมาก แต่หลังจากที่ขาดก็…”
นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง โขกศีรษะคำนับแล้วเดินออกไป ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับกล่องสีแดงใบเล็ก เอ่ยว่า “ลูกประคำที่ขาดเหล่านั้นบ่าวได้เก็บไว้ในนี้หมดแล้วเจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีรับมาเปิดดู ลูกประคำที่อยู่ข้างในนั้นไม่เพียงแต่ไม่แวววาว ซ้ำบางเม็ดก็มีรอยแตกร้าว ไม่ได้มีความมันวาวอย่างที่จ้าวหมัวหมัวเอ่ยมา
“หากเป็นพระภิกษุผู้บำเพ็ญขั้นสูงเป็นผู้มอบให้ เช่นนั้นลูกประคำนี้ก็ช่วยกันไม่ให้หนึ่งจิตหนึ่งดวงวิญญาณของนางที่เหลืออยู่นี้ออกจากร่างไปจริงๆ” ฉินหลิวซียื่นกล่องให้เริ่นถิง
พวกเขาทุกคนรู้ว่าฮูหยินเริ่นสวมลูกประคำไม้จันทน์แดงมาเป็นเวลาหลายปี และรู้ว่ามันแวววาวเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้กลับหม่นหมอง
ต้องเป็นเพราะสกัดกั้นสิ่งชั่วร้ายจึงได้สูญเสียพลังอาคมของมัน
เริ่นถิงรู้สึกหวั่นใจ ข่าวร้ายติดต่อกันเช่นนี้ ไม่ได้ดีไปกว่าที่รู้ว่าท่านแม่ไม่ได้ตายจริง แต่กลับแย่กว่าเดิม เนื่องจากดวงวิญญาณที่สูญหายนี้เกรงว่าจะหายไปเพราะการสมัครใจเซ่นไหว้ของตัวท่านแม่เอง เช่นนั้นก็เท่ากับคนที่ตายทั้งเป็น รอความตาย!
เริ่นหมิงกวงหลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง หางตาแดงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านึกถึงสิ่งที่บุตรชายกำลังคิดอยู่ในใจเช่นกัน ทั้งรู้สึกโกรธและหมดปัญญา
ทำบาปทำกรรม ไม่ควรมีชีวิตอยู่
การกระทำนี้ของภรรยา เป็นการรนหาที่ตาย!
ทั้งน่าสงสารและน่าสมเพช
เริ่นถิง “ท่านเจ้าอาวาสน้อย ยังสามารถหาดวงวิญญาณท่านแม่ของข้ากลับคืนมาได้หรือไม่”
ฉินหลิวซีเอ่ย “เมื่อครู่นี้ข้าได้ลองอัญเชิญวิญญาณแล้ว แต่ไม่มีการตอบสนอง”
เริ่นถิงจุกอยู่ที่คอ
ฉินหลิวซีมองไปยังจ้าวหมัวหมัวอีกครั้ง ถามว่า “วัดนี้ชื่ออะไร อยู่ที่ไหนหรือ”
“เป็นวัดหนาหมัวที่เขาว่านฝอเจ้าค่ะ”
ถุงสัมภาระที่ฉินหลิวซีแบกอยู่มีความเคลื่อนไหวเล็กน้อย “นี่คือวัดอะไร ไยข้าจึงไม่รู้ว่ามีวัดนี้ด้วย”
ทุกคนตกใจ มองไปรอบๆ ใครกำลังพูดอยู่
ฉินหลิวซีตบถุงสัมภาระ เตือนอย่างไร้เสียงว่า ‘หากยังพูดพล่ามจะโยนเจ้าลงกระทะร้อน อย่างไรเสียก็จะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว จะได้อุ่นท้องพอดี!’
คางคก ‘คนเลว!’
“เจ้าแน่ใจหรือว่านั่นคือวัดหนาหมัว” ฉินหลิวซีขมวดคิ้วพลางเอ่ย “ไม่ได้ชื่อว่าวังหลิงซวี?”
หรือว่าตัวเองเดาผิดไปหรือ
หรือว่าพระพุทธรูปมารนี้ไม่ใช่สุนัขต่ำช้าซื่อหลัวผู้นั้น
“ไม่เคยได้ยินชื่อวังหลิงสวีมาก่อน มีวัดเช่นนี้ด้วยหรือเจ้าคะ” จ้าวหมัวหมัวสับสนเป็นอย่างมาก
หลานซิ่งที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ผิดหวังอยู่มากเหมือนกัน ใบหน้างดงามเย็นชา
ฉินหลิวซีเอ่ยกับหลานซิ่งว่า “พวกเราไปสำรวจวัดหนาหมัวนี้กันก่อน”
สัญชาตญาณผิดไป มักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ไปสำรวจหนาหมัวก่อน แล้วค่อยตามหาหลิงซวี