คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 769 ว่างเปล่า
ตอนที่ 769 ว่างเปล่า
ฉินหลิวซีมองกิมเซียมซูที่ทำจากทองคำบริสุทธิ์อย่างมีความสุข ถอนหายใจด้วยความสบายใจ จนกระทั่งเห็นชิ้นส่วนของมันที่ได้รับความเสียหายจากพิษของกิมเซียมซูต่ำช้าตนนั้น ก็หน้าเขียว หันไปมองอย่างเงียบๆ
เจ้าสุนัขต่ำช้า ทำลายความสมบูรณ์แบบ
กิมเซียมซู “!”
เดี๋ยวนะ สายตาเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร
มันยอมจำนนแล้ว แต่ยังคงมีสายตาที่อยากจะฆ่ามันอยู่หมายความว่าอย่างไร
“ท่านเจ้าอาวาสน้อย หลานชายของข้า…” จงจิ้นซื่อลูบมือพลางมองฉินหลิวซีตาปริบๆ รับปากแล้วว่าจะช่วยหาดวงจิตหลานชายของเขากลับมา เหตุใดจึงเอาแต่มองกิมเซียมซูตนนี้ไม่ขยับเลย
ฉินหลิวซีอุทานขึ้นมา ลืมไปเลย
“ไปเถอะ”
ฉินหลิวซีกลับไปที่ห้องของจงปั๋วเหวิน ปล่อยดวงจิตที่เลี้ยงไว้ในขวดหยกออกมา นำเขากลับคืนสู่ที่เดิม จากนั้นก็ละลายยันต์หนึ่งแผ่นลงไปในน้ำ ให้สะใภ้เฉิงป้อนเขาดื่ม
“การดื่มน้ำมนต์มีประโยชน์จริงๆ หรือนี่” จงจิ้นซื่อรู้สึกมหัศจรรย์ นี่ไม่ใช่กลอุบายของนักต้มตุ๋นหรอกหรือ
ฉินหลิวซีมุมปากกระตุก เอ่ย “ยันต์ปลุกเสกของข้า แช่ในน้ำสมุนไพรที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษ แน่นอนว่าได้ผล”
“แล้วบุตรชายข้าจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่หรือ” สะใภ้เฉิงถามอย่างกระตือรือร้น
“คางคก ยังไม่เข้ามาอีก” ฉินหลิวซีมองออกไปด้านนอก
กิมเซียมซูใจสั่น รู้สึกอยากร้องไห้อีกครั้ง มันเปลี่ยนจากกิมเซียมซูกลายเป็นคางคกจริงๆ แล้ว ฮือๆ
มันกระโดดเข้ามาอย่างไม่เต็มใจนัก
ฉินหลิวซีเอ่ย “คืนให้เขา”
“อะไรนะ”
กิมเซียมซูกลอกตาสีแดงของมัน เอ่ย “ไหนเลยจะยังเหลืออยู่ หล่อหลอมไปหมดแล้ว”
“ไม่มีหรือ” ฉินหลิวซีสบถอย่างเย็นชา “หากไม่มีพลังชีวิตและโชคของดาวเหวินฉวี่ค้ำจุนไว้ เจ้าที่ถูกกระจกปีศาจเล่นงาน ไหนเลยจะยังมีชีวิตชีวามาพูดพล่ามเช่นนี้ได้ ของคนอื่นไม่มี แต่ของวันนี้ จะมากจะน้อยก็ยังมี เร็วเข้า อย่าบังคับให้ข้าต้องลงมือ”
เทพเฟิงตู ‘ช่างเถิด อย่างไรเสียก็ไม่ใช่เครื่องรางวิเศษของข้าแล้ว นางอยากจะเรียกอย่างไรก็เรียก’
กิมเซียมซูยังอยากจะโต้แย้ง แต่ภายใต้การจ้องมองอย่างเอาเป็นเอาตายของฉินหลิวซี จึงคายพลังชีวิตออกมาอย่างไม่เต็มใจอีกครั้ง
ทันทีที่พลังชีวิตออกมา ก็กลับคืนสู่ร่างของจงปั๋วเหวินโดยปริยาย ไฟบนไหล่ของเขาที่ดับลงก็สว่างขึ้นอีกครั้งในทันที เพียงแต่อ่อนแอมาก แต่สีหน้าไม่ได้แย่เช่นนั้นแล้ว
ในทางกลับกัน เมื่อกิมเซียมซูสูญเสียพลังชีวิตนี้ก็เหี่ยวเฉายิ่งกว่าเดิม ดูอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงเป็นอย่างมาก เดิมทีร่างกายที่สะบักสะบอมก็หมองคล้ำไร้แสงอยู่แล้ว ทั้งแห้งกร้านและมีรอยเหี่ยวย่น ยิ่งน่าเกลียดกว่าเดิม
เมื่อฉินหลิวซีเห็นว่ามันใกล้จะตายแล้ว จึงให้เถิงเจาไปเอากล่องหยกใบใหญ่ใบหนึ่งมา ให้กิมเซียมซูเข้าไปพักฟื้น นางแกะสลักอักขระลงบนกล่องหยก สามารถหล่อเลี้ยงดวงวิญญาณได้
กิมเซียมซูประทับใจเล็กน้อย
ฉินหลิวซี “อย่าเข้าใจผิด ข้ากลัวว่าหากเจ้าตายแล้วจะไม่มีใครนำทางไปที่ถ้ำแห่งนั้นได้”
นางอยากรู้ว่าที่ถ้ำแห่งนั้นมีความลึกลับอะไรกันแน่
กิมเซียมซู ‘ความประทับใจให้สุนัขกินไปเถิด ไม่คุ้มค่า!’
“ฟื้นแล้ว ฟื้นแล้ว” สะใภ้เฉิงตะโกนเรียกอย่างตื่นเต้น
ทุกคนหันไปมอง เห็นจงปั๋วเหวินลืมตาขึ้น ไม่รู้ว่าคิดอะไรได้ ตะโกนร้องสีหน้าซีด “ท่านแม่ ข้าเห็นคางคกตัวใหญ่เท่าบ้านอ้าปากจะกินข้า น่ากลัวมาก”
ทุกคน “…”
ฉินหลิวซีจ้องไปที่กิมเซียมซู ดูผลกรรมที่เจ้าก่อ!
กิมเซียมซูกระโดดเข้าไปในกล่องหยก หลับตาแกล้งตาย
สะใภ้เฉิงปลอบโยนเขา น้ำตาไหลพราก
ฉินหลิวซีก้าวเข้าไปจับชีพจร เขียนใบสั่งยาสงบจิตใจออกมาหนึ่งใบ แล้วให้ยันต์ปราบปีศาจไล่สิ่งชั่วร้ายวางไว้ใต้หมอนหนึ่งแผ่น ก่อนจะออกจากห้องไป
จงจิ้นซื่อเดินตามทุกย่างก้าว ถามว่า “ท่านเจ้าอาวาสน้อย เสี่ยวเหวินของข้าดีขึ้นแล้วใช่หรือไม่ แล้วก็ยังมีคนตระกูลจงของพวกเรา พลังชีวิตที่สูญเสียไปอะไรนั่นดีขึ้นแล้วหรือ”
หัวหน้าตระกูลจงก็มองนางตาใส
ฉินหลิวซีกล่าวว่า “มีประโยคหนึ่งที่กิมเซียมซูพูดถูก มันเรียกทรัพย์สินเงินทองให้พวกท่าน พวกท่านสละอายุขัยและพลังชีวิตให้มัน นี่คือการแลกเปลี่ยน ผู้ที่ถูกมันเอาไปแล้ว ได้ถูกหล่อหลอมกลายเป็นพลังของมันแล้วเอากลับคืนไม่ได้ แต่ก็จะไม่สูญเสียอีก ทำบุญกุศลให้มาก มีแต่ดีไม่มีผลเสีย ส่วนหลานชายของเจ้าผู้นี้ นับว่าโชคดีเล็กน้อย วันนี้ถูกดูดซับแต่ยังไม่ถูกหล่อหลอมทั้งหมด จึงเอากลับมาได้เล็กน้อย แต่อายุขัย…”
จงจิ้นซื่อใจเต้นแรงด้วยความเป็นกังวล
“อายุขัยที่เซ่นไหว้ไปแล้วนั้นเอากลับคืนมาไม่ได้ พลังชีวิตก็เคยถูกดูดซับไป หลังจากนี้ร่างกายอาจจะอ่อนแอลงเล็กน้อย ตอนนี้ไฟทั้งสามดวงของเขาได้สว่างขึ้นมาใหม่ แต่อ่อนแอเล็กน้อย จะดึงดูดวิญญาณร้ายได้ง่าย” ฉินหลิวซีมอบเครื่องรางหยกให้เขา “นี่คือเครื่องรางหยกคุ้มภัยให้แคล้วคลาด ให้เขาพกติดตัวไว้ อีกอย่างให้ตากแดดให้มาก ออกกำลังกายบ่อยๆ จะทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุด ต้องมีจิตใจที่เมตตา สะสมบุญกุศลให้มาก”
เมื่อได้ยินว่าอายุขัยของหลานชายที่เซ่นไหว้ไปแล้วเอากลับคืนมาไม่ได้ จงจิ้นซื่อก็หมดหวัง และเมื่อได้ยินว่าร่างกายของหลานชายอ่อนแอและดึงดูดวิญญาณร้ายได้ง่าย น้ำตาก็ไหลเอ่อออกมา
เพียะๆ
หัวหน้าตระกูลจงตบหน้าตัวเองสองที เอ่ยพึมพำว่า “เป็นความผิดข้า เป็นความผิดข้าทั้งหมด”
จงจิ้นซื่ออยากจะตำหนิเขา แต่กลับพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว คนทำกิจการแสวงหากำไร คนโลภมีมากมาย ตาเฒ่าในตระกูลของเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น โลภไปเพียงชั่วขณะ แต่กลับกลายเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่
“แล้วตระกูลของพวกเรา?”
ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบว่า “ไม่มีกิมเซียมซูแล้ว ก็เลิกคิดเรื่องเรียกทรัพย์สมบัติไปได้เลย ต่อไปตระกูลจงของพวกท่านก็เตรียมพร้อมล้มละลายเถิด”
หัวหน้าตระกูลจงตกตะลึง “ล้มละลาย?”
“มันเรียกทรัพย์สมบัติให้พวกท่าน ก็คือการแย่งทรัพย์สมบัติของผู้อื่นมา ก่อนหน้านี้เอามาเท่าใดก็ต้องสูญเสียไปเท่านั้นจึงจะยุติธรรม” ฉินหลิวซีมองเขาอย่างเฉยเมยพลางเอ่ย “ต่อไปกิจการของพวกท่านอาจจะทำอะไรก็ขาดทุน ที่ข้าบอกท่านว่าจะสูญเสียทรัพย์สมบัติของตระกูลไปมากกว่าครึ่งนั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น อย่างไรเสียก็ต้องสูญเสียทรัพย์ ไม่สู้นำทรัพย์สมบัตินี้มาทำบุญกุศล สะสมคุณงามความดีให้กับลูกหลานตระกูลจงของพวกท่าน”
หัวหน้าตระกูลจงหัวเราะเยาะตัวเอง “หมายความว่าที่ทำงานหนักตลอดหลายปีที่ผ่านมา สุดท้ายก็เหลือเพียงแค่ความว่างเปล่า”
“การบูชากิมเซียมซูสามขานับว่าสามารถเรียกทรัพย์สมบัติและความเป็นมงคลได้จริงๆ เพียงแต่พวกท่านบูชาของปลอมจึงได้มีจุดจบเช่นนี้”
กิมเซียมซูปลอม ‘ข้าก็แกล้งตายไปแล้ว เลิกพูดถึงข้าได้แล้ว!’
ในตอนกลางคืน จงจิ้นซื่อจัดแจงที่อยู่ให้ฉินหลิวซีและคนอื่นๆ วันรุ่งขึ้นก็ได้ไปจากหมู่บ้านตระกูลจง
ฉินหลิวซีไม่รู้ว่าตระกูลจงจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร วิหารศักดิ์สิทธิ์ถูกทิ้งแล้ว กิมเซียมซูปลอมก็ถูกนางเอาไป การติดต่อของทั้งสองฝ่ายถูกตัดขาดแล้ว พลังชีวิตของคนตระกูลจงก็จะไม่สูญเสียอีก แต่หากอยากจะเป็นเหมือนก่อนหน้านี้ที่ทำอะไรก็ราบรื่นนั้นเป็นไปไม่ได้ ทำอะไรก็จะขาดทุน สิ่งที่ได้มาจะสูญเสียออกไป เมื่อถึงจุดหนึ่งแล้วย่อมหยุดลง
ก่อนไปจากหมู่บ้านตระกูลจง ฉินหลิวซีตั้งใจไปหาจงปั๋วเหวินโดยเฉพาะ พูดคุยตามลำพังสองสามประโยค
หลังจากที่พวกเขาจากไป จงจิ้นซื่อจึงถามหลานชายของเขาว่าฉินหลิวซีเอ่ยอะไรกับเขา
“ท่านปู่ ไม่มีอะไรขอรับ นางเพียงให้ข้าไปเรียนที่สำนักศึกษาจือเหอ ฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของเจ้าสำนักถัง” จงปั๋วเหวินยื่นจดหมายแนะนำหนึ่งฉบับให้เขา แต่กลับไม่ได้บอกสิ่งที่ฉินหลิวซีเอ่ยทั้งหมด
เจ้าอาวาสน้อยบอกว่าอายุขัยของเขาอยู่ได้ไม่นาน ต้องทำประโยชน์รับใช้ราษฎร เป็นขุนนางที่ดี จะต้องมีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย
“ท่านปู่ จะมีการเปลี่ยนแปลงกับตระกูลจง เกรงว่าท่านปู่ทวดจะมีความคิดแต่ไร้เรี่ยวแรง ท่านลาออกจากสำนักศึกษากลับมาดูแลสถานการณ์โดยรวมเถิด” ท่านเจ้าอาวาสน้อยยังบอกอีกว่าท่านปู่ของเขาไม่มีโอกาสที่จะได้เป็นขุนนาง เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอยู่ที่สำนักศึกษาแล้ว กลับมาดูแลที่ตระกูลเถิด
ตระกูลจงของพวกเขาจะต้องตกอยู่ในความวุ่นวายอยู่สักระยะหนึ่ง
หลังจากที่ฉินหลิวซีจากไป มีบุรุษวัยสามสิบกว่าปีผู้หนึ่งเข้ามาในหมู่บ้านตระกูลจง กลับมาถึงเรือน วางเทวรูปเล็กในอ้อมแขนที่ห่อด้วยผ้าไหมสีแดงบนโต๊ะบูชา กรีดนิ้ว เลือดหยดลงบนแท่นดวงจิตของเทวรูป คุกเข่ากราบไหว้ด้วยความศรัทธา ตราบใดที่บูชาด้วยความศรัทธา มหาเทพก็จะคุ้มครองให้เขาอายุยืนยาว การสูญเสียพลังชีวิตอะไรนั่นจะไม่เกิดขึ้น
เมื่อได้ฟังคำอธิษฐานนี้ ใบหน้าที่อ่อนโยนแต่เดิมของเทวรูป ดูเหมือนจะมีรอยยิ้มอันชั่วร้าย