คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า - ตอนที่ 482 โจรย่องเบามาจากไหน
ตอนที่ 482 โจรย่องเบามาจากไหน
ติงโส่วซิ่นกล่าวไว้ไม่ผิด ใช้เงินปัดเป่าภัยพิบัติ เขาให้สิ่งที่เรียกว่าค่าน้ำมันตะเกียงไปแล้ว ฉินหลิวซีก็หยุดลงมือ
เวลากลางคืน ฉินหลิวซีไปที่จวนติงเพื่อเก็บยันต์ต่างๆ กลับมา แวะฟังที่มุมกำแพง เห็นว่าพวกเขาหวาดกลัวและคาดเดาเกี่ยวกับนางมากแค่ไหน จากนั้นก็จากไปอย่างไม่แยแส
หวาดกลัวก็ดี ทำอะไรจะได้ระมัดระวัง ไม่ไปทำเรื่องไม่ดีอีก
และในวันต่อมา ตระกูลติงก็ได้ส่งวัตถุดิบยาและของขวัญวันตรุษจีนมากมายมาให้จริงๆ แต่ถูกตระกูลฉินส่งคืนกลับมาทั้งหมด บอกว่าจะไม่รับของขวัญโดยเปล่าประโยชน์ สิ่งนี้ทำให้ตระกูลติงโกรธมาก
แสดงว่าตระกูลฉินไม่ได้ตั้งใจที่จะยอมถอยให้พวกเขา และยิ่งไม่ได้คิดที่จะไว้หน้าพวกเขาด้วย
แต่โชคดีที่ต่อมาไม่ได้มีเรื่องโชคร้ายเกิดขึ้น คนที่ป่วยก็ดีขึ้นแล้ว ร่างกายก็ไม่ได้รู้สึกหนักอึ้งหรือเหนื่อยล้าเหมือนก่อนหน้านี้ การรับรู้ได้ถึงสิ่งนี้ทำให้ทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ยังรู้สึกหดหู่และระมัดระวังยิ่งขึ้น
ความแตกต่างที่ชัดเจนเช่นนี้ ต้องเป็นฝีมือของปีศาจเต๋าฉินหลิวซีผู้นั้นที่เคยลงมือทำอย่างเงียบๆ เมื่อก่อนหน้านี้แน่ๆ
และนางก็มีความสามารถนี้จริงๆ
เมื่อติงโส่วซิ่นนึกถึงเรื่องนี้ ก็ออกคำสั่งกับทุกคนในตระกูลติงทันที จะต้องไม่ขัดแย้งกับตระกูลฉินเป็นอันขาด มิเช่นนั้นจะถูกลงโทษอย่างรุนแรงตามกฎของตระกูล ไม่ว่าคนตระกูลติงจะโกรธแค่ไหนก็ทำได้เพียงเชื่อฟังคำสั่ง ใครจะไปกล้าแข็งข้อกับปีศาจเต๋า
เมื่อไม่มีคนตระกูลติงมาสร้างปัญหาแล้ว ชีวิตของตระกูลฉินก็กลับมาสู่ความเงียบสงบ หากไม่ใช่เพราะนางฉินผู้เฒ่ายังไม่หายดี ทุกคนคงคิดว่าการมาเยี่ยมเยียนอย่างหยิ่งผยองของตระกูลติงนั้นเป็นเพียงแค่ความฝัน
ณ ซีเป่ยที่ไกลออกไป บรรดาบุรุษหลายคนของตระกูลฉินมองดูลานเล็กหนึ่งประตูทางเข้าที่สะอาดสะอ้านตรงหน้า ก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังฝันไป
เรือนหลังใหม่ ไม่มีรอยรั่ว มีหลายห้อง เพียงพอสำหรับครอบครัวพวกเขาที่มีหกคน ซ้ำยังมีห้องครัว ลานเล็กอยู่ห่างจากบ่อซื้อน้ำเพียงแค่หนึ่งช่วงถนน สะดวกเป็นอย่างมาก
ฉินปั๋วชิงมองผู้ดูแลที่พาพวกเขามาที่นี่ด้วยสีหน้าซีดเซียว ถามด้วยความไม่อยากเชื่อว่า “ผู้ดูแลจ้าว นี่คือบ้านที่ให้พวกเราอยู่จริงๆ หรือ”
“ทำไมหรือ หรือรังเกียจที่มันดูสง่าไม่พอ” ผู้ดูแลจ้าวเหลือบมองเขา
ฉินปั๋วชิงรีบส่ายหน้า กล่าวว่า “ไม่ใช่เช่นนั้น เพียงแค่รู้สึกว่าข้ามีสิทธิ์ได้รับด้วยหรือ”
เรือนที่เดิมทีพวกเขาอาศัยอยู่นั้นก็สามารถอยู่ได้ แต่ก็ทรุดโทรม เมื่อเทียบกับเรือนที่อยู่ตรงหน้านี้ ต่างกันราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ
และเขาก็เป็นเพียงแค่บ่าวรับใช้ เหตุใดผู้ดูแลจึงได้จัดบ้านดีๆ เช่นนี้ให้เขา
ไม่เพียงแค่นั้น ทั้งครอบครัวยังมีงานที่ดีและเบาขึ้น พี่ใหญ่ได้เป็นคนทำบัญชีที่หอสุรา ส่วนของพี่รองนั้นแย่กว่าเล็กน้อย แต่ก็ไม่ต้องไปทำงานในเหมืองแร่ที่อันตรายแล้ว แต่ไปทำงานเป็นลูกหาบในร้านอาหาร
ส่วนตัวเองถูกผู้ดูแลจ้าวพามาเป็นบ่าวรับใช้วิ่งทำธุระงานเล็กๆ น้อยๆ
ผู้ดูแลจ้าวมองไปยังบรรดาบุรุษทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่หลายคนเหล่านั้น เอ่ย “เพียงแค่ได้รับการไหว้วานให้ช่วยดูแลก็เท่านั้น”
มีบุญขนาดนั้นเลยหรือ แน่นอนว่าเป็นเพราะสุสานบรรพบุรุษมีควันสีเขียวออกมา และได้ให้กำเนิดเด็กสาวที่มีความสามารถ
ได้รับการไหว้วาน?
ฉินหยวนซานโน้มตัวพลางเดินไปข้างหน้า ยกมือขึ้นคารวะพลางเอ่ย “ไม่ทราบว่าผู้มีพระคุณมีนามว่าอย่างไร ในภายภาคหน้าพวกเราจะได้ตอบแทนบุญคุณ”
ผู้ดูแลจ้าวเอ่ย “เมื่อสมควรให้พวกเจ้ารู้ก็จะบอกแก่พวกเจ้าเอง เพียงแค่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอย่าสร้างปัญหาก็พอ ส่วนฉินปั๋วชิง…”
เขาเหลือบมองแขนเสื้อซ้ายที่ว่างเปล่าของฉินปั๋วชิง กล่าวว่า “หลังจากตรุษจีนก็อยู่ทำงานข้างกายข้า แน่นอนว่าหากเจ้ายอมรับความแตกต่างอันใหญ่หลวงจากคุณชายผู้สูงศักดิ์กลายเป็นบ่าวรับใช้ทำธุระให้ผู้อื่นไม่ได้ก็ไม่ต้องมา”
ฉินปั๋วชิงรีบเอ่ย “ผู้ดูแลจ้าวแนะนำ ไม่อาจไม่เชื่อฟัง”
ผู้ดูแลจ้าวพยักหน้า ดึงถุงเงินออกจากเอวแล้วโยนให้เขา “ฉลองตรุษจีนอย่างสงบสุขเถิด จริงสิ ข้างในยังมีจดหมายและสิ่งของที่ตระกูลฉินของพวกเจ้าส่งมาด้วย”
หลังจากที่เขากล่าวจบกำลังจะจากไป ฉินปั๋วชิงได้รีบเดินไปส่งเขา
หลังจากที่ส่งผู้ดูแลจ้าวกลับไปแล้ว หลายคนก็พากันมองหน้ากันด้วยความสับสน ฉินหยวนซานเอ่ยว่า “ไม่รู้ว่าใครแอบดูแลอย่างลับๆ พวกเราจึงได้โชคดีเช่นนี้ ช่างเถิด ตามที่ผู้ดูแลจ้าวกล่าว เมื่อพวกเราควรรู้ก็จะรู้เอง เจ้าสามจากนี้ไปเจ้าติดตามผู้ดูแลจ้าวต้องกระตือรือร้นให้มาก ไปเถิด เข้าไปดูว่าคนทางบ้านส่งอะไรมาบ้าง
กลุ่มคนประคองกันเดินเข้าไปในเรือนใหม่ มองดูห้องที่สะอาดสดใส ความเศร้าโศกเมื่อก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะหายไปไม่น้อย
หากไม่มีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น พวกเขาอาจจะอยู่ที่นี่เป็นเวลาหลายปี หรือแม้กระทั่งตลอดชีวิต
…
หิมะตกหนักหลายพื้นที่ในต้าเฟิง และด้วยเหตุนี้ถนนหลายสายจึงถูกปิด
ณ เชิงเขาอารามชิงผิง มีคนขี่อยู่บนหลังม้าหลายคนสวมเสื้อคลุมหนา เมื่อเห็นว่าขึ้นได้มาถึงไหล่เขาของอารามเต๋าแล้ว ก็แทบอยากจะร้องไห้ด้วยความดีใจ
ในที่สุดก็ถึงแล้ว
แควก
ผ้าม่านหนาของรถม้าที่อยู่ตรงกลางที่พวกเขาคุ้มกันอยู่ถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าที่มีหนวดเครา มองดูยอดวิหารสีทองที่ส่องแสงสะท้อนมาที่รถม้า
ภายในรถมีบุรุษผู้หนึ่งตะโกนออกมา “สยงเอ้อร์ ถ้าเจ้าแรงเยอะกว่านี้ รถม้าคันเดียวที่มีนี้จะถูกเจ้าทำลายแล้ว”
สยงเอ้อร์สูดอากาศเย็นเข้าไปจนจมูกแดง เอ่ยว่า “เจ้าจะไม่อนุญาตให้ข้าตื่นเต้นหน่อยหรือ ในที่สุดก็มาถึงเสียที จิ่งเสี่ยวซื่อ หากยังไม่ถึงอีก เกรงว่าพวกเราจะต้องฉลองตรุษจีนกลางถนนแล้ว หากเป็นเช่นนั้นจะอนาถเกินไปแล้ว ฮือ ฮือ”
จิ่งเสี่ยวซื่อสบถ เหลือบมองหลังคาทอง ก่อนจะเอ่ยอย่างรังเกียจว่า “รีบปิดผ้าม่าน หนาวจะตายอยู่แล้ว”
ขณะที่พูดก็จามออกมาอีกสองที
พวกเขาใช้เวลามากกว่าสองเดือนในการเดินทางจากหมู่บ้านที่เซียงหนานมาจนถึงอารามชิงผิง การเดินทางครั้งนี้เรียกได้ว่ามีความคดเคี้ยวและยากลำบากเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่หยุดพักเพราะป่วย ก็เป็นเพราะติดอยู่กลางทางเนื่องจากหิมะตกหนัก เมื่อยังพอมีทางไปได้บ้าง รถม้าก็ลื่นไถลตกลงไปในคูน้ำ ทำให้เสียรถม้าไปหนึ่งคัน โชคไม่ดีอย่างยิ่ง
กลุ่มคนถูกทรมานจนสงสัยในชีวิต ทำเอาคุณชายผู้บอบบางอย่างจิ่งเสี่ยวซื่ออารมณ์เสีย หากไม่ใช่เพราะเส้นทางกลับเมืองหลวงนั้นยากกว่า เขาก็อยากจะกลับจวนไปแล้ว
อย่างไรก็ตามยิ่งมีความคิดนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่าการยอมแพ้กลางทางจะเป็นการสูญเปล่ามากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นจึงได้บุกป่าฝ่าดงมาตลอดทาง ยิ่งล้มเหลวก็ยิ่งกล้าหาญมากขึ้น
ตอนนี้ก็ได้มาถึงในที่สุด
ไม่ต้องพูดถึงความตื่นเต้นของสยงเอ้อร์ แม้แต่จิ่งเสี่ยวซื่อก็รู้สึกอยากจะร้องไห้เช่นกัน
หากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่กลับไปยังแวดวงของจอมเสเพลในเมืองหลวง เกรงว่าพวกเขาคงจะหัวเราะจนฟันร่วง การเดินทางที่คดเคี้ยวนี้ของเขาก็เพียงเพื่อมาบริจาคค่าน้ำมันตะเกียง และระดับความยากลำบากนี้ หลังจากผ่านความยากลำบากมานับครั้งไม่ถ้วนก็ไม่ต่างอะไรกับบทนิยายแสนสนุกที่เขียนเรื่องการฝึกบำเพ็ญเพื่อขึ้นสวรรค์ไม่ใช่หรือ
“มาถึงอารามชิงผิงแห่งนี้ก็ต้องให้แม่นางฉินผู้นั้นตรวจดูร่างกายให้พวกเราสักหน่อย ข้ารู้สึกเหมือนจะตายอยู่แล้ว” สยงเอ้อร์เอ่ยพลางถูมือ
จิ่งเสี่ยวซื่อคิดในใจ ‘ใครบ้างไม่เป็นเช่นนี้ ฤดูหนาวปีนี้ค่อนข้างหนาวกว่าปกติ ว่ากันว่าหิมะตกเป็นสัญญาณบอกว่าเป็นปีที่อุดมสมบูรณ์? แต่หากมากเกินไปก็จะกลายเป็นหายนะ’
กลุ่มคนเดินทางขึ้นไปยังอารามเต๋าโดยถนนบนภูเขาที่ใช้สำหรับรถม้า อย่างไรก็ตามตลอดทางมานี้ดูเหมือนจะไม่มีใคร
ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ประตูภูเขาด้านหลัง ซึ่งก็ปิดอยู่เช่นกัน
“คงไม่ได้เป็นเพราะไม่เป็นที่นิยมหรอกกระมัง อารามเต๋าปิดตัวลงแล้วหรือ” สยงเอ้อร์คร่ำครวญอยู่ในใจ พวกเขาโชคร้ายเกินไปแล้ว!
จิ่งเสี่ยวซื่อตบเขา “เอ่ยอะไรเหลวไหล หลังคาทองสว่างไสวขนาดนั้นจะปิดตัวลงได้อย่างไร ซวงฉี พวกเจ้าไปเคาะประตู”
บ่าวรับใช้ที่ถูกเรียกว่าซวงฉีก้าวไปข้างหน้า เคาะประตูเสียงดัง แต่ก็ไม่มีใครมา
“ให้ข้าปีนกำแพงไปดูหรือไม่” สยงเอ้อร์มองดูกำแพงสูง กระตือรือร้นที่จะลอง
ไม่รอคำตอบของจิ่งเสี่ยวซื่อ เขาก้าวถอยหลังหลายก้าวแล้ววิ่งเข้าหาเพื่อพุ่งขึ้นไปบนกำแพง หลังจากปีนขึ้นไปจนถึงด้านบน มีน้ำเสียงเย็นชาดังขึ้น
“โจรย่องเบามาจากไหน มาขโมยของถึงในอารามเต๋าเชียวหรือ”
สยงเอ้อร์ตกใจมากจนตกลงมาจากกำแพงอย่างอนาถ
ที่แท้โชคร้ายก็ยังไม่ผ่านไป แม่เจ้า เจ็บมาก!