ครองภพสยบนิรันดร์ - ตอนที่ 129
129: ขึ้นเขา!
ขณะที่เซียวฮั่นกับเมิ่งเชียนเซวี่ยกำลังจะทะยานขึ้นสู่ยอดเขา จู่ ๆ พวกเขาก็ได้พบกับ ฟู่หยุนเซวียนและอู่เฟิงเอ๋อกำลังมีปากมีเสียงกันอยู่ เช่นนั้นเซียวฮั่นจึงไม่คิดรีรอเข้าไปช่วยในทันใด
“อู่เฟิงเอ๋อ ไปกันเถอะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฟู่หยุนเซวียน จึงหันกลับมาจ้องเขม็งไปยังเซียวฮั่น และเมื่อเห็นชุดของเขาที่เป็นสีขาวบริสุทธิ์ ทำให้เกิดความคิดสายหนึ่งขึ้นมา“ศิษย์ผู้นี้ สวมใส่ชุดสีขาวนับว่าเป็นการไม่เคารพกฎระเบียบแห่งสำนัก หากเจ้าถอดชุดสีขาวเสียแต่ตอนนี้ แล้วเปลี่ยนเป็นชุดเครื่องแบบของสำนัก บางทีสำนักอาจจะไม่เอาโทษเจ้า!”
เมื่อเห็นเซียวฮั่นกำลังพาเมิ่งเชียนเซวี่ยและอู่เฟิ่งเอ๋อเดินมุ่งหน้าไปต่อ ฟู่หยุนเซวียนจึงเดินออกเอ่ยเตือนมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ข้าจะใส่อย่างไร เจ้าไม่ต้องยุ่ง!”
เซียวฮั่นเหลือบตามองฟู่หยุนเซวียนหนึ่งครา และเอ่ยออกมาเบา ๆ
“ข้ามีเจตนาดีอยากช่วยเจ้า แต่เจ้ากลับไร้มารยาท เช่นนั้นข้าคงต้องทำหน้าที่ชี้แนะประสบการณ์ให้เจ้าเสียหน่อยแล้ว!”
ได้ยินเช่นนั้น ฟู่หยุนเซวียนพลันมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทันใด สายตาที่มองเซียวฮั่นก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาด้วยเช่นกัน
ศิษย์จำนวนไม่น้อยเมื่อเห็นฉากนี้ ต่างพากันมองดูอย่างสนอกสนใจ อย่างที่รู้กันว่าพรสวรรค์ของฟู่หยุนเซวียนนั้นไม่เลว นับว่าเป็นศิษย์ที่มีความสามารถยอดเยี่ยม อาจมีชื่อเสียงไม่เท่าอ้าวเทียน แต่พรสวรรค์ก็ไล่เลี่ยกับอ้าวเทียน อายุยังน้อยแต่สามารถฝึกฝนบรรลุขอบเขตทรราช เรียนต่อที่สำนักอีกสองสามปี คงกลายเป็นยอดฝีมือขอบเขตราชันอย่างแน่นอน
“อยากชี้แนะประสบการณ์ให้ข้างั้นหรือ บางทีเจ้าอาจจะไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ!”
เซียวฮั่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่สนใจฟู่หยุนเซวียนแม้แต่น้อย คนยังคงก้าวเท้ามุ่งหน้าเดินตรงไปยังยอดเขาเจิ้งต้าว
“อวดดี บังอาจ!”
เมื่อพบว่าเซียวฮั่นไม่เห็นฟู่หยุนเซวียนในสายตา ศิษย์จำนวนไม่น้อยจึงแอบรู้สึกตื่นตะลึงในความอวดดีของเซียวฮั่น
การใส่ชุดสีอื่นในสำนักอย่างโจ่งแจ้งก็เป็นพฤติกรรมที่อวดดีเกินพอแล้ว ยามนี้กลับไม่เห็นฟู่หยุนเซวียนในสายตา ยิ่งทวีความกำเริบเสิบสาน อีกอย่างฟู่หยุนเซวียนก็มีพรสวรรค์ฝึกตนอยู่ในระดับขอบเขตทรราชขั้นกลาง อายุใกล้เคียงกับเซียวฮั่นที่ไร้ซึ่งชื่อเสียง ดูแล้วไม่มีพรสวรรค์อะไร เกรงว่าคงเป็นแค่ศิษย์ธรรมดาสามัญทั่วไป
“ข้าว่าเจ้ากระจอกนั่นแสร้งทำเป็นแข็งแกร่ง เพื่อขู่คนอื่นเท่านั้น แต่ในใจกลับแอบสั่นระรัวอยู่เป็นแน่!”
ศิษย์บางคนเห็นเซียวฮั่นกำเริบเสิบสานเช่นนี้ พลันเอ่ยอย่างไม่พอใจ
“ข้าว่าไม่แน่ เจ้าลองมองบุรุษหนุ่มชุดขาวผู้นั้น ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าหรือสายตา ล้วนแต่แน่วแน่เด็ดเดี่ยว ไร้ซึ่งความโลเล ไม่รู้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่หรือไม่ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นลูกหลานของผู้อาวุโสบางท่านก็เป็นได้”
เมื่อศิษย์อีกคนได้ยินเช่นนั้น พลันเอ่ยโต้แย้ง เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่าเซียวฮั่นมีความมั่นใจที่คนอื่นไม่รู้ มิเช่นนั้นเขาคงไม่กล้าอวดดีขนาดนี้
“เช่นนั้นก็ต้องคอยดู!”
ศิษย์คนแรกได้ยินเช่นนั้นจึงหัวเราะอย่างเย็นชา สายตามองไปที่ร่างของเซียวฮั่น เพราะยามนี้ฟู่หยุนเซวียนกำลังรวบรวมพลังวิญญาณในตัว ขณะนั้นพลังวิญญาณก็โหมซัดไปทางเซียวฮั่นอย่างบ้าคลั่ง แสดงให้เห็นว่าฟู่หยุนเซวียนไม่สนใจว่าเซียวฮั่นจะคิดเช่นไร แต่เขาจะบีบให้เซียวฮั่นลงมือ
“หาเรื่องใส่ตัวแท้ ๆ อย่าหาว่าข้าไม่เตือน!”
เซียวฮั่นเอ่ยเสียงเย็นชาดังขึ้น ทันทีที่เสียงของฟู่หยุนเซวียนจบลง ฝ่ามือของเขากลายเป็นกรงเล็บแหลมคมพุ่งไปจับศีรษะของเซียวฮั่น
“เจ้านั่นแย่แล้ว!”
เห็นฟู่หยุนเซวียนส่งพลังออกไปเต็มที่ ขณะนั้นศิษย์จำนวนไม่น้อยต่างพากันหัวเราะอย่างมีความสุข เพราะฉากเบื้องหน้าพวกเขากำลังจะเห็นเซียวฮั่นได้รับความทุกข์ทรมาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เซียวฮั่นไม่ยอมหลบ ปล่อยให้ฟู่หยุนเซวียนใช้ฝ่ามือจับคอหอยเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ากำลังรนหาที่ตาย
“อั่ก!”
ในขณะที่คนทุกผู้กำลังรู้สึกตื่นตา ทันใดนั้นสายตาทุกคู่ต่างต้องค้างชะงัก ยามนี้เห็นเพียงฟู่หยุนเซวียนที่ยื่นกรงเล็บไปจับเซียวฮั่นลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ ลำคอถูกมือขนาดใหญ่บีบแน่น แม้ว่ามือนั้นไม่มีคลื่นพลังใด ๆ แต่บรรยากาศกลับเงียบสงัดและน่าหวาดกลัว
“มีใครเห็นเขาลงมือบ้าง?”
ขณะนั้นเอง หลายคนต่างเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาในใจ เพราะไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่าเซียวฮั่นลงมือเมื่อใด พวกเขาเห็นเพียงฉากตรงหน้า นอกจากนี้ยังไม่มีใครรู้ด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น
ยามนี้วิญญาณแทบจะออกจะร่างของฟู่หยุนเซวียนที่ถูกเซียวฮั่นบีบด้วยมือเพียงข้างเดียว เขามองเซียวฮั่นด้วยสายตาหวาดกลัว สีหน้าซีดเผือดจนไม่อาจซีดไปได้มากกว่านี้แล้ว เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าหวาดกลัวที่แฝงอยู่ในมือข้างนั้นของเซียวฮั่น พลังชนิดนี้มีอานุภาพน่ากลัวที่สามารถทำลายล้างโลกาได้ แม้ว่าเขาไม่รู้ว่าพลังชนิดนี้น่าหวาดกลัวเพียงไร แต่สำหรับเขาแล้ว พลังชนิดนี้แม้แต่ยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังมิอาจต่อกรได้
ในที่สุดฟู่หยุนเซวียนก็เข้าใจว่าเหตุใดเซียวฮั่นจึงกล้าเหิมเกริมใส่ชุดขาว เพราะบุรุษชุดขาวที่ดูเหมือนรุ่นเยาว์ตรงหน้า ความจริงแล้วคือยอดฝีมือที่น่าหวาดกลัวจนมิอาจมีผู้ใดเทียบเทียม แม้แต่บรรพบุรุษตระกูลฟู่ของเขายังต้องหวาดกลัว
“เจ้าจะจัดการเขาเช่นไร ข้าจะทำตามที่เจ้าบอก!”
ทันใดนั้นเซียวฮั่นจึงหันหน้าไปมองอู่เฟิ่งเอ๋อ จากนั้นจึงเอ่ยพร้อมยิ้มเล็กน้อย อู่เฟิ่งเอ๋อได้ยินพลันสูดหายใจลึก มองฟู่หยุนเซวียนด้วยสายตาสับสน และเอ่ยอย่างเนิบช้า
“ท่านพี่ ปล่อยเขาเถิด ฟู่หยุนเซวียน นับแต่บัดนี้ไปข้ากับเจ้าเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน เจ้าเดินไปตามทางของเจ้า ข้าเดินไปตามทางของข้า พวกเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป”
ได้ยินเช่นนั้น ฟู่หยุนเซวียนพลันมีสีหน้าตกใจ แต่ประโยคถัดมาของอู่เฟิ่งเอ๋อทำให้สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ขึ้นมา แต่เวลานี้ชีวิตของเขาอยู่ในกำมือของผู้อื่น เขาจึงไม่สามารถปฏิเสธได้ ด้วยเหตุนี้จึงได้เพียงพยักหน้าตอบตกลงด้วยสีหน้าอัปลักษณ์
“ไปซะ จำคำมั่นของเจ้าในวันนี้ไว้ หากไม่ทำตาม ข้าจะตามไปเหยียบย่ำตระกูลของเจ้าทุกแห่งหน!”
เซียวฮั่นค่อย ๆ คลายฝ่ามือออก น้ำเสียงของเขาเนิบช้าแต่กลับทำให้สีหน้าของฟู่หยุนเซวียนซีดเผือด ขณะนี้ความรู้สึกขุ่นเคืองภายในใจพลันสลายหายไป เพราะคนตรงหน้าไม่ใช่เพียงแค่เขาที่มิอาจล่วงเกินได้ แต่ตระกูลฟู่ทั้งตระกูลก็มิอาจล่วงเกินได้เช่นเดียวกัน เขาคงไม่ยอมให้สตรีเพียงคนเดียวทำให้ตระกูลฟู่ทั้งตระกูลตกที่นั่งลำบาก
“ไปกันเถอะ พวกเราควรขึ้นเขาได้แล้ว!”
เซียวฮั่นคลี่ยิ้ม พร้อมกับพาเมิ่งเชียนเซวี่ยและอู่เฟิ่งเอ๋อมาถึงปลายยอดเขาเจิ้งต้าว ยอดเขาขนาดมหึมานี้ หากนับเพียงความกว้างคงประมาณหลายหมื่นลี้ ด้วยเหตุนี้จึงสามารปีนขึ้นยอดเขาเจิ้งต้าวได้จากหลากหลายแห่ง
แน่นอนว่าคนส่วนมากต่างเลือกปีนขึ้นจากด้านหน้าเขาเจิ้งต้าวตามความเคยชิน หากเป็นเช่นนั้นย่อมดึงดูดสายตาผู้คนมากมายให้จับจ้อง และเซียวฮั่นไม่คิดที่จะปีนขึ้นเขาที่ทิศทางอื่น ด้วยเหตุนี้เขาจึงมายังบริเวณด้านหน้าของยอดเขาเจิ้งต้าว
ที่แห่งนี้มีศิษย์จำนวนไม่น้อยที่คิดอยากลองปีนขึ้นไปด้วยความตื่นเต้น หนึ่งในนั้นมีทั้งยอดฝีมือระดับอาจารย์ ยอดฝีมือระดับขอบเขตรวบรวมลมปราณและระดับจักรพรรดิ สำหรับยอดฝีมือระดับขอบเขตทรราชนั้นน้อยมาก ส่วนยอดฝีมือระดับขอบเขตทรราชทุกคนที่ปีนขึ้นยอดเขาเจิ้งต้าวล้วนแต่ดึงดูดสายตาผู้คนมากมายให้จับจ้อง
แต่วันนี้เซียวฮั่นพาเมิ่งเชียนเซวี่ยและอู่เฟิ่งเอ๋อมา กลับยิ่งดึงดูดความสนใจจากผู้คน โดยเฉพาะปฎิกริยาของเซียวฮั่นก่อนหน้านี้ ทำให้หลายคนทราบว่า เซียวฮั่นไม่ธรรมดาสามัญแน่นอน อย่างน้อยก็ไม่ใช่คนไร้ชื่อเสียงอย่างที่พวกเขาขบคิดกันในตอนแรก
หลังจากที่เซียวฮั่นปล่อยฟู่หยุนเซวียน เขาก็รีบหนีไปทันใด ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าการฝึกตนของเซียวฮั่นแท้จริงแล้วอยู่ในขอบเขตใด แต่ในความคิดของพวกเขา ความสามารถของเซียวฮั่นต้องแข็งแกร่งกว่าฟู่หยุนเซวียนอย่างมากเป็นแน่
“พวกเจ้าคอยอยู่ข้าง ๆ จำไว้ว่าจิตใจต้องแน่วแน่ อย่ารู้สึกกดดันจนเกินไป!”
เมื่อเซียวฮั่นเอ่ยกับเมิ่งเชียนเซวี่ยและอู๋เฟิ่งเอ๋อจบ เขาสะบัดฝ่ามือหนึ่งครา พลังแผ่คลุมเมิ่งเชียนเซวียและอู่เฟิ่งเอ๋อ เมื่อเขาย่ำฝ่าเท้าลง เสียงดังสะเทือนแผ่นดินหนึ่งครา สายตาผู้คนนับไม่ถ้วนต่างจับจ้องมอง
จังหวะที่เขาย่ำฝ่าเท้า บนยอดเขาเจิ้งต้าวพลันเกิดเสียงวิถีเต๋าดังสะเทือนเลื่อนลั่น พลังวิถีเต๋าแห่งสวรรค์และโลกหล้าทวีแรงสะกดข่มใส่เซียวฮั่นอย่างไม่ขาดสาย
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงเกิดพลังแห่งเต๋าน่าหวาดกลัวเช่นนี้ มันไม่ควรเป็นฉากที่ปรากฏขึ้นบนยอดเขาร้อยจั้ง!”
เมื่อสัมผัสได้ถึงเสียงดังสนั่นของพลังแห่งเต๋าบนยอดเขาเจิ้งต้าว ศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนล้วนแต่แสดงสีหน้าตื่นตระหนก
พลังแห่งเต๋าน่าหวาดกลัวเช่นนี้ มีเพียงยอดเขาล้านจั้งเท่านั้นจึงจะสามารถเกิดพลังสั่นสะเทือนระดับนี้ได้ ไม่ควรปรากฎขึ้นที่ยอดเขาร้อยจั้ง
“เขาไม่ได้ขึ้นเขาไปเพียงลำพัง เขาพาอู่เฟิ่งเอ๋อและเมิ่งเชียนเซวี่ยขึ้นเขาไปด้วย หากเป็นเช่นนี้ เขาต้องแบกรับพลังแห่งเต๋าของทั้งสามคนไว้ ไม่แปลกหากเกิดพลังแห่งเต๋าอันน่าหวาดกลัวเช่นนี้!”
ในที่สุด รูม่านตาของศิษย์รุ่นพี่ท่านหนึ่งพลันหดลง
“อะไรกัน เขาคงไม่ได้บ้ากระมัง หากเป็นเช่นนั้น เขาก็ต้องแบกรับวิถีเต๋าแห่งโลกและสวรรค์ของคนอื่นถึงหนึ่งร้อยเท่าไม่ใช่หรือ!”
ได้ยินเช่นนั้น จึงมีคนเอ่ยเสียงหลง อย่างที่รู้กันว่าเมื่อก่อนมีคนเคยลองทำเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้ ศิษย์จำนวนมากมายของสำนักต่างก็รู้ว่า หากพาคนปีนขึ้นไปยอดเขาเจิ้งต้าวหนึ่งคน ต้องแบกรับแรงกดข่มจากวิถีเต๋าสิบเท่าขึ้นไป สองคนเท่ากับหนึ่งร้อยเท่า สามคนเท่ากับหนึ่งพันเท่า สี่คนเท่ากับหนึ่งหมื่นเท่า
พลังแห่งเต๋าของยอดเขาร้อยจั้ง หนึ่งร้อยเท่าสามารถเทียบเท่ากับระดับพลังแห่งเต๋าของยอดเขาหนึ่งหมื่นจั้ง หากขึ้นยอดเขาพันจั้งก็เทียบเท่ากับยอดเขาแสนจั้ง และหากขึ้นยอดเขาล้านจั้งก็เทียบเท่ากับยอดเขาร้อยล้านจั้ง ช่วงระยะห่างของพลังเช่นนี้เป็นสิ่งที่คนธรรมดาสามัญมิอาจจินตนาการได้
“หึ เรียกร้องความสนใจ!”
เมื่อเห็นฉากนี้ ศิษย์มากมายต่างส่งเสียงสบถอย่างเย็นชา สำหรับพวกเขาแล้ว เซียวฮั่นเพียงเรียกร้องความสนใจเท่านั้น แค่ต้องการแสดงความสามารถต่อหน้าสองสาวงาม เกรงว่าเมื่อถึงยอดเข้าพันจั้งก็คงต้องหยุด
แต่ทุกคนกลับคิดผิด พวกเขาเห็นเพียงเซียวฮั่นเหยียบบนยอดเขาเจิ้งต้าว ย่างเดินทีละก้าวอย่างสบายใจ ช่วงเวลาเพียงไม่นานก็เดินก้าวไปถึงยอดเขาร้อยจั้ง เมื่อถึงยอดเขาร้อยจั้ง เขาก็ยังไม่หยุด ยังคงเดินก้าวข้ามทีละก้าวมุ่งหน้าไปยังยอดเขาพันจั้ง
ฉากนี้ทำให้สายตาของคนนับไม่ถ้วนถึงกับค้างชะงัก หากพาผู้ติดตามสองคนขึ้นไปบนยอดเขาพันจั้ง นั่นเทียบเท่ากับระดับพลังแห่งเต๋าของยอดเขาแสนจั้ง นี่เป็นขอบเขตที่มีเพียงยอดฝีมือขอบเขตราชันเท่านั้นจึงจะทำได้
“เป็นไปไม่ได้ หากเขาสามารถย่ำไปถึงยอดเขาพันจั้งได้ นั่นหมายความว่าเขาเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตราชัน”
เห็นเซียวฮั่นก้าวข้ามยอดเขาร้อยจั้งและมุ่งหน้าไปยังยอดเขาพันจั้ง สายตาของคนจำนวนนับไม่ถ้วนต่างกระเพื่อมเล็กน้อย
หากเซียวฮั่นสามารถก้าวไปถึงยอดเขาพันจั้งได้ นั่นมีความหมายโดยนัยว่าขอบเขตและการฝึกตนของเขาอยู่ในระดับยอดฝีมือขอบเขตราชัน ทว่าหน้าตาของเขายังดูวัยเยาว์นัก พรสวรรค์เช่นนี้ ไม่ด้อยไปกว่าความสามารถที่โดดเด่นของอ้าวเทียนเลย
“วิ้ง!”
ในที่สุด ท่ามกลางสายตาของฝูงชน เซียวฮั่นก้าวฝ่าเท้าหนึ่งครา ก็สามารถก้าวไปสู่ยอดเขาพันจั้ง ทันใดนั้นพลังแห่งเต๋าอันน่าสะพรึงกลัวพลันสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น วิถีเต๋ากดทับสวรรค์และโลกหล้า วิถีเต๋าอันน่าหวาดกลัวเช่นนี้ หากเป็นเพียงยอดฝีมือขอบเขตทรราชคงถูกกดข่มและร่วงหล่นลงมา
แต่เซียวฮั่นกลับไม่ขยับเขยื้อน พลังแห่งเต๋าอันน่าหวาดผวานี้ร่วงหล่นทับตัวเขา แต่เขากลับไม่สั่นสะเทือนแม้แต่น้อย เมื่อทุกคนเห็นฉากนี้ต่างรู้สึกลอบหวาดกลัว ตอนนี้พวกเขาล้วนเกิดข้อสันนิษฐานหนึ่งขึ้นมาในใจ!