ครองภพสยบนิรันดร์ - ตอนที่ 127
127: ยอดเขาเจิ้งต้าว!
เมื่อออกจากมิติเอกเทศแล้ว เงาร่างของเซียวฮั่นก็ปรากฏบนนภาของสำนักแห่งเต๋า สายตาของเขาในยามนี้ทอดลงบนขุนเขาเทพยดาซึ่งตั้งตระหง่านสูงเสียดฟ้าลูกหนึ่ง
ขุนเขาเทพยดาสูงเสียดฟ้าลูกนี้ ไม่รู้ว่าสูงเพียงใด แต่มองไม่เห็นปลายสุดของยอดเขา และขุนเขาเทพยดาลูกนี้ก็คือสำนักแห่งเต๋าทั้งสำนัก เป็นขุนเขาที่สูงที่สุดในเมืองแห่งเต๋า
ขุนเขาเทพยดาปลายข้างหนึ่งสูงเสียดฟ้า อีกข้างตั้งตระหง่านบนดิน ยอดเขาทั้งลูกเปล่งประกายแสงสีเขียวอ่อนจาง หากใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์กวาดอย่างละเอียดก็จะพบว่าขุนเขาเทพยดาลูกนี้แฝงไว้ด้วยวิถีแห่งเต๋า
และขุนเขาเทพยดาลูกนี้เป็นสถานที่ที่รวบรวมศิษย์จากสำนักแห่งเต๋าทั้งสำนักไว้มากที่สุด ลือกันว่าแม้แต่ผู้อาวุโสของสำนักแห่งเต๋าผู้เป็นยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังอยู่บนขุนเขาแห่งนี้เป็นเวลานานเพื่อตระหนักรู้วิถีเต๋าแห่งสวรรค์และโลกหล้าที่แฝงไว้ในขุนเขา
ตำนานกล่าวไว้ว่า หากมีผู้ใดรู้แจ้งในวิถีเต๋าแห่งสวรรค์และโลกหล้าที่แฝงไว้ในขุนเขาเพียงหนึ่งหรือสองส่วน เช่นนั้นก็สามารถข้ามผ่านพันธนาการของยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ แล้วก้าวเข้าสู่ขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ทรราช และการที่สำนักแห่งเต๋ามียอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ทรราชมากมายถึงเพียงนี้ก็เป็นเพราะขุนเขาเทพยดา
ภูมิหลังของขุนเขาเทพยดาไม่มีผู้ใดล่วงรู้ และไม่มีผู้ใดรู้ว่าขุนเขาแห่งนี้ชื่อเดิมว่าอะไร ด้วยเหตุนี้ คนรุ่นหลังจึงตั้งชื่อให้กับมัน เรียกว่ายอดเขาเจิ้งต้าว
เนื่องจากยอดเขาเจิ้งต้าวแฝงไว้ด้วยวิถีเต๋าแห่งสวรรค์และโลกหล้า ศิษย์จำนวนมากจึงง่วนอยู่กับการปีนขึ้นยอดเขาเจิ้งต้าวเป็นเวลานาน เพื่อหวังจะเข้าใจวิถีเต๋าแห่งสวรรค์และโลกหล้า ด้วยเหตุนี้จึงสามารถทะลวงสู่ขอบเขตที่สูงขึ้น โดยเฉพาะศิษย์ที่มีพลังขอบเขตราชัน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะพำนักอยู่บนยอดเขา
แน่นอนว่ายอดเขาเจิ้งต้าวมิใช่สถานที่ที่ผู้ใดก็พำนักได้ เนื่องจากความวิเศษของตัวยอดเขา ที่ยิ่งปีนขึ้นสูงเพียงใด การรับรู้ถึงวิถีเต๋าแห่งสวรรค์และโลกหล้าก็จะยิ่งมาก และจะยิ่งสามารถหยั่งรู้วิถีเต๋าแห่งสวรรค์และโลกหล้าได้แจ่มแจ้งมากขึ้น
แต่สิ่งนี้ล้วนต้องใช้ฝีมือและพรสวรรค์ เพราะยอดเขาเจิ้งต้าวนั้นถูกแบ่งออกเป็นหกอาณาเขต ได้แก่ยอดเขาร้อยจั้ง ยอดเขาพันจั้ง ยอดเขาหมื่นจั้ง ยอดเขาแสนจั้ง ยอดเขาล้านจั้ง และยอดเขาสิบล้านจั้งซึ่งเป็นยอดเขาที่มีระดับสูงที่สุด
ยอดเขาล้านจั้งเป็นสถานที่ที่ยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่สามารถย่างกรายเข้าไป เพราะวิถีเต๋าแห่งสวรรค์และโลกหล้าที่แฝงไว้บนยอดเขาเจิ้งต้าวที่สูงกว่าล้านจั้งนั้นหนาแน่นเกินไป ผู้บำเพ็ญที่ระดับต่ำกว่ายอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์จึงทนไม่ไหว แม้กระทั่งยอดฝีมือขอบเขตราชัน ทันทีที่ย่างกรายเข้าสู่ยอดเขาล้านจั้งก็จะถูกวิถีเต๋าแห่งโลกและสวรรค์สะกดข่มไว้และร่วงตกลงมาในที่สุด
ดังนั้น ยอดเขาเจิ้งต้าวที่สูงกว่าล้านจั้งจึงเป็นเขตที่การดำรงอยู่ระดับผู้อาวุโสพำนัก สำหรับยอดเขาที่สูงกว่าสิบล้านจั้ง ลือกันว่าเป็นเขตสำหรับยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ทรราชเท่านั้นจึงจะสามารถเหยียบย่ำได้ แม้แต่ยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีทางย่างกรายเข้าไปได้
ส่วนเขตยอดเขาที่ต่ำกว่าล้านจั้งลงมาเป็นสถานที่ที่ยอดฝีมือขอบเขตราชันพำนัก เขตที่ต่ำกว่าหนึ่งแสนจั้งเป็นที่พำนักของยอดฝีมือขอบเขตทรราช ส่วนเขตหนึ่งพันจั้งถึงหนึ่งหมื่นจั้ง เป็นที่ที่ยอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิเท่านั้นที่สามารถเหยียบย่ำได้ สำหรับเขตที่ต่ำกว่าหนึ่งพันจั้งก็คือเขตพำนักที่ยอดฝีมือขอบเขตรวบรวมลมปราณสามารถตระหนักรู้ได้
ยอดเขาที่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยจั้งเป็นเขตที่ศิษย์ใหม่พำนักอยู่ ดังนั้นผู้ที่สามารถปีนยอดเขาเจิ้งต้าวสูงมากเท่าใด ความหมายของขอบเขตแห่งเต๋าก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น และความรู้แจ้งในวิถีเต๋าแห่งสวรรค์และโลกหล้าก็จะลึกซึ้งขึ้นตาม
เซียวฮั่นลอยอยู่บนนภา สายตาทอดลงบนยอดเขาเจิ้งต้าว มุมปากกระตุกยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ย
“ใช้พลังแห่งโลกบ่มเพาะ จนก่อตัวเป็นรูปร่างในที่สุด!”
ยอดเขาเจิ้งต้าวแห่งนี้มีความลับที่คนอื่นไม่มีทางเข้าใจได้ คนอื่น ๆ อาจจะเพียงเห็นวิถีเต๋าแห่งสวรรค์และโลกหล้าแฝงไว้บนยอดเขา แต่หารู้ไม่ว่ายอดเขาเจิ้งต้าวมีพลังฟ้าดินอยู่ภายใน ไม่เพียงแต่แฝงไว้ด้วยวิถีเต๋าแห่งสวรรค์และพลังฟ้าดิน หากจะกล่าวแบบอื่นคือยอดเขาเจิ้งต้าวเป็นเพียงเปลือกนอก ความลับที่แท้จริงนั้นอยู่ภายในต่างหาก
เพียงแต่ความลับนี้ แม้คนอื่น ๆ รู้ก็จนปัญญา เพราะไม่มีผู้ใดสามารถผ่ายอดเขาเจิ้งต้าวออกได้ แม้แต่ยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ทรราชระดับเก้าก็ยังทำไม่ได้ แต่ในไม่ช้ายอดเขาเจิ้งต้าวก็จะกลายเป็นประวัติศาสตร์ไปตลอดกาล
ขณะมองไปยังยอดเขาเจิ้งต้าวแวบหนึ่งอีกครา เซียวฮั่นคลี่ยิ้มบางก่อนจะหันหลังกลับไปยังหอมหัศจรรย์ ยามนี้เมิ่งเชียนเซวี่ยยังคงฝึกตนในดินแดนแห่งความฝัน บัดนี้ขอบเขตในความฝันของนางได้หยัดยืนในขอบเขตราชันอย่างมั่นคงแล้ว ต่อไปขอเพียงแต่พลังวิญญาณเพิ่มสูงขึ้น เท่านี้ก็สามารถทะลวงขอบเขตปัจจุบันได้อย่างต่อเนื่อง
เมื่อเห็นเมิ่งเชียนเซวี่ยยังคงฝึกฝนเคล็ดวิชาแห่งฝัน เขาจึงไม่รบกวนอีกฝ่าย และเมื่อความคิดโคจร แผ่นหยกนำโชคก็ลอยคว้างอยู่ข้างหน้าตน
“เปิด!”
เมื่อจิตเคลื่อนไหว แผ่นหยกนำโชคก็เปิดออกอย่างช้า ๆ ก่อนจะเปล่งประกายแสงสีเขียวอย่างฉับพลัน กระบี่โทษทัณฑ์และกระบี่โลกาที่หดเล็กลงไม่รู้กี่เท่ากำลังลอยอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของค่ายกลกระบี่เทพสังหารอย่างเงียบ ๆ
“กระบี่โทษทัณฑ์ กระบี่โลกา วันนี้ข้าจะพาพวกเจ้ามาลองเปิดอานุภาพสักส่วนสองส่วนของค่ายกลกระบี่เทพสังหาร”
ค่ายกลกระบี่เทพสังหารต้องใช้กระบี่รวมกันสี่เล่มจึงจะปลดปล่อยอานุภาพที่ไร้คู่ต่อกรได้ หากมีกระบี่เพียงสองเล่มก็จะมีอานุภาพเพียงสองส่วน และสิ่งนี้ยังขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของผู้ควบคุมค่ายกลกระบี่เทพสังหารด้วยว่าเป็นอย่างไร
แน่นอนว่าหากมีกระบี่สามเล่ม เช่นนั้นก็จะต่างออกไป อานุภาพของค่ายกลกระบี่เทพสังหารจะแสดงออกมาได้ครึ่งหนึ่ง เมื่อถึงเวลานั้น หากพบเจอเทพก็จะสังหารเทพ เจอปีศาจสังหารปีศาจได้อย่างแท้จริง ไม่มีผู้ใดขัดขวาง และหากรวมกระบี่ครบทั้งสี่เล่ม นอกจากจะเป็นการดำรงอยู่รูปแบบอมตะ แม้เทพเซียนก็ยังต้องถูกสังหารในค่ายกลกระบี่เทพสังหาร
“ข้าอยากรู้ว่าเจ้าดูดรับพลังของโลกาไปจนถึงขอบเขตใดแล้ว ขั้นสามอมตะ หรือวัฏจักร!”
หลังจากอัญเชิญค่ายกลกระบี่เทพสังหารและสองกระบี่ เซียวฮั่นก็หรี่ตาลงเล็กน้อย แววตาพลันกระตุกช้า ๆ
ยามนั้นเซียวฮั่นต้องจ่ายในราคามากมายมหาศาลเพื่อผนึกอีกฝ่าย บัดนี้หนึ่งแสนปีผ่านไปแล้ว เนื่องจากลูกไม้ของมัน เกรงว่าสุสานสวรรค์ลึกลับคงอยู่ในถุงจักรวาลของอีกฝ่ายแล้ว แม้เซียวฮั่นจะมีค่ายกลกระบี่เทพสังหารและกระบี่สองเล่มในมือก็ยังไม่แน่ว่าจะเทียบเท่าได้ เพียงแต่เซียวฮั่นก็ไม่ได้กังวลแต่อย่างใด เพื่อวันนี้เขาได้ซ่อนไพ่ตายจำนวนมากไว้นานแล้ว
“ข้าหวังว่าเจ้าจะก้าวเข้าสู่ขอบเขตวัฏจักร หากเป็นเช่นนี้ก็จะได้รับพลังสยบทั่วหล้าที่ไม่มีผู้ใดเทียบเคียงได้”
มุมปากเซียวฮั่นกระตุกยิ้มเล็กน้อย สำหรับศึกครั้งต่อไป กล่าวได้ว่าเซียวฮั่นกอดความหวังไว้ถึงสิบสองส่วน หากได้รับพลังมามากพอในศึกครั้งนี้ การดำรงอยู่แบบอมตะเหล่านั้นก็จะปีนออกมาจากความมืดและร่วมมือกับเขา
“เริ่ม!”
เมื่อความคิดโคจร ค่ายกลกระบี่เทพสังหารก็โอบล้อมสำนักแห่งเต๋าอย่างฉับพลัน กระบี่โทษทัณฑ์และกระบี่โลกายึดแต่ละมุมของค่ายกลกระบี่เทพสังหาร ยามนี้ขอเพียงแต่ความคิดเดียวของเซียวฮั่น ค่ายกลกระบี่เทพสังหารก็จะปลดปล่อยจิตสังหารอันไร้ขอบเขตออกมา สำนักแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่จะไม่เหลือแม้แต่ม่านพลัง ไม่มีผู้ใดรอดชีวิต แม้แต่การดำรงอยู่ขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ทรราชก็ตาม
แน่นอนว่า การใช้ค่ายกลกระบี่เทพสังหารมาสังหารการดำรงอยู่ขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ทรราช นั่นคือการสิ้นเปลืองอย่างไม่ต้องสงสัย และเซียวฮั่นก็ไม่สามารถใช้ค่ายกลกระบี่เทพสังหารเพียงเพราะยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ทรราชเพียงไม่กี่คน อย่างไรยอดฝีมือระดับนี้ก็ไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะให้เซียวฮั่นใช้ค่ายกลกระบี่เทพสังหาร
“ตื่นแล้ว!”
เมื่อเมิ่งเชียนเซวี่ยตื่นขึ้นมาก็เป็นวันที่สอง เซียวฮั่นเห็นนางจึงคลี่ยิ้มบางทันที เมื่อเห็นเซียวฮั่นคอยเฝ้าดูแลข้างกายตน เมิ่งเชียนเซวี่ยก็พลันอุ่นใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะเผยรอยยิ้มอันงดงามหยาดเยิ้มพลางเอ่ยขึ้นว่า
“อืม ขอบคุณที่คุ้มครองข้า”
“หึหึ เรื่องเล็กน้อย วันนี้เจ้าเตรียมพร้อมให้ดี ข้าจะพาเจ้าไปที่ที่หนึ่ง ซึ่งมีประโยชน์สำหรับการฝึกเคล็ดวิชาแห่งฝันของเจ้าเป็นอย่างมาก”
เซียวฮั่นคลี่ยิ้ม คำกล่าวของเขาทำให้เมิ่งเชียนเซวี่ยตะลึงงัน สถานที่ที่สามารถทำให้การฝึกฝนเคล็ดวิชาแห่งฝันก้าวหน้า นางคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าคือที่ใด
“ไปกันเถิด!”
เซียวฮั่นยิ้มเล็กน้อยและไม่ได้เอ่ยอะไรมาก ก่อนจะลุกขึ้นแล้วออกจากหอมหัศจรรย์ทันที เมิ่งเชียนเซวี่ยเห็นดังนั้นก็รีบเดินตามไป
ยามที่คนทั้งสองกำลังมุ่งไปข้างหน้า ก็ได้ดึงดูดสายตาของคนจำนวนมาก โดยเฉพาะเมิ่งเชียนเซวี่ย อย่างที่รู้กันว่านางเป็นหญิงสาวที่งดงามอย่างยิ่ง ทั้งสะโอดสะองงดงามดึงดูดผู้คน กริยาท่าทางโดดเด่น และเนื่องจากนางเป็นคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเมิ่งจึงมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมากภายในสำนักแห่งเต๋า
ณ สำนักแห่งเต๋า เมิ่งเชียนเซวี่ยมีสมญานามว่าหนึ่งในสิบบุปผาทอง และแน่นอนว่า นางค่อนข้างไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ และมีปฏิสัมพันธ์กับศิษย์ชายน้อยมาก สิ่งนี้จึงทำให้ศิษย์ชายจำนวนมาก แม้จะรักใคร่แต่กลับไม่มีทางเข้าใกล้ ทว่าวันนี้พวกเขากลับเห็นเมิ่งเชียนเซวี่ยอยู่กับชายหนุ่มชุดขาว พวกเขาจึงทยอยแห่แหนกันเข้ามามุงดูอย่างไม่ขาดสาย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฐานะของเซียวฮั่นได้ดึงดูดความสนใจของคนจำนวนมากทันที ผู้ที่สามารถเดินเคียงข้างเมิ่งเชียนเซวี่ยพบเห็นได้น้อยมาก เพียงแต่สิ่งที่ทำให้ศิษย์ทุกคนประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือเซียวฮั่นไม่ได้สวมชุดศิษย์ของสำนัก
อย่างที่รู้กันว่าเมื่ออยู่ภายในสำนักแห่งเต๋าศิษย์ทุกคนจะต้องใส่ชุดของสำนัก เว้นแต่เจ้าจะเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาหรือผู้อาวุโส มิเช่นนั้นถึงเจ้าเป็นอัจฉริยะในโลกหล้าขอบเขตราชันก็ไม่สามารถแหกกฎข้อนี้ของสำนักแห่งเต๋าได้
แต่ชายหนุ่มชุดขาวผู้นี้กลับอาจหาญสวมชุดขาวอย่างโจ่งแจ้ง ไม่เห็นกฎระเบียบของสำนักแห่งเต๋าอยู่ในสายตา หากไม่ใช่ศิษย์ เกรงว่าจะต้องอยู่ในระดับอาจารย์ที่ปรึกษาหรือผู้ดูแล แน่นอนว่าหากเป็นศิษย์เช่นนั้นก็อวดดีเกินไปแล้ว
“คุณชาย พวกเรากำลังจะไปยอดเขาเจิ้งต้าวงั้นหรือ?”
เมื่อเห็นทิศทางของเซียวฮั่นคือทางไปยอดเขาเจิ้งต้าว เมิ่งเชียนเซวี่ยก็งงงันเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยความประหลาดใจ
“ยามนี้มันเรียกว่ายอดเขาเจิ้งต้าวหรือ? ชื่อนี้ก็ไม่เลว”
ได้ยินดังนั้นเซียวฮั่นจึงคลี่ยิ้ม แต่กลับไม่หยุดเดิน และมุ่งหน้าไปยังยอดเขาเจิ้งต้าวที่ตั้งตระหง่านสูงเทียมฟ้าต่อ
“คุณชาย ข้าเคยพำนักที่ยอดเขาเจิ้งต้าว แต่ก็ไม่มีผลอันใดมากนัก”
ในตอนแรก เมิ่งเชียนเซวี่ยหวังจะอาศัยความประหลาดของยอดเขาเจิ้งต้าวช่วยในการฝึกฝนเคล็ดวิชาแห่งฝันของตน ด้วยเหตุนี้นางจึงให้คนอื่นช่วยนางปีนขึ้นไปจนถึงยอดเขาหมื่นจั้ง แต่การพักอยู่ที่ยอดเขาหมื่นจั้งหนึ่งวันหนึ่งคืน นางกลับพบว่าเคล็ดวิชาแห่งฝันของตนไม่มีความก้าวหน้าแม้แต่น้อย ดังนั้นนางจึงไม่ย่างกรายเข้าสู่ยอดเขาเจิ้งต้าวอีกเลย
“นั่นเป็นเพราะเจ้าพำนักไม่ถูกที่จึงไม่มีผลอันใด หากจะได้ผล เจ้าต้องพำนักที่นั่น!”
ได้ยินดังนั้น เซียวฮั่นก็ชี้นิ้วไปยังจุดสูงสุดของยอดเขาเจิ้งต้าวที่อยู่ข้างหน้า
หลังจากเมิ่งเชียนเซวี่ยเห็นสถานที่ที่เซียวฮั่นชี้ คนทั้งร่างก็ยืนนิ่งทันที เพราะสถานที่ที่เซียวฮั่นชี้ก็คือยอดบนสุดของยอดเขาร้อยล้านจั้งบนยอดเขาเจิ้งต้าว อย่างที่รู้กันว่ายอดเขาเจิ้งต้าวที่สูงสิบล้านจั้งต้องเป็นยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ทรราชเท่านั้นจึงจะย่างกรายขึ้นไปได้ ส่วนยอดเขาสูงร้อยล้านจั้งนั้น นางไม่สามารถจินตนาการได้ออกว่าต้องเป็นการดำรงอยู่ระดับใดจึงจะเหยียบย่ำขึ้นไปได้
“วางใจเถิด มีข้าพามาด้วยเจ้าย่อมสามารถปีนขึ้นไปได้ ดังนั้นจงเตรียมตัวให้ดี เจ้ามีเวลาอย่างมากประมาณยี่สิบวัน ภายในเวลายี่สิบวันนี้ เจ้าจะสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาแห่งฝันจนถึงขั้นใด ก็ขึ้นอยู่กับความพยายามและมุ่งมั่นของเจ้าแล้ว”
เซียวฮั่นคลี่ยิ้ม ก่อนจะรีบเร่งฝีเท้า เพียงสองก้าวคนทั้งร่างก็หายไปจากที่เดิม เมิ่งเชียนเซวี่ยยังไม่ทันจะหายมึนงงก็รีบโคจรพลังวิญญาณทะยานตามขึ้นไปทันใด!