ครองภพสยบนิรันดร์ - ตอนที่ 126
126: กันไว้ดีกว่าแก้!
“มัวแต่กระต่ายตื่นตูม สู้ไปเตรียมตัวให้พร้อมกับสงครามไม่ดีกว่าหรือ! ไม่แน่ว่าผลลัพธ์อาจจะไม่แย่อย่างที่พวกเจ้าจินตนาการไว้”
เซียวฮั่นมองจางอู๋จี๋พลางหัวเราะ คำกล่าวของเขาทำให้อีกฝ่ายหัวเราะแห้ง ๆ ออกมา
แต่จางอู๋จี๋ไม่ใช่คนขี้ขลาด เขาสามารถฝึกตนบรรลุขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ทรราชระดับแปด ย่อมต้องมีความสามารถที่โดดเด่นเหนือผู้อื่น เพียงแต่เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของสำนักแห่งเต๋ามากกว่า
“วางใจเถิด ในเมื่อข้ากล้าตัดสินใจ นั่นย่อมหมายความว่าจะสำเร็จ ถึงอย่างไรสำนักแห่งเต๋าก็เป็นสถานที่ที่ข้าเติบโตมา ข้าคงไม่ถึงขนาดทำให้สำนักแห่งเต๋าได้รับมหันตภัยไปด้วย!”
เมื่อเห็นจางอู๋จี๋ยังคงกังวลเล็กน้อย เซียวฮั่นจึงเอ่ยพลางคลี่ยิ้ม คำกล่าวของเซียวฮั่นทำให้จางอู๋จี๋รู้สึกเบาใจขึ้นมาบ้าง
“ใช่แล้ว เจ้าเด็กนั่น ?”
เซียวฮั่นพลันคิดบางอย่างขึ้นได้ เขามาสำนักแห่งเต๋าเข้าวันที่หก หม่าเหลียงเฉินคงเริ่มสัมผัสกับการฝึกฝนแล้ว
“กำลังฝึกฝนอยู่ในมิติเสมือนอเวจี ลิ้มรสแห่งความยากลำบากอยู่!”
จางอู๋จี๋คลี่ยิ้ม เมื่อนึกถึงความเย็นชาไร้อารมณ์ของปีศาจเลือดเย็นแล้ว จึงอดภาวนาแทนหม่าเหลียงเฉินไม่ได้
“อ๊าก! ข้าเกลียดลูกพี่!”
ขณะนั้นเอง ณ เขตหนาวเหน็บอันไร้จุดสิ้นสุด หม่าเหลียงเฉินใส่เพียงกางเกงชั้นในตัวเดียว แบกศิลาน้ำแข็งเหล็กหนักหลายร่วมล้านจินก้อนหนึ่ง กายหนาวสั่นหน้าตาเศร้าโศกจากความทารุณ
“ไม่เลวนี่ ยังมีแรงโต้ตอบได้ ดูเหมือนจะต้องเพิ่มระดับการฝึกแล้ว”
บนศิลาน้ำแข็งเหล็กมหึมา มีสตรีหน้าตางดงามที่กำลังนั่งหัวเราะคิกคัก สตรีผู้นี้สวมชุดสีขาว ผมสีขาว ทว่าใบหน้าดุจวัยเยาว์อายุยี่สิบสอง งามสะคราญมิอาจมีผู้ใดเทียบเทียม
ถึงแม้ใบหน้าของสตรีชุดขาวผู้นี้จะเผยซึ่งรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มของนางกลับเย็นชา ไร้ความรู้สึกและไร้อารมณ์เป็นที่สุด ราวกับว่ารอยยิ้มเช่นนี้สามารถทำให้โลกอีกฟากฝั่งหนึ่งแข็งดุจน้ำแข็งลงได้ก็มิปาน
“อึก!”
ได้ยินคำกล่าวของสตรีผู้นี้ หม่าเหลียงเฉินจึงร้องราวกับหมูถูกเชือด ทันใดนั้นตัวเขาก็รู้สึกว่าน้ำหนักของศิลาน้ำแข็งเหล็กบนตัวหนักขึ้นมาอีกหนึ่งเท่า ตัวเขาจึงถูกทับจนล้มลง
“หากเจ้ายังไม่สามารถทะลวงขอบเขตได้อีก คงได้ตายจริงแน่”
สตรีชุดขาวนั่งบนน้ำแข็งอุกกาบาตเหล็ก สั่นขาเรียวยาวดุจหิมะขาวไปมาและหัวเราะคิกคัก
“เปรี๊ยะ!”
ขณะที่เสียงของสตรีชุดขาวดังขึ้น ลมปราณอันน่าหวาดกลัวพลันระเบิดออกมาจากตัวของหม่าเหลียงเฉิน ยามนี้เขาสามารถทะลวงจากขอบเขตจักรพรรดิสู่ขอบเขตทรราชแล้ว ในช่วงเวลาที่เขาทะลวงบรรลุขอบเขตทรราช มีเพียงภูตผีเท่านั้นที่รู้ว่าเขาเผชิญกับอะไร
แต่หม่าเหลียงเฉินรู้ว่าตัวเขาในยามนี้อยู่ที่อเวจีขุมสิบแปด อยากตายก็ตายไม่ได้ มีชีวิตอยู่กลับทุกข์ทรมานยิ่งนัก และเป้าหมายเดียวของเขาก็คือการทะลวงขอบเขตต่อไปอย่างไม่หยุด มิเช่นนั้นสิ่งที่รอเขาอยู่อาจจะน่ากลัวยิ่งกว่าการฝึกในนรกอเวจีเสียอีก
“ไม่เลว เผยท่าทีของเจ้าบ้านั่นออกมาบ้างแล้ว เช่นนั้นเรามาต่อกันเถิด”
สตรีชุดขาวหัวเราะและมองไปยังหม่าเหลียงเฉินที่ทะลวงขอบเขตด้วยสีหน้าเย็นชา วินาทีถัดมาโลกแห่งน้ำแข็งอันหนาวเหน็บพลันแปรเปลี่ยนเป็นโลกสีแดงแห่งเพลิงซึ่งสามารถหลอมละลายได้ ราวกับว่าหากไม่ระวัง อาจจะตกลงไปในเพลิงนรก และกลายเป็นเถ้าถ่านได้ในพริบตา
เมื่อเห็นฉากนี้ หม่าเหลียงเฉินรู้สึกชาไปทั้งร่างกาย แต่เขากลับไม่กล้าบ่นออกมาแม้แต่น้อย เพราะเขารู้ว่าหากบ่นออกไป สตรีชุดขาวที่อยู่ด้านบนจะคิดหาวิธีการพิสดารมาทรมานเขา
“ตอนนี้นางอยู่ขอบเขตใดแล้ว”
เมื่อเอ่ยถึงปีศาจเลือดเย็น สักพักเซียวฮั่นจึงถามขึ้นมา
“เทพศักสิทธิ์ทรราชระดับเก้า หรืออาจจะสูงกว่านั้น! สองสามปีมานี้ข้ามองการฝึกฝนของนางได้ไม่ชัดนัก”
ได้ยินเช่นนั้น จางอู๋จี๋จึงกล่าวอย่างเนิบช้า
“หากเป็นเช่นนั้น เคล็ดสะบั้นใจของนางคงฝึกสำเร็จถึงระดับที่สามแล้ว”
เซียวฮั่นมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย แม้ว่าเขารู้มานานแล้วว่านางสามารถมาถึงขั้นนี้ได้ แต่คิดไม่ถึงว่าจะเร็วเพียงนี้
“ประมาณนั้นกระมัง สายตานางตอนนี้สามารถสังหารผู้อยู่ที่อยู่ในขอบเขตเทพศักดิ์สิทธ์ทั่วไปได้แล้ว”
จางอู๋จี๋ถอนหายใจ สองสามปีนี้การเปลี่ยนแปลงของปีศาจเลือดเย็นอยู่ในสายตาเขามาโดยตลอด แต่กลับไม่มีหนทางใดหยุดนางได้
“หนทางสายนี้ของนางคงเดินไปจนสุดปลายทาง ใครก็ช่วยนางไม่ได้ มีเพียงโอกาสเดียวคงต้องขึ้นอยู่กับเจ้าเด็กนั่นแล้ว”
เซียวฮั่นส่ายศีรษะ เขาเองก็ไม่ค่อยอยากเอ่ยถึงเรื่องของปีศาจเลือดเย็นเท่าใดนัก หากมีวิธีคงลงมือไปนานแล้ว คงไม่ถ่วงเวลามาจนถึงตอนนี้
“ช่างเถิด หนทางสายนี้นางเป็นคนเลือกเอง ไม่แน่ว่านี่อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของนาง!”
จางอู๋จี๋รินน้ำชาให้เซียวฮั่นเต็มแก้ว กล่าวพลางหัวเราะแห้ง ๆ
“อืม เรื่องของนางค่อยว่ากันภายหลัง อีกประมาณสิบวัน ข้าจะเปิดดินแดนลึกลับสุสานสวรรค์ เจ้าให้คนเตรียมการเสียหน่อย!”
เซียวฮั่นกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม คำกล่าวของเขาทำให้สีหน้าของจางอู๋จี๋ค้างแข็งไปเช่นเดียวกัน
“ตกลง ถึงตอนนั้นข้าจะส่งผู้อาวุโสสี่ท่านไปช่วย พวกเขาล้วนแต่บรรลุขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ทรราชระดับสี่ถึงระดับหก”
จางอู๋จี๋พยักหน้า สำหรับเรื่องนี้ เขาจะสะเพร่าไม่ได้แม้แต่น้อย
ดินแดนลึกลับสุสานสวรรค์ ชื่อนี้คือชื่อที่ผู้คนรู้จักน้อยมาก แต่หากเรียกอีกชื่อหนึ่ง ไม่ว่าใครต่างก็เคยได้ยิน กล่าวได้ว่าดินแดนลึกลับสุสานสวรรค์ ก็คือหนึ่งในเก้าสถานที่ต้องห้ามแห่งเก้ามหาทวีป และสำนักแห่งเต๋าก็ตั้งอยู่บนดินแดนลึกลับสุสานสวรรค์ ทำให้ดินแดนลึกลับสุสานสวรรค์ ถูกฝังทับไว้หมดแล้ว
และสาเหตุที่สำนักแห่งเต๋าต้องฝังทับดินแดนลึกลับสุสานสวรรค์ไว้ ไม่ใช่เพราะเป็นสถานที่ต้องห้าม แต่มีสาเหตุที่มากกว่านั้น คือในดินแดนลึกลับสุสานสวรรค์ มีสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวสิ่งหนึ่งดำรงอยู่ หากปรากฏขึ้นบนมหาทวีปจงโจว ไม่เพียงมหาทวีปจงโจวเท่านั้น แต่ทั่วทั้งเก้ามหาทวีปก็จะได้รับมหันตภัยอันใหญ่หลวงนี้เช่นเดียวกัน
เพื่อสร้างกลประทับให้กับสิ่งน่าสะพรึงกลัวนี้ในภพก่อน สำนักแห่งเต๋าถึงขั้นใช้ไพ่ตายที่มีทั้งหมด ร่วมกับยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ทรราชแห่งมหาทวีปจงโจวและสี่ทวีปอื่น ๆ ในยามนั้น จึงจะสามารถสร้างกลประทับดินแดนลึกลับสุสานสวรรค์ไว้ได้ ความเสียหายที่ได้รับในตอนสุดท้ายนั้นแสนสาหัส มูลค่าที่จ่ายไปเรียกได้ว่ามหาศาลยิ่งนัก
ผู้นำทุกอย่างในภพนั้นแน่นอนว่าคือเซียวฮั่น แต่ใครจะนึกว่า ตอนนั้นเซียวฮั่นที่ฝึกตนเป็นยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์กลับสามารถสร้างกลประทับผนึกขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ทรราชได้
เพียงแต่จางอู๋จี๋คิดไม่ถึงว่าแสนปีต่อมา เซียวฮั่นจะกลับมายังสำนักแห่งเต๋าอีกครั้ง และครั้งนี้เซียวฮั่นไม่ได้ต้องการสร้างกลประทับดินแดนสุสานสวรรค์ต่อ แต่ต้องการเปิดกลประทับออก
หรือนี่เป็นผลของกรรมที่ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่เมื่อแสนปีก่อนแล้ว หากสำนักแห่งเต๋าสามารถข้ามผ่านครั้งนี้ไปได้ ต่อไปก็จะไร้ซึ่งวิกฤตอันตรายที่คอยแอบแฝง
“เจ้าอย่าเพิ่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ครานี้หากสำเร็จ เช่นนั้นสำนักแห่งเต๋าของพวกเจ้าจะได้ประโยชน์อย่างไร ข้าคงไม่ต้องเอ่ยให้มากความ”
เซียวฮั่นคลี่ยิ้ม สิ่งที่เขากล่าวมาทั้งหมดย่อมหมายถึงดินแดนลึกลับสุสานสวรรค์ หากวันใดสำเร็จ ก็ไม่จำเป็นต้องฝังทับอีกต่อไป สำนักแห่งเต๋าจะสามารถได้รับของล้ำค่าในดินแดนลึกลับสุสานสวรรค์ได้อย่างไม่ขาด อย่างที่รู้กันว่าดินแดนลึกลับสุสานสวรรค์เป็นหนึ่งในเก้าสถานที่ต้องห้าม และของล้ำค่าในสถานที่ต้องห้ามล้วนมีมากมายจนนับไม่ถ้วน
“ใช่แล้ว อีกอย่างพวกเจ้าเตรียมตัวป้องกันให้ดีเพราะมีคนเตรียมฉกฉวยผลประโยชน์อย่างแน่นอน ทรัพยากรในที่แห่งนี้อุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก ในสายตาของคนเหล่านั้นเป็นดั่งชิ้นเนื้อก้อนใหญ่ ไม่ว่าใครต่างก็อยากกัดกิน!”
ก่อนจากไป เซียวฮั่นเอ่ยเตือนจางอู๋จี๋ หากเป็นวันปกติ สำนักแห่งเต๋าที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าสอดแนม แม้แต่ยื่นมือเข้ามายุ่งก็ไม่กล้า
แต่อีกไม่กี่วันจะไม่เป็นเหมือนเช่นเคยแล้ว เพียงแค่ขุมอำนาจไม่กี่ขุมยื่นกรงเล็บแห่งความโลภมายังสำนักแห่งเต๋า ก็เพียงพอที่จะทำให้สำนักแห่งเต๋ามิอาจต้านทานได้
“เรื่องนี้คงต้องปรึกษากันให้ดีเสียก่อน เพราะไม่รู้ว่าจะมีขุมอำนาจมากมายเท่าใดที่จะยื่นมือมาฉกฉวยโอกาสของสำนักแห่งเต๋า”
จางอู๋จี๋ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เขายังไม่กล้าสรุปเอง ขุมอำนาจในมหาทวีปจงโจวมีจำนวนหลักสิบ บ้างก็ไม่เปิดเผยตัวตน ไม่มีผู้ใดรู้ว่าขุมอำนาจเหล่านี้จะแอบยื่นมือฉกฉวยโอกาสสำนักแห่งเต๋าลับหลังหรือไม่
“ข้าสามารถช่วยพวกเจ้าได้ ตระกูลเมิ่งไม่มีทางลงมือฉกฉวยสำนักแห่งเต๋า ช่วงเวลาที่จำเป็น ตระกูลเมิ่งสามารถเป็นอีกแรงหนึ่งที่ช่วยพวกเจ้าได้”
เซียวฮั่นคลี่ยิ้ม และเอ่ยกับจางอู๋จี๋
“หากเป็นเช่นนั้นก็ดีนัก ตระกูลเมิ่งเป็นมหาขุมอำนาจแห่งจงโจว มีประวัติเก่าแก่ไม่น้อยไปกว่าสำนักแห่งเต๋า แม้ว่าเส้นสนกลในอาจจะไม่ลึกซึ้งเท่า แต่ก็ทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้เช่นกัน หากได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลเมิ่ง นั่นก็นับว่าเป็นการมอบความช่วยเหลืออันใหญ่หลวงแล้ว”
เมื่อได้ยินเซียวฮั่นเอ่ยเรื่องตระกูลเมิ่ง จางอู๋จี๋จึงรู้สึกสงบใจขึ้นมาบ้าง เห็นได้ชัดว่าเซียวฮั่นคำนึงถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาหลังจากเปิดดินแดนลึกลับสุสานสวรรค์ไว้เรียบร้อยแล้ว
“ข้าขอตัวก่อน ตอนนี้เตรียมการณ์ทุกอย่างพร้อมแล้ว แต่ยังขาดเพียงสิ่งสำคัญเพียงสิ่งเดียว เมื่อถึงเวลาแห่งการช่วงชิงอำนาจคงต้องดูที่ความสามารถของแต่ละคนแล้ว”
เซียวฮั่นคลี่ยิ้ม เพียงก้าวเท้า เงาร่างก็เลือนหายออกจากโลกมิติเอกเทศ
“จงหลี พวกเราต้องเตรียมรับมือกับสงครามนี้ บอกให้ทุกคนเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม เกรงว่าสงครามครานี้จะมีคนล้มตาย”
จางอู๋จี๋มองเงาร่างที่หายลับไปของเซียวฮั่น หลังจากที่นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยปากอย่างเนิบช้า
“ขอรับ ท่านอาจารย์!”
เมื่อจางอู๋จี๋เอ่ยจบ ผู้อาวุโสศีรษะโล้นที่อยู่ด้านข้างเขาก็พยักศีรษะอย่างเงียบ ๆ หลังจากที่ประสานมือ เงาร่างพลันหายไปจากทางด้านหลังของจางอู๋จี๋
“หวังว่ามหันตภัยครานี้จะสามารถผ่านไปได้ในเวลาอันสั้น หากสำนักแห่งเต๋าผ่านไปได้ ข้าก็จะได้ขึ้นสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอย่างสงบใจ มองความงดงามของเก้าชั้นฟ้า รวมถึงพบปะเหล่าสหายเก่า”
จางอู๋จี๋เงยหน้ามองเวหาพร้อมกับอดกล่าวพึมพำไม่ได้ หลังจากที่เขาได้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าสำนักแห่งเต๋า สิ่งที่ในใจเขาวางไม่ลงคือดินแดนลึกลับสุสานสวรรค์แห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำฝากฝังของท่านอาจารย์ก่อนจะสิ้นลม คือขอให้เขาอยู่ที่สำนักแห่งเต๋า อย่าเพิ่งเดินทางขึ้นไปเหยียบสวรรค์เก้าชั้นฟ้า
อย่างที่รู้กันว่า คนรุ่นเดียวกับเขามากมายหากไม่สิ้นชีพไปเสียก่อน ก็คงได้ขึ้นไปบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า แม้แต่ลูกหลานรุ่นหลังมากมายต่างก็ล้วนขึ้นไปบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแล้ว คนที่ยังเหลืออยู่ ส่วนใหญ่มีความผูกพันธ์กับสำนักแห่งเต๋าลึกซึ้งมาก ทำให้พวกเขายังปล่อยวางไม่ได้
หากผ่านพ้นมหันตภัยครั้งนี้ ผู้อาวุโสเช่นพวกเขา คงมีหลายคนที่ต้องการไปจากสำนักแห่งเต๋า ออกจากเก้ามหาทวีป ท่องเที่ยวไปยังโลกใบใหม่ เพื่อสัมผัสความงดงามของโลกอีกใบ
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ จางอู๋จี๋จึงเกิดความรู้สึกฮึกเหิมอย่างเต็มที่ ราวกับได้ย้อนกลับไปในช่วงที่เขายังเป็นรุ่นเยาว์ เขาในยามนั้น แสวงหาจุดสูงสุดของวิถีเต๋าด้วยความฮึกเหิมและคึกคัก เหยียบดินแดนต้องห้ามอย่างไม่เกรงกลัวความตาย เพื่อฝึกฝนและยกระดับความสามารถของตัวเองไม่หยุดยั้ง หลังจากที่จางอู๋จี๋ตกอยู่ในห้วงความคิดครั้งอดีต ตอนนี้คงถึงเวลาที่เขาต้องเริ่มออกเดินทางครั้งใหม่แล้ว!
……………..