ครองภพสยบนิรันดร์ - ตอนที่ 125
125: มหันตภัยร่วงหล่น!
“ช่างเถิด เห็นแก่หน้าสำนักแห่งเต๋า เรื่องนี้ข้ามอบหมายให้พวกเจ้าจัดการเอง ยังมี…เรื่องวันนี้ข้าไม่อยากให้มีคนรู้มากเกินไปนัก”
เซียวฮั่นส่ายศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะพาอู่เฟิ่งเอ๋อออกไป
“ขอรับนายท่าน!”
เมื่อเห็นเซียวฮั่นไม่ถือสา หลินซานยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เช็ดเหงื่อบนหน้าผากก่อนจะลอบถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง จากนั้นสายตาดุดันก็จ้องไปยังร่างของหลินเม่ยเอ๋อ
“ทะ…ท่านบรรพบุรุษ!”
เห็นสายตาเข้มงวดเกินจะเปรียบของหลินซาน สีหน้าของหลินเม่ยเอ๋อในยามนี้ซีดขาวถึงขีดสุด จนถึงตอนนี้นางก็เพิ่งจะรู้ว่าการดำรงอยู่ที่ตนได้ล่วงเกินนั้นน่าหวาดผวาเพียงใด แม้แต่บรรพบุรุษ ก็ยังต้องคุกเข่าโค้งคำนับ นั่นต้องน่าหวาดกลัวระดับใดกัน
“หลินเม่ยเอ๋อ นับแต่วันนี้ไปเจ้าถูกเนรเทศออกจากตระกูลหลิน ห้ามเข้าตระกูลหลินชั่วนิรันดร์ หลินหยาง ถูกปลดจากตำแหน่งอาจารย์ที่ปรึกษาของสำนักแห่งเต๋า ลดขั้นให้เป็นศิษย์สายนอก”
ขณะที่เสียงอันเยือกเย็นของหลินซานดังขึ้น หลินเม่ยเอ๋อและอาจารย์ที่ปรึกษาสกุลหลินท่านนั้นราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่างก็มิปาน
การลงโทษเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับสังหารพวกเขา กระทั่งหนักกว่าการสังหารเสียอีก แต่สิ่งนี้คือการลงโทษจากบรรพบุรุษของตระกูลหลิน ตระกูลหลินทั้งตระกูลไม่มีผู้ใดมาช่วยร้องขอความเมตตาได้ แต่ถึงจะช่วยก็ไม่มีประโยชน์อันใด
“พวกเจ้าสองคน จงทำเหมือนเรื่องในวันนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!”
หลินซานกวาดสายตา คำกล่าวอันเฉียบขาดของหลินซานทำให้ศิษย์หญิงอีกสองคนกลัวจนหน้าซีดขาวราวหิมะและพยักหน้ารัว
ไม่ว่าหลินซานจะลงโทษอย่างไร เซียวฮั่นก็ไม่ได้สนใจ เขาได้พาอู่เฟิ่งเอ๋อออกมาแล้ว เพียงแต่นางในยามนี้ก็มองไปยังเซียวฮั่นด้วยสีหน้าตกตะลึงเช่นเดียวกัน แม้แต่ผู้อาวุโสของสำนักแห่งเต๋ายังต้องเผชิญหน้ากับเขาด้วยความยำเกรง สิ่งนี้ทำให้นางไม่มีทางฟื้นคืนสติได้ชั่วขณะ
“เอาล่ะ เรื่องในวันนี้ได้สิ้นสุดลงเท่านี้ หากมีผู้ใดใช้สิ่งนี้หาเรื่องเจ้า เจ้าก็มาหาข้าได้ ช่วงนี้ข้าอยู่ที่หอมหัศจรรย์”
เซียวฮั่นมองไปยังอู่เฟิ่งเอ๋อที่กำลังสติหลุดลอย ก่อนจะเอ่ยเรียบ ๆ พลางยิ้ม
“ขะ…ขอบคุณท่านมาก!”
แม้ว่าวันนี้นางจะเพิ่งพบเซียวฮั่นเป็นครั้งแรก แต่เซียวฮั่นกลับทำให้นางรู้สึกสนิทสนมราวกับพี่ชาย และด้วยการดูแลที่เซียวฮั่นมีต่อนาง จึงทำให้นางซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง
“อืม ไปเถิด! มีเรื่องอันใดก็มาหาข้าได้เสมอ”
เซียวฮั่นคลี่ยิ้มก่อนจะมองไปยังอู่เฟิ่งเอ๋อ คนตระกูลอู่ชีวิตถูกกำหนดให้ไม่ธรรมดาสามัญ เพราะในร่างกายของพวกเขาไหลเวียนไปด้วยสายเลือดชั้นสูง เพียงแต่ทายาทตระกูลอู่ส่วนมากไม่ตระหนักถึงสายเลือดของตน
และเซียวฮั่นก็ไม่ถือสาที่จะไว้หน้าสหายเก่าเพื่อยื่นมือช่วยอู่เฟิ่งเอ๋อ เปิดสายเลือดไร้เทียมทานนั้นในร่างกายของนาง แน่นอนว่าวิธีนี้ของเซียวฮั่นไม่เพียงแต่ช่วยเหลือตระกูลอู่ แต่ยังช่วยตัวเขาเองด้วย
หลังจากทั้งสองแยกจากกัน เซียวฮั่นก็เดินเล่นที่หอคัมภีร์ต่อ ระหว่างมองไปยังแต่ละหอและศิษย์หนุ่มสาวที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา เซียวฮั่นพลันยิ้มบางเบาอย่างอดไม่ได้ เนิ่นนานมาแล้วเขาก็เป็นหนึ่งในนั้น เพื่อความแข็งแกร่งที่มากขึ้น เพื่อทรัพยากรที่ดีกว่าถึงได้พยายามอย่างไม่หยุดยั้ง เมื่อย้อนนึกถึงตอนนั้น เขายังจำการประชุมแห่งเต๋าที่จัดขึ้นในสำนักแห่งเต๋าได้
การประชุมแห่งเต๋าครั้งนั้น กล่าวได้ว่ารวบรวมศิษย์อัจฉริยะจากห้าทวีปในยุคนั้นจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้ มีศิษย์ฝีมือเก่งฉกาจมากมาย อู่ขวางถูบรรพบุรุษตระกูลอู่ และจางอู๋จี๋ผู้อาวุโสสำนักแห่งเต๋าก็เป็นอัจฉริยะโดดเด่นคนหนึ่งในตอนนั้น
ชั่วพริบตาเวลาก็ผ่านไปหนึ่งแสนปีแล้ว กาลเวลาไร้ความปราณี แต่จะมีผู้ใดล่วงรู้ว่าหนึ่งแสนปีนี้เซียวฮั่นผ่านสิ่งใดมาบ้างท่ามกลางความมืดมิดไร้สิ้นสุด
“ยอดเขาถกเต๋า!”
เมื่อเซียวฮั่นมาถึงด้านหน้าของยอดเขาที่ตระหง่านสูงเทียมเมฆ ใบหน้าของเขาก็เผยรอยยิ้มอย่างอดไม่ได้ ยอดเขาถกเต๋า แบกไว้ซึ่งความคิดแห่งเต๋าที่อัจฉริยะผู้โดดเด่นมากมายหลงเหลือไว้
“ถามย้อนกลับถึงเต๋าในอดีต วิถีแห่งเต๋านั้นเชื่องช้านัก ถามถึงเต๋าในวันนี้ ถามจิตใจแห่งเต๋า!”
ขณะมองไปยังยอดเขาถกเต๋า สายตาของเซียวฮั่นก็เปลี่ยนเป็นลึกซึ้งเกินจะบรรยาย วิถีเต๋าไร้จุดสิ้นสุด วิถีเต๋าคือสิ่งที่ไม่มีปลายสุด แม้เขาจะชนะศึกหนสุดท้าย แต่เขาก็รู้ว่านั่นอาจจะเป็นเพียงการเริ่มต้น เพราะไม่มีผู้ใดรู้ว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรหลังจากได้รับชัยชนะ
แต่เซียวฮั่นรู้ว่าหากเขาแพ้ ไม่เพียงแต่เขาในยุคนี้ แม้แต่ยุคที่ยังคงอยู่เหล่านั้นก็ต้องถูกกำจัด ทุกอย่างในโลกจะกลับกลายมาเป็นศูนย์
“ยุคเข้าสู่วัฏจักร ยุคต้นกำเนิดเต๋ากลับมารกร้าง!”
ยามนี้สายตาของเซียวฮั่นมองออกไปไกลลิบ ราวกับมองเห็นจุดสิ้นสุดของโลก
ยุคเข้าสู่วัฏจักร ต้นกำเนิดเต๋ากลับมารกร้าง และยุคนี้ที่เขากำลังอยู่ ก็คือยุคที่หนึ่งร้อยและเป็นยุคสุดท้าย ซึ่งถูกเรียกว่ายุคต้นกำเนิด ไม่ว่าจะเป็นยุคก่อนที่รอดมาได้หรือยุคนี้ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดก็ต้องเผชิญกับมหันตภัยทำลายล้างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์
และนี่คือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดเซียวฮั่นจึงต้องทุ่มเทไพ่ตายออกไปทั้งหมดโดยไม่เสียดาย อีกทั้งเพื่อเตรียมความพร้อมครั้งสุดท้ายนี้ ไม่ว่าจะเขาหรือคนอื่น ๆ ก็ต้องจ่ายราคาที่มากมายมหาศาลจนไม่กล้าจินตนาการ และทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าราคาที่จ่ายเหล่านี้จะสามารถได้รับชัยชนะในตอนจบหรือไม่
มองไปยังยอดเขาถกเต๋าอย่างเงียบ ๆ ไม่รู้ว่ายืนนิ่งมานานเพียงใดแล้ว เซียวฮั่นยิ้มอย่างไม่ยี่หระ ชุดคลุมสีขาวโบกปลิวพลิ้วไหว เขาสาวเท้าอย่างช้า ๆ กลับไปยังหอมหัศจรรย์ และขณะที่กลับไปยังที่นั่น เมิ่งเชียนเซวี่ยก็ได้รอเขาอยู่ที่หอมหัศจรรย์มานานแล้ว
“เป็นอย่างไร คิดดีแล้วหรือ?”
เมื่อเห็นลักษณะท่าทางของเมิ่งเชียนเซวี่ยไม่แตกต่างจากเดิม เซียวฮั่นก็คลี่ยิ้มทันที
“อืม นับแต่นี้ไป ท่านก็คือนายของข้าแล้ว”
เมิ่งเชียนเซวี่ยพยักหน้าเล็กน้อย คำกล่าวของนางทำให้เซียวฮั่นชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยพลางหัวเราะ
“ก็ดี จากนี้เจ้าเรียกข้าว่าคุณชายก็พอ”
“เจ้าค่ะคุณชาย!”
เมิ่งเชียนเซวี่ยพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ หลังจากที่นางถ่ายทอดเคล็ดวิชาแห่งฝันให้บรรพบุรุษที่อาวุโสที่สุดในตระกูลของตน บรรพบุรุษก็ได้ออกคำสั่งสูงสุด ก็คือต้องการให้นางเชื่อฟังคำสั่งของเซียวฮั่นนับแต่นี้ไป
“เช่นนั้น ตั้งแต่บัดนี้เจ้าก็จงตั้งใจฝึกฝนเคล็ดวิชาแห่งฝัน มีอะไรไม่เข้าใจก็ถามข้าได้เสมอ ช่วงนี้จงพยายามทะลวงสู่ขอบเขตราชันเสีย”
แม้ว่าเมิ่งเชียนเซวี่ยเพิ่งจะทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิ แต่เซียวฮั่นก็รู้ว่าเมื่อเมิ่งเชียนเซวี่ยฝึกฝนอย่างสมบูรณ์แล้วก็จะสามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตราชันได้ด้วยความรวดเร็ว ไม่ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งหรือสองปี นางก็สามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์วิถีเต๋าได้
ส่วนเหตุใดเมิ่งเชียนเสวี่ยจึงพัฒนาได้รวดเร็วเช่นนี้ นอกจากความน่ากลัวของเคล็ดวิชาแห่งฝันแล้ว ยังเป็นเพราะนางมีกายาเทพนิมิต หากนางไม่มีกายาเช่นนี้ แม้จะฝึกฝนเคล็ดวิชาแห่งฝันจนสำเร็จ เกรงว่าก็ยังต้องใช้เวลาหลายปีจึงจะสามารถทะลวงสู่ขอบเขตราชันได้ และต้องใช้เวลาหลายสิบปีจึงจะมีโอกาสทะลวงสู่ขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์
กล่าวได้ว่าการมีกายานิมิต ความต่างของความเร็วในการฝึกฝนเคล็ดวิชาแห่งฝันระหว่างมีกับไม่มี อย่างน้อยที่สุดก็ห่างกันถึงสิบเท่าหรืออาจจะหลายสิบเท่าเสียด้วยซ้ำไป
และนี่คือสาเหตุที่เซียวฮั่นเห็นความสำคัญของกายาเทพนิมิตของเมิ่งเชียนเซวี่ย มิเช่นนั้นเขาจะสามารถนำเคล็ดบ่มเพาะพลิกสวรรค์อย่างเคล็ดวิชาแห่งฝันมาทำการแลกเปลี่ยนกับเมิ่งเชี่ยนเซวี่ยได้อย่างไร
รอให้เมิ่งเชียนเซวี่ยเข้าสู่สมาธิ เวลาผ่านไปเพียงไม่นานนางก็ตกอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน เมื่อเห็นภาพนี้ เซียวฮั่นก็คลี่ยิ้ม สะบัดมือหนึ่งครา พลังสายหนึ่งโอบล้อมรอบกายนาง ราวกับกำลังป้องกันคนมารบกวนขณะนางอยู่ในฝัน
หลังจากเซียวฮั่นจัดการเสร็จสิ้น เขาก็ก้าวฝ่าเท้าหนึ่งครา คนทั้งร่างเข้าสู่ความว่างเปล่า รอจนเขาปรากฏตัวอีกครั้ง ก็เข้าไปปรากฏตัวในมิติเอกเทศเมื่อครั้งก่อน
ที่นี่ถูกเรียกว่าดินแดนลึกลับแห่งเต๋า เป็นโลกที่หลงเหลือจากบรรพบุรุษของสำนักแห่งเต๋า ในโลกนี้สามารถเลี่ยงการถูกลงทัณฑ์จากสวรรค์ได้ ดังนั้นจึงถือเป็นเขตหวงห้าม นอกจากจะเป็นยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ทรราช มิเช่นนั้นคนอื่น ๆ ก็มิอาจก้าวเข้ามาที่นี่แม้เพียงครึ่งก้าว
การที่เซียวฮั่นเข้ามาในโลกนี้อีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าจางอู๋จี๋คาดการณ์ไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นเมื่อเซียวฮั่นปรากฏตัว จางอู๋จี๋จึงเดินขึ้นมาแล้วเอ่ยพลางยิ้ม
“พี่เซียว ท่านมาแล้ว น้ำชาเตรียมพร้อมไว้ให้ท่านเรียบร้อย”
“ฮ่า ๆ เจ้ากับเย่าเฉินนั่นช่างมีคุณธรรมจริง ๆ!”
เซียวฮั่นหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงไปอย่างไม่เกรงใจ มือยกจอกที่บรรจุไว้ด้วยน้ำชาแล้วลิ้มรสอย่างพิถีพิถีน
“ข้าไม่เหมือนกับเจ้านั่น เห็นได้ชัดว่าความสามารถโดดเด่น แต่กลับสนใจเพียงแค่โอสถ หากเจ้านั่นมีความกระตือรือร้นต่อการฝึกตนเช่นเดียวกับโอสถ เกรงว่าคงเหนือกว่าข้าแล้ว”
เมื่อเห็นเซียวฮั่นเอ่ยถึงสหายเก่า จางอู๋จี๋ก็ยิ้มพลางส่ายศีรษะอย่างอดไม่ได้
“แต่ละคนมีปณิธานที่ต่างกัน การที่ข้ามาเยี่ยมสหายเก่าอย่างพวกเจ้าในครั้งนี้ ก็หวังว่าพวกเจ้าจะไม่หดหัวอยู่อต่ในกระดองบนเก้ามหาทวีป และติดตามข้าไปบนเก้าชั้นฟ้าด้วยกัน ให้พวกนั้นได้เห็นท่าทีสง่าองอาจของวีรบุรุษจากเก้ามหาทวีปทะยานสู่สวรรค์เก้าชันฟ้า”
ได้ยินดังนั้น เซียวฮั่นก็คลี่ยิ้มพลางเอ่ย
“บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าจะไปเฉิดฉายได้เยี่ยงไร! ยามนี้ข้าเป็นเพียงกระดูกแก่ ๆ ความองอาจนั้นคงไม่มีอีกแล้ว!”
จางอู๋จี๋ไม่ได้ตอบกลับคำกล่าวของเซียวฮั่นในทันที ทว่ากลับมีสีหน้าหดหู่ ด้วยขอบเขตของเขา ก็สามารถมุ่งหน้าไปบนเก้าชั้นฟ้าได้นานแล้ว แต่ยังมีบางสิ่งที่เขาวางไม่ลงบนโลกใบนี้
ต่อให้ดำรงอยู่อย่างแข็งแกร่งเพียงใดก็ยังคงเป็นเพียงมนุษย์ และมนุษย์ก็มีอารมณ์ความรู้สึก มีพันธะที่ยากต่อการตัดสินใจเสมอ ด้วยพันธะเหล่านี้จึงทำให้แต่ละคนเลือกที่จะทำแตกต่างกัน
“แต่ละคนล้วนมีความลำบากใจ ดังนั้นข้าจะไม่บังคับพวกเจ้า แต่จุดประสงค์ของการมายังสำนักแห่งเต๋าครานี้พวกเจ้าก็รู้ เมื่อถึงเวลา การที่เจ้าจะวางเฉยนั้นเป็นไปไม่ได้ นอกจากพวกเจ้าอยากให้สำนักแห่งเต๋าหายไปจากโลกนี้”
เซียวฮั่นวางจอกชาลง คำกล่าวของเซียวฮั่นทำให้จางอู๋จี๋ที่กำลังดื่มชาชะงักไปเล็กน้อยพร้อมกับสีหน้าแข็งค้าง
“พี่เซียว ท่านมีความมั่นใจเต็มสิบส่วนหรือไม่ อย่างที่รู้กันว่าเพื่อผนึกเจ้าสิ่งนั้น สำนักแห่งเต๋าทั้งสำนักต้องจ่ายราคามากมายมหาศาล แม้แต่ผู้อาวุโสหลายท่านในตอนนั้นก็ยังสิ้นชีพ”
แม้ว่าจางอู๋จี๋จะรู้ดีว่าการผนึกของสิ่งนั้นต้องมีพลังและกำลังน่าหวาดผวาเพียงใด แม้แต่เขาผู้มีพลังขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ทรราชระดับแปดเกรงว่าก็ยังไม่พอที่จะรับมือกับสิ่งนั้น
“ปลีกตัวออกมาเพียงหนึ่ง ไม่อาจก่อให้เกิดคลื่นใหญ่มากมาย ข้าคนเดียวสามารถรับมือได้ แต่มีโอกาสที่เผ่าสวรรค์จะส่งยอดฝีมือมา เมื่อถึงเวลาก็ขึ้นอยู่กับเส้นสนกลในของพวกเจ้าแล้ว!”
เซียวฮั่นยิ้มเล็กน้อยก่อนจะโยนปัญหาให้กับจางอู๋จี๋
“เฮ้อ หวังว่าคงจะไม่ใช่มหันตภัยนองเลือดอีกครั้ง!”
เซียวฮั่นต้องการเปิดผนึก แม้จางอู๋จี๋จะรู้ว่าสิ่งนี้คือการมาเยือนของภัยพิบัติ แต่เขากลับสกัดมันไว้ไม่ได้
ยามนี้ผนึกนั้นได้เริ่มคลายออกแล้ว หมายความว่าแม้จะไม่มีเซียวฮั่น ก็ใช้เวลาเพียงไม่นาน ผนึกก็จะทำลายผนึกของมันเองได้ และเมื่อถึงเวลานั้น หากไม่มีเซียวฮั่น เกรงว่าสำนักแห่งเต๋าจะต้องเผชิญกับมหันตภัยครั้งยิ่งใหญ่กว่าเดิม!
……………