ครองภพสยบนิรันดร์ - ตอนที่ 124
124: เคล็ดวิชาสงครามจักรพรรดิ
เมื่อตื่นจากฝัน ก็เป็นรุ่งอรุณของวันใหม่ แสงสีทองอร่ามที่อยู่เหนือหอคัมภีร์สาดส่องไปทั่วร่างของเมิ่งเชียนเซวี่ย
ใบหน้าอันงดงามที่ตื่นจากฝันของนางยังคงมีสีหน้าเหลือเชื่อ ยามนี้นางเพิ่งเข้าใจว่าเซียวฮั่นเป็นผู้สร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ให้กับนางและตระกูลเมิ่งอย่างแท้จริง เคล็ดวิชาแห่งฝันเช่นนี้เป็นวิทยายุทธ์ระดับพลิกสวรรค์ อย่าว่าแต่ยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่ยอดฝีมือขอบเขตเทพแท้จริงพบเข้า เกรงว่าคงอิจฉาตาร้อน
หากภายภาคหน้าตระกูลเมิ่งต้องการความยิ่งใหญ่ก็ย่อมเป็นไปได้ เพราะเคล็ดวิชานี้ทำให้ตระกูลเมิ่งกลายเป็นขุมอำนาจเจ้ายุทธจักรที่แข็งแกร่งที่สุดในมหาทวีปจงโจว และยังสามารถเป็นเจ้ายุทธจักรแห่งเก้ามหาทวีปได้อีกด้วย
“ของขวัญชิ้นนี้ล้ำค่ายิ่งนัก มีค่ามากเกินกว่าที่จะจินตนาการได้!”
ขณะนี้เมิ่งเชียนเซวี่ยพลันรู้สึกหนักอึ้งในใจ สายตาที่มองเซียวฮั่นแปรเปลี่ยนเป็นหลุดลอย ของขวัญล้ำค่าเช่นนี้ สำหรับนางแล้วนับว่าเป็นของขวัญที่มากเกินไปสำหรับตระกูลเมิ่ง
“อย่าได้คิดมาก จงกลับไปฝึกเคล็ดวิชานี้ให้ดี หากไม่เข้าใจสิ่งใดสามารถมาถามข้าได้ นี่คือการแลกอิสระทั้งชีวิตของเจ้า ไม่ต้องรู้สึกกดดัน อีกอย่างข้าอนุญาตให้เจ้าถ่ายทอดเคล็ดวิชาแห่งฝันนี้ให้ตระกูลของเจ้าได้ ”
เห็นสายตาเจือแววสติหลุดลอยของเมิ่งเชียนเซวี่ย เซียวฮั่นจึงเอ่ยพลางหัวเราะเบา ๆ พร้อมกับเปิดคัมภีร์เล่มใหม่อ่าน ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เขาอ่านคัมภีร์ที่บันทึกเรื่องราวมหัศจรรย์ซึ่งเกิดขึ้นบนเก้ามหาทวีปที่ผ่านมาเมื่อแสนปีไปหลายพันเล่มแล้ว
เรื่องราวในนั้นมีประโยชน์สำหรับเซียวฮั่นไม่น้อย โดยเฉพาะการจดบันทึกเรื่องราวใหญ่โต ทำให้เซียวฮั่นสามารถประเมินเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเก้ามหาทวีปในใจได้คร่าว ๆ
ส่วนเมิ่งเชียนเซวี่ยที่เมื่อได้ฟังคำกล่าวของเซียวฮั่นก็ไม่รู้ว่าควรเอ่ยเช่นไรดี ยามนี้เซียวฮั่นไม่ใช่ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญในสายตาของนางอีกต่อไป เซียวฮั่นคือหมอกหนาทึบกลุ่มหนึ่ง ที่ทำให้นางมิอาจรู้ได้แน่ชัดว่าเขาบรรลุขอบเขตระดับใด แต่ที่แน่ ๆ คือเขาไม่ใช่ศิษย์ของสำนักแห่งเต๋าอย่างแน่นอน
เมิ่งเชียนเซวี่ยเกิดความสงสัยภายในใจมากมาย ฐานะของเซียวฮั่นลึกลับขึ้นเรื่อย ๆ จนนางเกิดความเคลือบแคลงใจ เขาต้องเป็นยอดฝีมือที่น่าหวาดกลัวจนมิอาจมีผู้ใดเทียบเทียมเป็นแน่
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เมิ่งเชียนเซวี่ยก็ใจสั่นขึ้นมาอีกครั้ง นางรู้สึกทำตัวไม่ถูก แต่ด้วยคำมั่นสัญญาที่นางให้ไว้กับเซียวฮั่น เช่นนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่น แน่นอนว่าสำหรับนาง การแลกกับเคล็ดวิชาแห่งฝันระดับพลิกสวรรค์เช่นนี้ นั่นเป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนางแล้ว
หลังจากที่เมิ่งเชียนเซวี่ยออกจากหอคัมภีร์มหัศจรรย์ นางก็ยังคงรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย เซียวฮั่นไม่ได้สนใจว่านางคิดอะไรในใจ เขายังคงพลิกอ่านคัมภีร์ที่บันทึกเรื่องมหัศจรรย์เช่นเดิม ในที่สุดเขาก็อ่านคัมภีร์ที่หอมหัศจรรย์จบหมดแล้ว โดยเฉพาะคัมภีร์ที่บันทึกเรื่องราวที่สำคัญเหล่านั้น
“ดูเหมือนว่า ควรออกไปเดินเล่นเสียหน่อย ไม่ได้เห็นสำนักแห่งเต๋ามานานแล้ว”
หอคัมภีร์มีพื้นที่นับหมื่นลี้ แยกย่อยคัมภีร์ประเภทต่าง ๆ สร้างอยู่ในนี้จำนวนหลักพันวิถี แม้ว่าเขาเพียงเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจ ก็ใช้เวลาไปครึ่งค่อนวันแล้ว
หอคัมภีร์มีหอที่สำคัญที่สุดสี่แห่ง คือ หอคัมภีร์วิทยายุทธ์ หอคัมภีร์เคล็ดวิชา หอคัมภีร์อาคมเต๋า หอคัมภีร์เคล็ดเต๋า สี่แห่งนี้ล้วนแต่มีผู้อาวุโสยอดฝีมือเทพศักดิ์สิทธิ์คอยควบคุมดูแลอยู่หนึ่งท่าน สำหรับเซียวฮั่นแล้ว ทั้งสี่สถานที่นี้ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของเขา หากเอ่ยถึงด้านเคล็ดวิชา เขาก็มีเคล็ดวิชาวิถีจักรพรรดิอยู่แล้ว ส่วนด้านวิทยายุทธ์ เขาก็มีวิชาเทพอมตะนิรันดร์อยู่แล้ว นอกจากนี้ด้านอาคมเต๋าและเคล็ดเต๋า เขาก็ยิ่งไม่ขาดสิ่งใดเลย
ที่หอคัมภีร์ มีสถานที่แห่งหนึ่ง ที่สามารถดึงดูดศิษย์ให้เข้าออกได้ไม่น้อย แม้แต่อาจารย์ที่ปรึกษาก็ยังมาที่นี่เป็นประจำ สถานที่แห่งนี้คือเวทีบรรยายคัมภีร์ บทบาทของเวทีบรรยายคัมภีร์แห่งนี้ คือการให้ศิษย์ผู้ร่ำเรียนทั้งหลายอธิบายจุดที่รู้แจ้งของอาคมเต๋า วิทยายุทธ์ เคล็ดวิชา เคล็ดเต๋าของตนเองให้ศิษย์สหายฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิทยายุทธ์และอาคมเต๋าของศิษย์ที่อยู่ในระดับเดียวกัน โดยมักจะแลกเปลี่ยนความรู้ให้กันและกันฟังที่เวทีบรรยายคัมภีร์
หากศิษย์คนใดที่ฝึกตนได้สูงกว่าและมีความมั่นใจ ก็สามารถอธิบายความรู้ความเข้าใจ วิถีแห่งการฝึกตนและอาคมเต๋าเหล่านี้ต่อหน้าฝูงชนได้ นี่ถือเป็นการอธิบายข้อสงสัยให้กับศิษย์คนอื่น และเป็นการสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองด้วย
เวทีบรรยายคัมภีร์มีศิษย์มารวมตัวกันเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นศิษย์ใหม่ และมีศิษย์เก่าบางส่วนอยู่ด้วยเช่นกัน บนเวทีบรรยายคัมภีร์ มีบุรุษหนุ่มใส่ชุดคลุมสีทองกำลังอธิบายเคล็ดวิชาสงครามจักรพรรดิราวกับเป็นผู้มีพรสวรรค์ทางด้านการเจรจา เขาสามารถยกจุดที่ยากจะเข้าใจของเคล็ดวิชาออกมาได้ทั้งหมด ทำให้ศิษย์ที่อยู่ในที่แห่งนั้นฟังอย่างเพลิดเพลินจนหลงลืมเวลา
“เคล็ดวิชาสงครามจักรพรรดิ สงครามอยู่ที่ใจ สงครามคือเต๋า สงครามทำลายทุกสรรพสิ่ง ปลุกปณิธานและอานุภาพแห่งสงครามในตัวเอง! มิน่าเล่าข้าถึงไม่สามารถทะลวงเคล็ดวิชาสงครามจักรพรรดิได้ถึงขอบเขตใหม่เสียที ที่แท้ข้าไม่ได้คิดจนหยั่งรู้ถึงเพียงนี้ ศิษย์พี่อ้าวเทียนสมกับเป็นหนึ่งในสี่ ศิษย์พี่ผู้โดดเด่นจริง ๆ ความรู้และความเข้าใจกระจ่างแจ้งระดับนี้ข้าคงไม่มีทางเทียบได้”
ขณะที่ได้ฟังบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งบรรยายเคล็ดวิชาสงครามจักรพรรดิ ศิษย์มากมายต่างก็พากันชื่นชม บุรุษหนุ่มผู้นี้นามว่าอ้าวเทียน เป็นศิษย์เก่ารุ่นที่แล้วซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ของศิษย์ผู้มีพรสวรรค์โดดเด่น
“ศิษย์พี่อ้าวเทียนคือคนที่พวกเราเทียบไม่ได้เลย อายุเพียงยี่สิบสองปี แต่กลับบรรลุขอบเขตทรราชขั้นสูง ได้ยินว่าศิษย์พี่อ้าวเทียนกำลังจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตราชัน นั่นเป็นขอบเขตที่ศิษย์พี่พวกเราห้าถึงหกปีต่างบรรลุถึงขอบเขตนั้นได้น้อยมาก”
ศิษย์ที่เพิ่งเข้าเรียนสำนักแห่งเต๋ามองอ้าวเทียนบนเวที พลางกล่าวถึงเขาด้วยความตื่นเต้น
“ยังต้องเอ่ยอีกหรือ หากศิษย์พี่อ้าวเทียนทะลวงขอบเขตราชันสำเร็จ คงมีโอกาสได้มีรายชื่อขึ้นบนป้ายเกียรติยศเป็นแน่ หลังจากเรียนจบห้าปีคงกลายเป็นยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์!”
ศิษย์อีกคนที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยินดังนั้นจึงหัวเราะและรีบกล่าวอย่างภาคภูมิใจ ตอนที่อ้าวเทียนยังเป็นศิษย์ในรุ่นนั้นเขาก็เป็นคนที่ดูเปล่งบารมียิ่งนัก ชื่อเสียงของเขาไล่เลี่ยกับศิษย์ผู้มีพรสวรรค์รุ่นเก่ามากมาย
“ป้ายเกียรติยศงั้นหรือ ดูเหมือนว่าบนป้ายจะมีรายชื่อศิษย์ใหม่น้อยมาก เพราะศิษย์พี่ที่อยู่บนป้ายเกียรติยศเหล่านั้น ล้วนแต่เป็นคนเก่งจนน่าหวาดกลัวทั้งสิ้น”
ป้ายเกียรติยศ คือหนึ่งในสามป้ายรายชื่อที่สำนักแห่งเต๋าสร้างขึ้น ผู้ที่มีรายชื่อบนป้ายนั้น โดยมากแล้วเป็นผู้โดดเด่นที่บรรลุขอบเขตราชัน บนป้ายเกียรติยศจะมีรายชื่อเพียงสามสิบคนเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นศิษย์เก่า
สำนักแห่งเต๋าเปิดรับศิษย์ใหม่จำนวนหลักหมื่นถึงหลักแสนทุกปี ประสบการณ์ของศิษย์ที่จบการศึกษา ส่วนใหญ่จะสามารถฝึกตนบรรลุขอบเขตรวบรวมลมปราณหรือไม่ก็ขอบเขตจักรพรรดิ ส่วนผู้ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นล้วนแต่สามารถทะลวงขอบเขตทรราช และหนึ่งในผู้ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นเหล่านั้นก็จะสามารถทะลวงขอบเขตราชันได้
ศิษย์รุ่นพี่ห้าถึงหกรุ่นที่กลายเป็นยอดฝีมือระดับราชันนั้นมีไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยคน หากศิษย์ผู้มีพรสวรรค์หนึ่งร้อยคนอยากมีรายชื่อเป็นหนึ่งในสิบคนบนป้ายเกียรติยศจึงนับว่าไม่ง่ายดายนัก เพราะศิษย์เหล่านั้นล้วนแต่เป็นผู้มีพรสวรรค์ร้ายกาจ
สิบคนที่กล่าวมานี้ หากกล่าวให้ชัดเจนคือ ศิษย์ทั้งสิบคือศิษย์ที่ฝึกฝนจนมีความสามารถสูงที่สุดในสำนักแห่งเต๋า ด้วยเหตุนี้ ศิษย์ที่มีระดับขอบเขตราชันมากมายต่างพยายามฝึกฝนอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ได้เป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจ และอันดับยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งสิบอันดับต่างก็แข่งขันกันอย่างดุเดือดทุกปี
ขณะที่อ้าวเทียนกำลังอธิบายความซับซ้อนและวิธีฝึกเคล็ดวิชาสงครามจักรพรรดิถึงจุดที่เรียกว่าคอขวด เซียวฮั่นก็บังเอิญเดินมาพอดี หลังจากที่ได้ยินเคล็ดวิชาที่อ้าวเทียนอธิบาย เซียวฮั่นได้เพียงส่ายศีรษะเล็กน้อย ถึงแม้บุรุษหนุ่มชุดทองผู้นี้จะอธิบายได้ไม่เลว แต่ก็เป็นเพียงการอธิบายถึงจุดที่ไม่ลึกซึ้ง เคล็ดวิชาสงครามจักรพรรดิที่แท้จริงนั้นลึกซึ้งยิ่งนัก ใช่ว่าอธิบายแล้วจะสามารถเข้าใจได้
“นี่ สหาย เหตุใดจึงส่ายศีรษะ อ้าวเทียนกล่าวไม่ถูกหรือ”
การส่ายศีรษะของเซียวฮั่น บังเอิญมีศิษย์ผู้หนึ่งเห็นเข้า ศิษย์ผู้นี้เห็นว่าเซียวฮั่นอายุใกล้เคียงกับเขาแต่กลับแสดงอาการไม่พอใจที่อ้าวเทียนอธิบายเรื่องเคล็ดวิชาสงครามจักรพรรดิ จึงคิดไปว่าเซียวฮั่นอาจเป็นคนที่ทำอะไรไม่คิดไตร่ตรองให้ดี
เมื่อศิษย์คนอื่นได้ยิน ต่างพากันหันมามองเซียวฮั่นด้วยสายตาโมโห อย่างที่รู้กันว่าการอธิบายของอ้าวเทียน ทำให้คนในที่นี้ได้รับประโยชน์มากมาย หากมีศิษย์คนหนึ่งวิ่งออกมาปฏิเสธการอธิบายของอ้าวเทียนต่อหน้า นั่นไม่ใช่เพียงหักหน้า ทว่าคือการตบหน้า
“อธิบายได้พอประมาณ แต่เคล็ดวิชาสงครามจักรพรรดิที่แท้จริงไม่ง่ายเช่นนั้น!”
เมื่อเห็นสายตาโมโหของฝูงชน เซียวฮั่นได้เพียงยิ้มและอธิบายพร้อมส่ายศีรษะ
“น่าขัน ศิษย์พี่อ้าวเทียนเป็นถึงผู้มีพรสวรรค์โดดเด่น ทว่ายอมสละเวลามาเพื่อตอบข้อสงสัยให้ศิษย์ใหม่ ข้าว่าเจ้าคงมาเพื่อเรียกร้องความสนใจ!”
ได้ยินเช่นนั้น ในดวงตาของคนมากมายเริ่มทวีความโมโหขึ้น หากเซียวฮั่นอธิบายออกมาได้ไม่เหมาะสม เกรงว่าเขาคงลำบากแน่
“เคล็ดวิชาสงครามจักรพรรดิ ให้ความสำคัญกับคำว่าสงคราม เหตุใดจึงต้องเป็นคำว่าสงคราม? เพราะการทำสงครามต้องสู้ให้ถึงที่สุด ทั้งที่รู้ว่าต้องเผชิญกับอุปสวรรค ทั้งที่รู้ว่ามิอาจต่อกร ต่อสู้จนตัวตาย ต่อสู้จนฟ้าถล่มดินทลาย ต่อสู้จนโลหิตนองเป็นสายน้ำ แม้ว่าต้องเผชิญหน้ากับสวรรค์ ก็จะต่อสู้กับเทพเจ้าอย่างถึงที่สุด ทั้งที่รู้ว่ามิอาจต่อกร แต่ก็สู้ราวกับนี่เป็นศึกสงครามครั้งสุดท้าย ทั้งที่รู้ว่าต้องตาย แต่ก็จะสู้จนถึงที่สุด หากแม้นต้องสละชีวิตตัวเอง ก็จะสู้จนรู้แพ้รู้ชนะ!”
ขณะที่เสียงเอ่ยเบา ๆ ของเซียวฮั่นดังไปถึงเวทีบรรยายคัมภีร์ ทั้งเวทีพลันเงียบลง แม้แต่อ้าวเทียนที่อยู่บนเวทีก็อดมองมาที่เซียวฮั่นไม่ได้
ถึงแม้ทุกสิ่งจะเงียบสงัด แต่ในใจของทุกคนกลับร้อนระอุ ทั้งที่รู้ว่ามิอาจต่อกร ทั้งที่รู้ว่าต้องตาย แต่ก็ยังคงสู้จนถึงที่สุด หากแม้นต้องสละชีวิตตัวเอง ก็จะสู้จนรู้แพ้รู้ชนะ ถ้าพวกเขามีความกล้าหาญถึงเพียงนี้ คงไม่ต้องมัวกังวลว่าจะฝึกตนไม่สำเร็จเคล็ดวิชาสงครามจักรพรรดิ ขอเพียงมีความกล้าหาญยอมสู้ในสงครามจนถึงที่สุด เพียงเสี้ยวส่วนของเคล็ดวิชาสงครามจักรพรรดิ ก็สามารถเรียนรู้ได้ภายในพริบตา
ทว่าคำกล่าวนี้ของเซียวฮั่นตรงใจหลายคน โดยเฉพาะศิษย์ผู้ฝึกเคล็ดวิชาสงครามจักรพรรดิ ในยามนี้ที่เข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วก็จงสู้ศึกสงครามจนถึงที่สุด ใช่แล้ว เคล็ดวิชาสงครามจักรพรรดิ ให้ความสำคัญที่คำว่าสงคราม รบฟ้ารบดิน สู้ศึกสงครามจนถึงที่สุด ไม่มีวันหันหลังกลับ สู้เพื่อให้รู้แพ้รู้ชนะ
ขณะนั้นเอง ศิษย์ที่มองเซียวฮั่นด้วยสายตาโมโหเหล่านั้นต่างก็ไม่กล้าใช้สายตานั้นมองเซียวฮั่นอีก กระทั่งไม่มีความคิดที่จะโต้แย้งใด ๆ อันที่จริงเซียวฮั่นอธิบายได้ดีกว่าอ้าวเทียนมาก แม้ว่าเซียวฮั่นไม่ได้อธิบายถึงวิธีการฝึกตนหรือความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวกับเคล็ดวิชาสงครามจักรพรรดิเลย แต่คำกล่าวเพียงไม่กี่ประโยคนี้กลับสามารถทำให้คนทั้งหมดในที่แห่งนี้ยอมนับถือเขาด้วยใจจริง
“สู้ศึกสงครามจนถึงที่สุด! บุรุษหนุ่มชุดขาวผู้นี้คือศิษย์จากสำนักใดหรือ เหตุใดข้าจึงไม่รู้จัก”
“ข้าก็ไม่รู้จัก เหมือนว่าไม่เคยพบมาก่อน หนำซ้ำชุดที่เขาใส่ยังไม่ใช่เครื่องแบบของสำนัก เกินไปหน่อยกระมัง”
ขณะนี้คนมากมายต่างมองมาที่เซียวฮั่น และพากันถกเถียง พวกเขาเพิ่งพบว่าเซียวฮั่นไม่ได้ใส่ชุดเครื่องแบบของสำนักตามกฎระเบียบ
อย่างที่รู้กันว่าสำนักแห่งเต๋ามีกฎระเบียบที่เป็นลายลักษณ์อักษร ศิษย์ผู้ร่ำเรียนในสำนักแห่งเต๋า จะต้องใส่ชุดของสำนัก มิเช่นนั้นจะพ้นสภาพการเป็นศิษย์ของสำนักแห่งเต๋า ผลลัพธ์นี้มิอาจจินตนาการได้ ถึงแม้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่อาจถูกสำนักแห่งเต๋าเชิญให้ออกได้
เซียวฮั่นไม่ได้ใส่ชุดของสำนักวิถีทำลายสีทอง และไม่ได้ใส่ชุดของสำนักวิถีเต๋าสีม่วง แต่กลับใส่ชุดสีขาว จึงสะดุดตาผู้คนในที่แห่งนี้ยิ่งนัก เพียงแต่ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ทันสังเกตเท่านั้นเอง
อย่างที่รู้กันว่า การไม่ใส่ชุดของสำนักเป็นการหยามกฎระเบียบของสำนักแห่งเต๋า เรื่องนี้ดูเหมือนเล็กน้อย แต่ร้ายแรงมาก สำนักแห่งเต๋าไม่มีอาจารย์ที่ปรึกษาท่านใดกล้าใส่ชุดเครื่องแบบสีอื่นตามอำเภอใจ ส่วนมากล้วนแต่ใส่ชุดคลุมสีม่วงทอง นี่เป็นครั้งแรกที่มีศิษย์กล้าใส่ชุดสีอื่นอย่างโจ่งแจ้งแล้วเดินทั่วสำนัก
ขณะที่ทุกคนต่างสงสัยในตัวเซียวฮั่น เซียวฮั่นกลับยังคงทำตัวตามสบาย ไม่มีความรู้สึกตื่นตระหนกแม้แต่น้อย ราวกับว่าชุดที่เขาใส่นั้นไม่ใช่สีขาว แต่เป็นชุดเครื่องแบบของสำนักแห่งเต๋าทั่วไป
“ศิษย์น้อง เจ้าไม่ใส่เครื่องแต่งกายของสำนักเต๋า ผลลัพธ์นั้นรุนแรงนัก หากเจ้าไปพบอาจารย์ที่ปรึกษากับข้า ข้าอาจจะขอความเมตตาแทนเจ้าได้ คงพอช่วยให้โดนโทษเบาได้บ้าง”
บนเวทีบรรยายคัมภีร์ อ้าวเทียนเห็นฝูงชนต่างมองหน้ากันไม่รู้จะทำเช่นไร เขาจึงเอ่ยกับเซียวฮั่นอย่างเนิบช้า
เมื่อฝูงชนได้ยินเช่นนั้น ต่างก็แอบชื่นชมความใจกว้าง ไม่คิดแค้นและยินดีออกตัวช่วยเหลือเซียวฮั่นของอ้าวเทียน ทั้งที่เซียวฮั่นเพิ่งเอ่ยเหมือนตบหน้าเขาแท้ ๆ
“ข้าเกือบจำไม่ได้แล้วว่าเครื่องแบบของสำนักแห่งเต๋านั้นเป็นเช่นไร อาจเพราะผ่านมานานแล้วจึงจำไม่ได้”
เซียวฮั่นส่ายศีรษะ ปฏิเสธเจตนาดีของอ้าวเทียนต่อหน้าต่อตา
การปฏิเสธเช่นนี้ทำให้อ้าวเทียนเก็บสีหน้าไว้ไม่อยู่ เดิมทีเขาต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อสร้างชื่อเสียง และดึงศิษย์เหล่านี้มาเป็นพวก แต่นึกไม่ถึงว่าคนผู้นี้ซึ่งไม่รู้ว่ามาดีหรือร้าย หนำซ้ำยังทำเขาขายหน้าอีก จึงทำให้เขารู้สึกสุดจะทน
ศิษย์ไม่น้อยเมื่อเห็นฉากนี้ ต่างมองเซียวฮั่นด้วยสายตาคาดไม่ถึง แม้ว่าคำที่เซียวฮั่นกล่าวไว้ก่อนหน้าเกี่ยวกับเคล็ดวิชาสงครามจักพรรดิจะดีมาก แต่ก็คนละเรื่องกัน เซียวฮั่นทำให้อ้าวเทียนขายหน้าถึงสองครา ไม่ว่าเป็นใครก็ต้องโมโห ในสายตาคนส่วนใหญ่ วิธีการที่ดูไม่ฉลาดของเซียวฮั่นเช่นนี้ล่วงเกินอ้าวเทียนยิ่งนัก
และการล่วงเกินอ้าวเทียนที่สำนักแห่งเต๋า นั่นหมายความว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว นอกจากนี้เซียวฮั่นยังดูถูกกฏระเบียบของสำนัก โดยการใส่ชุดขาวอย่างโจ่งแจ้ง หากอาจารย์ที่ปรึกษาหรือฝ่ายควบคุมกฎตัดสินโทษขึ้นมา เกรงว่าแค่เพียงเรื่องนี้เซียวฮั่นก็ได้รับโทษแล้ว
แต่เซียวฮั่นยังคงทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้เรื่องนี้ จากนั้นจึงเดินออกจากหอคัมภีร์ต่อหน้าฝูงชน ทำให้ศิษย์เหล่านั้นต่างรู้สึกไม่พอใจ
อ้าวเทียนซึ่งอยู่บนเวทีบรรยายคัมภีร์มองเงาร่างที่ค่อย ๆ จากไปของเซียวฮั่น นัยน์ตาประกายแววลึกล้ำ ใบหน้าหล่อเหลาเผยสีหน้าเคร่งขรึม นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกคนหักหน้าในสำนักแห่งเต๋า แถมยังถูกหักหน้าถึงสองครา
เมื่อเซียวฮั่นออกจากเวทีอธิบายคัมภีร์ เขายังคงเดินเล่นต่อในหอคัมภีร์ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่า เหตุใดก่อนหน้านี้จึงมีคนจับผิดเขา ที่แท้เป็นเพราะเขาไม่ได้ใส่ชุดเครื่องแบบของสำนัก แต่สำหรับเขาใส่หรือไม่ใส่ก็ไม่ได้แตกต่างกัน
“ฮือ ๆ ”
ขณะที่เซียวฮั่นเดินช้า ๆ บริเวณหอคัมภีร์ ในมุมเงียบสงบแห่งหนึ่ง มีสตรีรุ่นเยาว์ผู้หนึ่งกำลังกอดเสาร้องไห้คร่ำครวญ นางอายุราวสิบแปดปี รูปร่างอรชร ผมยาวปลิวไสว แม้ว่าจะไม่เห็นหน้า แต่คาดว่าหน้าตาคงงดงาม
“คนของตระกูลอู่งั้นหรือ”
เซียวฮั่นมองสตรีผู้นี้หนึ่งครา จึงหรี่ตาลง ลมปราณที่ปรากฏบนตัวของสตรีรุ่นเยาว์ผู้นี้ ทำให้เขารู้ว่านางกำลังฝึกฝนเคล็ดวิชาเทพศักดิ์สิทธิ์ที่อู่ขวางถูสืบทอดไว้
“ดูเหมือนจะประสบกับปัญหาทางด้านอารมณ์”
เซียวฮั่นมองสตรีรุ่นเยาว์ที่ร้องไห้คร่ำครวญ เขาได้เพียงยิ้มและส่ายศีรษะ สตรีรุ่นเยาว์อายุสิบแปด เป็นช่วงวัยแรกแย้ม และเป็นช่วงที่อารมณ์อ่อนแอมากที่สุด หากเจอปัญหารุมเร้า อาจจะสูญเสียการควบคุมทางด้านอารมณ์ได้
แต่เห็นแก่สตรีรุ่นเยาว์ผู้นี้ซึ่งเป็นลูกหลานของตระกูลอู่ เขาสามารถช่วยนางได้ จะอย่างไรอู่ขวางถูก็เป็นสหายของเขา และนี่เป็นเพียงการช่วยโดยบังเอิญเท่านั้น
“เป็นอะไรหรือไม่ ? ”
ขณะที่อู่เฟิ่งเอ๋อกำลังร้องไห้เสียใจ พลันได้ยินเสียงบุรุษแปลกหน้าดังขึ้น นางเงยหน้าขึ้นมอง จึงพบกับบุรุษหนุ่มชุดขาวกำลังมองนางด้วยสีหน้าอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้ม ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อนางเห็นความอ่อนโยนและรอยยิ้มของบุรุษชุดขาวผู้นี้ ความรู้สึกเศร้าโศกในใจกลับลดลงไปไม่น้อย ความรู้สึกนี้ไม่มีที่มา แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
แน่นอนว่า เซียวฮั่นแอบช่วยเหลือแบบเงียบ ๆ เพียงแต่นางไม่รู้ตัวเท่านั้น สำหรับเซียวฮั่นแล้ว การลงมือช่วยเหลือด้วยวิธีเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก
“ปะ เปล่า ข้าไม่เป็นอะไร ขอบคุณศิษย์พี่ที่เป็นห่วง!”
แม้ว่านางจะไม่รู้จักเซียวฮั่น แต่รอยยิ้มของเซียวฮั่นทำให้ความรู้สึกโศกเศร้าในใจนางสงบลงอย่างที่ไม่เคยเป็น แม้นางจะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เพียงมองเซียวฮั่นก็เกิดความรู้สึกอบอุ่นใจ
“ไม่เป็นอะไรก็ดี ความรู้สึกสับสนทางอารมณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ปล่อยให้สลายหายไปกับสายลมก็พอ บนโลกนี้ยังมีเรื่องราวน่าสนใจรอให้เจ้าไปค้นหาอยู่อีกมากนัก”
เซียวฮั่นคลี่ยิ้ม ยื่นมือไปเช็ดน้ำตาหญิงงามเบื้องหน้า คำกล่าวของเซียวฮั่นทำให้นางใจสั่นระรัว คนที่ยืนตรงหน้านางยามนี้ ดูราวกับพี่ชายของนางที่เสียชีวิตไปนานแล้ว
“นั่น ศิษย์น้องหญิงเฟิ่งเอ๋อนี่ เหตุใดเมื่อครู่จึงร้องไห้ราวกับอกหักจะเป็นจะตาย ตอนนี้พบชายหนุ่มคนใหม่เสียแล้วหรือ”
เสียงหัวเราะเย็นชาดังขึ้น ศิษย์สตรีในชุดคลุมสีม่วง ประดับองค์ทรงเครื่องงดงาม เดินมุ่งหน้าไปหาเซียวฮั่นและอู่เฟิ่งเอ๋อ และคนที่เอ่ยปากคือศิษย์สตรีที่เดินนำหน้า
ศิษย์สตรีผู้นี้สวมชุดคลุมสีม่วง แต่งตัวงดงาม องค์เอวอรชร หน้าอกเอิบอิ่ม ใบหน้างามสะคราญแฝงเลศนัยอยู่ไม่น้อย
“ภายนอกเจ้าดูใสซื่อ แต่ลับหลังไม่รู้ว่าเกี่ยวพันกับบุรุษมาเท่าใดแล้ว หน้าไม่อาย มิน่าเล่าศิษย์พี่ฟู่ถึงได้ทิ้งเจ้าไป แล้วมาเลือกพี่เม่ยเอ๋อของพวกข้า”
สตรีที่อยู่ด้านข้างซึ่งดูมีเจตนาแฝงเลศนัย กล่าวเหน็บแนมอู่เฟิ่งเอ๋ออย่างเผ็ดร้อน
เมื่อถูกศิษย์สตรีสองคนนี้เหน็บแนม อู่เฟิ่งเอ๋อพลันหน้าแดง ในใจเต็มไปด้วยไฟแห่งโทสะ แต่กลับไม่สามารถตอบโต้คำของทั้งสองนางได้ โดยเฉพาะการที่พวกนางพบเห็นฉากนี้ ต่อให้นางมีแปดปากก็เกรงว่าจะอธิบายได้ไม่ชัดเจนพอ
“หึ หากศิษย์พี่ฟู่รู้ว่านางแสร้งทำเป็นใสซื่อ คงสลัดนางทิ้งไปนานแล้ว คงไม่รอให้ถึงวันนี้หรอก แสร้งทำเป็นใสบริสุทธิ์ต่อหน้าศิษย์พี่ฟู่ น่าคลื่นไส้นัก!”
ศิษย์สตรีอีกคนหนึ่งเห็นเหตุการณ์จึงกล่าวฉีกหน้าออกมาเช่นกัน
“รีบไสหัวไป ก่อนที่ข้าจะโมโห!”
ได้ยินทั้งสามกล่าวถากถางเหน็บแหนมอู่เฟิ่งเอ๋อ เซียวฮั่นกวาดตามองคนทั้งสามอย่างนิ่งเฉย และเอ่ยอย่างนิ่งเรียบ
“ดูสิ บุรุษรูปงามผู้นี้อยากเป็นวีรบุรุษช่วยหญิงงาม ข้าว่านางยังมีบุรุษที่ซ่อนไว้อีกเท่าใดก็ไม่รู้ เจ้ารีบอยู่ห่าง ๆ นางเถิด หากเทียบกับนาง สหายทั้งสองของข้าดีกว่าไม่รู้กี่เท่า เจ้าควรมองการณ์ให้ไกลกว่านี้หน่อย”
หลินเม่ยเอ๋อมองเซียวฮั่นหนึ่งครา พลางหัวเราะเบา ๆ
“ข้าบอกให้ไสหัวไป ข้าไม่อยากเอ่ยเป็นครั้งที่สาม!”
ตั้งแต่ต้นจนจบ เซียวฮั่นแสดงสีหน้าไม่แยแส แม้ว่าเขาไม่ต้องการมีเรื่องกับรุ่นเยาว์ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่อบรมสั่งสอนรุ่นเยาว์เหล่านี้
“ไอ้กระจอก เจ้าอย่าหาเรื่องลำบากใส่ตัวเองเลย เจ้าน่าจะรู้ว่าพี่เม่ยเอ๋อเป็นถึงบุตรสาวตระกูลหลินผู้มั่งคั่ง แถมยังเป็นขุมอำนาจชั้นหนึ่งของเมืองแห่งเต๋า เพียงนิ้วมือเดียวก็บดขยี้ให้เจ้าตายได้”
เห็นเซียวฮั่นกำเริบเสิบสานเช่นนี้ ศิษย์สตรีด้านข้างหลินเม่ยเอ๋อจึงเอ่ยและหัวเราะอย่างเย็นชา นางมีคนหนุนหลังเช่นนี้ จากการคาดการณ์แล้ว เซียวฮั่นต้องตกใจจนตื่นตระหนก คุกเข่าขอให้พวกนางยกโทษให้เป็นแน่
“ตุบ!”
คำตอบที่นางได้กลับเป็นความเจ็บปวด วินาทีถัดมา นางก็เห็นหลินเม่ยเอ๋อและสหายอีกคนหนึ่งของนางกระเด็นลอยตามมา
“ตุบ!”
สุดท้าย เงาร่างของทั้งสามกระเด็นไปกระทบกับพื้นอย่างแรง เลือดพลันไหลกระเซ็นออกมาจากปาก แน่นอนว่าเซียวฮั่นเพียงแค่อบรมสั่งสอนทั้งสามคนเท่านั้น ไม่ได้ออกแรงมากมาย มิเช่นนั้นอย่าว่าแต่ศิษย์สตรีทั้งสามคนนี้ แม้แต่ยอดฝีมือเทพศักดิ์สิทธิ์สามคนก็ไม่อาจรับมือจากการปะทะของเขาไหว
“จะ…เจ้ากล้าทำร้ายข้างั้นหรือ เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วใช่หรือไม่”
หลินเม่ยเอ๋อลุกขึ้นมาจากพื้น หันไปต่อว่าเซียวฮั่นราวกับเป็นสตรีปากร้ายคนหนึ่ง ตอนนี้สภาพของนางยุ่งเหยิง แถมมีคราบเลือด ไม่มีเค้าความงดงามเหลือแม้แต่น้อย
ทว่าสิ่งที่นางได้รับกลับมากลับเป็นสายตาเย็นชาของเซียวฮั่น และสายตานี้ทำให้หลินเม่ยเอ๋อเกิดความหนาวเหน็บขึ้นมาทันใด สายตาเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกเหมือนว่าคนผู้นี้กำลังมองคนตายก็มิปาน
“ได้! ฝากไว้ก่อนเถอะ เจ้าจะต้องเสียใจภายหลัง!”
หลินเม่ยเอ๋อทิ้งคำเจ็บแค้นไว้ แล้วรีบพาศิษย์สตรีอีกสองคนเดินขากะเผลกออกจากที่นี่ไป เนื่องจากนางเห็นแววจ้องสังหารจากในตาของเซียวฮั่น จึงเกรงว่าหากอยู่ต่อ อาจจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
แต่ความแค้นครั้งนี้นางจดจำไว้แล้ว และอีกไม่นาน นางจะรีบแก้แค้นแน่นอน อย่างที่รู้กันว่านางเป็นถึงบุตรสาวแห่งตระกูลหลินผู้มั่งคั่ง หนำซ้ำตระกูลหลินยังเป็นถึงขุมอำนาจเจ้ายุทธจักรของเมืองแห่งเต๋า แถมยังเป็นสำนักที่มีเทพศักดิ์สิทธิ์ถึงสามท่าน หนึ่งในนั้นยังมีบรรพบุรุษอาวุโสท่านหนึ่งเป็นผู้อาวุโสที่สำนักแห่งเต๋า และอาจารย์ผู้คุมกฎหลายท่านก็เป็นคนของตระกูลหลิน
ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่หลินเม่ยเอ๋อกลับไปได้ไม่นาน ก็มีเสียงอาจารย์จากตระกูลหลินท่านหนึ่งตะโกนดังขึ้น อาจารย์แซ่หลินท่านนี้เมื่อทราบว่ามีศิษย์บังอาจทำร้ายคุณหนูของตนอย่างโจ่งแจ้งในสำนัก เขาก็รู้สึกโกรธมาก จึงไปเรียกร้องความเป็นธรรมแทนหลินเม่ยเอ๋อทันที
เมื่ออาจารย์ท่านนี้ออกหน้า หลินเม่ยเอ๋อเห็นว่า ยังไงเสียเซียวฮั่นต้องแย่แน่นอน นางสามารถจินตนาการถึงฉากที่เซียวฮั่นคุกเข่าบนพื้นโขกศีรษะได้อย่างแช่มชัดแล้ว
แต่หลินเม่ยเอ๋อนึกไม่ถึงว่า เรื่องนี้จะทำให้นางเสียใจไปตลอดชีวิต…
ระยะเวลาในการไปกลับของหลินเม่ยเอ๋อรวดเร็วนัก แน่นอนว่าเซียวฮั่นและอู่เฟิ่งเอ๋อยังไม่ไปไหน อู่เฟิ่งเอ๋อในยามนี้กลับแอบเป็นห่วงเซียวฮั่น อย่างที่รู้กันว่าเซียวฮั่นล่วงเกินหลินเม่ยเอ๋อเพื่อรับหน้าแทนนาง ด้วยฐานะและขุมอำนาจของตระกูลหลิน สำนักแห่งเต๋าต้องมีวิธีทำให้เซียวฮั่นใช้ชีวิตต่อไปลำบากเป็นแน่
“เจ้าเป็นศิษย์รุ่นใดกัน ถึงกล้ากำเริบเสิบสานทำร้ายศิษย์เช่นนี้อย่างไร้เหตุผล อีกทั้งยังหยามกฎระเบียบสำนัก ไม่ใส่เครื่องแบบ!”
เมื่อหลินเม่ยเอ๋อพาอาจารย์ตระกูลหลินท่านนี้มา อาจารย์แซ่หลินผู้นี้มองไปยังเซียวฮั่นที่แสดงสีหน้าไม่ใยดี
เมื่อเห็นว่าเซียวฮั่นไม่ใส่ชุดเครื่องแบบสำนัก อาจารย์แซ่หลินผู้นี้จึงขี้เกียจหาข้ออ้างแล้ว สำหรับเขา การที่เซียวฮั่นกำเริบเสิบสานอย่างไร้เหตุผล ไม่ใส่ชุดเครื่องแบบของสำนักแห่งเต๋า อีกทั้งยังกล้าทำร้ายศิษย์จนบาดเจ็บ ความผิดทั้งสองเรื่องนี้ต้องลงโทษ อย่างไรเซียวฮั่นต้องถูกไล่ออกจากสำนักเป็นแน่
“หลินซานอยู่ที่ใด”
เซียวฮั่นกลับไม่สนใจเขา ได้เพียงกล่าวคำถามนี้ออกมาอย่างนิ่งเฉย แม้ว่าเสียงจะเบา แต่ได้ยินทั่วหอคัมภีร์
“รนหาที่ตาย เจ้าบังอาจเรียกขานนามศักดิ์สิทธิ์แห่งบรรพบุรุษตระกูลหลินตามอำเภอใจเชียวหรือ”
ได้ยินเช่นนั้น อาจารย์แซ่หลินพลันโมโหเป็นการใหญ่ จากนั้นจึงรวบรวมพลังลมปราณพุ่งใส่เซียวฮั่น
“บังอาจ!”
ขณะที่อาจารย์แซ่หลินผู้นี้ยื่นมือไปทางเซียวฮั่น เสียงเจือบารมีอันน่าเกรงขามพลันตะโกนขึ้นด้วยความโมโห ผู้อาวุโสผมขาว ใส่ชุดสีม่วงทองรีบทะลุมิติออกมาอย่างรีบร้อน แล้วปะทะอาจารย์แซ่หลินท่านนี้กระเด็นออกไปโดยไม่พูดไม่จา
ฉากนี้พลันทำให้หลินเม่ยเอ๋อและศิษย์สตรีสองคนนั้นงุนงง ผู้ใดกล้าดีขนาดนี้ บังอาจลงมือกับอาจารย์ของสำนักแห่งเต๋า นี่เป็นการท้าทายอำนาจของสำนักแห่งเต๋าโดยแท้
ขณะที่ใบหน้าของผู้อาวุโสผู้นี้ปรากฏ สีหน้าของหลินเม่ยเอ๋อกลับซีดเผือดลงทันใด เพราะผู้อาวุโสผู้นี้คือหลินซานที่เซียวฮั่นเพิ่งเอ่ยถึง และเป็นหนึ่งในสามบรรพบุรุษยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์
“นายท่าน ข้าสั่งสอนลูกหลานไม่ดี แถมยังล่วงเกินให้ท่านโมโห!”
ตอนนี้หลินซานรู้สึกว่าสามารถสังหารได้แม้กระทั่งลูกหลานทั้งสองของตน เมื่อก่อนเขากลัวว่าจะมีศิษย์ไม่รู้กาลเทศะทำให้เซียวฮั่นโมโห และสร้างความเดือดร้อนให้สำนักแห่งเต๋า แต่เขากลับนึกไม่ถึงเลยว่า คนที่ทำให้เซียวฮั่นโมโหกลับเป็นลูกหลานตระกูลหลิน นี่ทำให้วิญญาณของเขาสามารถลอยออกไปนอกเก้าชั้นฟ้าได้เลย
หากทำให้ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้โมโห เรื่องที่ลูกหลานตระกูลหลินสองคนตายนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็ก แต่หากตระกูลหลินต้องตกที่นั่งลำบาก เช่นนั้นหากพวกเขาต้องตกตายนับหมื่นครั้งก็ยังไม่คุ้มค่า!
………..