ครองภพสยบนิรันดร์ - ตอนที่ 120
120: สำนักแห่งเต๋า!
เมืองแห่งเต๋ามีพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลไร้จุดสิ้นสุด หากกล่าวว่าเป็นมหาทวีปอีกฟากหนึ่งของโลกก็ไม่ผิดนัก เมืองแห่งเต๋ามีขุมอำนาจชั้นสองจำนวนหลักพัน ส่วนขุมอำนาจชั้นหนึ่งก็มีถึงหลักสิบ
สถานที่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองแห่งเต๋าคือสำนักแห่งเต๋า และสำนักแห่งเต๋าตั้งอยู่ในเขตศูนย์กลางของเมืองแห่งเต๋า ครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่กว่าหมื่นพันลี้ สิ่งก่อสร้างขนาดมหึมาสร้างเรียงติดต่อกัน มีทั้งวิหารสมบัติ เจดีย์วิญญาณ วิหารวิญญาณ เรียงรายเต็มไปหมด แต่ที่พบเห็นได้ทั่วไปคงเป็นเวทีประลองยุทธ์
สำนักแห่งเต๋าแบ่งออกเป็นสองสำนักย่อยหลัก ๆ สำนักหนึ่งคือวิถีทำลาย อีกสำนักหนึ่งคือวิถีเต๋า และสำนักแห่งเต๋ารับผู้เรียนใหม่ทุกปี เงื่อนไขขั้นต่ำคืออายุต้องน้อยกว่ายี่สิบปี และเป็นยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่บรรลุขอบเขตแก่นแท้ขึ้นไป
ระยะเวลาในการเรียนที่สำนักแห่งเต๋าคือเมื่อครบห้าปี ผู้เรียนก็จะจบการศึกษา และสามารถกลับไปยังตระกูลสำนักด้วยประสบการณ์โชกโชนหรือท่องไปยังมหาทวีปเพื่อผจญภัยไปยังที่ต่าง ๆ แน่นอนว่ามีผู้เรียนบางส่วนยินดีที่จะอยู่เป็นอาจารย์สอนผู้เรียนใหม่ แต่ผู้ที่จะอยู่เป็นอาจารย์โดยมากแล้วคือผู้เรียนที่มีพรสวรรค์โดดเด่น จบการศึกษาด้วยการฝึกตนบรรลุเป็นยอดฝีมือระดับขอบเขตราชัน
การมีพรสวรรค์จนสามารถฝึกตนบรรลุขอบเขตราชันด้วยอายุยี่สิบห้าปีเช่นนี้ เกรงว่าขุมอำนาจชั้นหนึ่งจะให้ความสำคัญในการอบรมเฉพาะผู้สืบทอดหรือไม่ก็ผู้มีพรรสวรรค์ชั้นเยี่ยมเท่านั้น หากพวกเขายินดีที่จะอยู่ต่อในสำนักแห่งเต๋า ก็จะได้รับทรัพยากรจากการฝึกตนอย่างต่อเนื่อง เมื่อเป็นเช่นนี้ หนทางภายภาคหน้าของพวกเขาก็จะราบรื่นยิ่งขึ้น ถึงขั้นว่าสามารถใช้โอกาสนี้ทะลวงขอบเขตเป็นยอดฝีมือเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ย่อมเป็นไปได้
สำนักแห่งเต๋ายินดีที่จะให้ผู้เรียนเหล่านี้อยู่ต่อ และในภายภาคหน้ายังสามารถกลายเป็นผู้อาวุโสที่มีอำนาจในสำนักแห่งเต๋า และได้สิทธิ์ในการใช้ทรัพยากรทั้งหมดอีกด้วย
“ลูกพี่ ท่านจะไปเป็นศิษย์งั้นหรือ?”
เห็นเซียวฮั่นไปยังสำนักแห่งเต๋า หม่าเหลียงเฉินจึงอดแสดงสีหน้าประหลาดใจไม่ได้ แม้ว่าเขาไม่รู้ระดับการฝึกบำเพ็ญของเซียวฮั่นในยามนี้ แต่แน่นอนว่าจะต้องน่าหวาดกลัวจนมิอาจมีผู้ใดเทียบเทียมได้
“ใช่ข้าที่ไหน เจ้าต่างหากที่จะเข้าไป”
ได้ยินเช่นนั้น เซียวฮั่นเพียงกล่าวและอมยิ้ม การฝึกตนและศักยภาพของเขาในยามนี้ ไม่จำเป็นต้องไปเป็นศิษย์ ถึงเขาไปเรียนที่สำนักแห่งเต๋าก็ไม่มีประโยชน์อะไร
“เช่นนั้นลูกพี่ไปทำอะไรหรือ?”
หม่าเหลียงเฉินตกตะลึง เขาไม่ค่อยเข้าใจความคิดของเซียวฮั่นเท่าใดนัก
“ข้าหรือ ไปเป็นอาจารย์ชั่วคราวคงได้กระมัง”
ได้ยินเช่นนั้น เซียวฮั่นจึงเอ่ยขึ้นและหัวเราะอย่างลึกลับ ครานี้เขามาสำนักแห่งเต๋าไม่ใช่เพื่อมาเป็นร่ำเรียน และไม่ได้มาเป็นอาจารย์ แต่มาเพื่อจัดการเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่ง ในภพก่อนนั้นเขาสร้างกลประทับไว้กับของล้ำค่าชิ้นหนึ่งที่สำนักแห่งเต๋า คราวนี้ถึงเวลาต้องนำกลับมาแล้ว
“คิดไว้แล้วเชียว ลูกพี่ไม่มีทางไปเป็นศิษย์หรอก ถ้าเป็นอาจารย์ยังพอไหว”
หม่าเหลียงเฉินรีบเอ่ยประจบประแจงเซียวฮั่นด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้ม
“เอาล่ะ เลิกประจบประแจงเสียที ที่ให้เจ้าเข้าเรียนที่สำนักแห่งเต๋าเพราะมีเงื่อนไข ข้าให้เวลาเพียงห้าปี เจ้าต้องทะลวงขอบเขตยอดฝีมือเทพศักดิ์สิทธิ์ มิเช่นนั้นเจ้าก็รอไปฝึกในดินแดนอเวจีได้เลย”
เซียวฮั่นโบกมือ คำกล่าวนี้ทำให้สีหน้าของหม่าเหลียงเฉินซีดเผือด ลูกตาแทบถลนออกมา
“สวรรค์! ลูกพี่! ห้าปีเลยหรือ…อะไรนะ บรรลุขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์!! เช่นนั้นลูกพี่ฆ่าข้าเถิด!!”
ได้ยินเช่นนั้น หม่าเหลียงเฉินจึงอุทานเสียงหลงราวกับหมูถูกเชือดด้วยความตกตะลึง
“เจ้าว่ามาเองนะ เช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าสมความปรารถนา!”
ได้ยินดังนั้น เซียวฮั่นหรี่ตาลง กุมฝ่ามือ เตรียมจู่โจมไปทางหม่าเหลียงเฉิน
“อย่า! ลูกพี่ ข้าทำได้ ทำได้แน่นอน!”
แม้ว่าหม่าเหลียงเฉินจะกล่าวเช่นนี้ แต่ใบหน้าขมขื่นของเขาดูเหมือนว่าจะขมกว่ามะระเสียอีก เจอเซียวฮั่นไม่มีเหตุผลเช่นนี้ เขายังจะกล่าวอะไรได้อีก
“วางใจเถิด! ถึงเวลานั้นข้าจะหาคนมาช่วยเจ้า แต่เจ้าต้องเตรียมตัวให้ดี คนผู้นี้มีสมญานามว่าปีศาจเลือดเย็น หากไม่พอใจอะไรเพียงนิดเดียว เจ้าลำบากแน่”
เซียวฮั่นพลันนึกอะไรได้ จึงกล่าวพลางอมยิ้ม เมื่อหม่าเหลียงเฉินเห็นรอยยิ้มเช่นนี้ ร่างกายพลันตึงแน่น ราวกับมีเรื่องไม่ดีบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น
สำนักแห่งเต๋ากว้างใหญ่ไพศาล มีทางเข้าออกสี่ทาง ผู้สัญจรไปมาล้วนแต่เป็นผู้เรียนที่สวมชุดคลุมยาวของสำนักแห่งเต๋า ผู้ร่ำเรียนจากสำนักวิถีทำลายสวมชุดคลุมสีทอง ผู้ร่ำเรียนจากวิถีเต๋าสวมชุดคลุมสีม่วง และผู้ที่สวมชุดสีม่วงทองคืออาจารย์ที่ปรึกษาของสำนักแห่งเต๋า
สำนักแห่งเต๋ารับผู้เรียนใหม่ทุกปี วันธรรมดาก็รับผู้เรียนเช่นกัน แต่การรับผู้เรียนในวันธรรมดา ส่วนใหญ่เป็นการรับผู้ที่มีพรสวรรค์โดดเด่น เช่นยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่มีขอบเขตรวบรวมลมปราณหรือขอบเขตจักรพรรดิที่อายุต่ำกว่ายี่สิบปี จึงจะสามารถเข้ามาทำการทดสอบได้
ดูเหมือนจะมีเพียงยอดฝีมือรุ่นเยาว์ขอบเขตแก่นแท้เท่านั้น ที่ต้องรอวันที่รับผู้เรียนประจำปีอย่างเป็นทางการ แต่โชคดีที่หม่าเหลียงเฉินอายุประมาณยี่สิบปี โดยมีพลังบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิ จึงผ่านเกณฑ์อย่างฉิวเฉียด
สำนักแห่งเต๋าต่างจากขุมอำนาจอื่น ส่วนใหญ่พวกเขาจะไม่ถามภูมิหลังหรือขุมอำนาจของผู้เรียน พวกเขาให้ความสำคัญเพียงว่าศักยภาพเป็นเช่นไร ขอเพียงมีศักยภาพโดดเด่น ต่อให้ภูมิหลังลึกลับเพียงใด สำนักแห่งเต๋าก็ไม่ได้สนใจ
นี่คือความแตกต่างของสำนักแห่งเต๋าและขุมอำนาจอื่น ในเมื่อสำนักเป็นเพียงสถานที่ฝึกอบรมผู้มีความสามารถ พวกเขามิได้รับศิษย์สาวก แต่พวกเขามีหน้าที่รับผิดชอบอบรมผู้มาร่ำเรียนเป็นศิษย์ อบรมยอดฝีมือในอนาคต ไม่เหมือนขุมอำนาจอื่นที่แย่งชิงความเป็นใหญ่กัน
แต่แน่นอนว่าการที่เซียวฮั่นพาหม่าเหลียงเฉินเข้าสู่สำนักแห่งเต๋า ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนั้น เมื่อมาถึงด้านนอกของสถาบัน มือหนึ่งของเซียวฮั่นจับหม่าเหลียงเฉิน เพียงโบกมือหนึ่งครา มิติก็แตกละเอียด เงาร่างของเขาและหม่าเหลียงเฉินสามารถทะลุเข้าสู่มิติได้ทันที
เงาร่างของทั้งสองปรากฎขึ้นอีกครั้งในมิติเอกเทศ สถานที่แห่งนี้ราวกับสวรรค์วิมานก็ไม่ปาน ที่แห่งนี้เต็มไปด้วยภูผางามธาราใส น้ำตกแห่งสวรรค์รินไหล นกกระเรียนสวรรค์ยืนผ่อนคลายอยู่ท่ามกลางธารา ราวกับว่าโลกใบนี้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่งดงาม
เมื่อเงาร่างเซียวฮั่นที่พาหม่าเหลียงเฉินปรากฏขึ้น พริบตาเซียวฮั่นและหม่าเหลียงเฉินก็ถูกสัมผัสศักดิ์สิทธิ์จดจ้องอย่างแน่นหนา และในบรรดาสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กว่าสิบสายนั้น มีสายหนึ่งที่น่าหวาดกลัวอย่างที่สุดอยู่
“เทพศักดิ์สิทธิ์ทรราชระดับแปด ยอดเยี่ยม สมกับเป็นยอดฝีมือหนึ่งในสิบสำนักแห่งเต๋า!”
เซียวฮั่นเอ่ยขึ้นพลางยิ้ม เมื่อสัมผัสศักดิ์สิทธิ์มองไปที่ร่างของเซียวฮั่น เขาจึงคลี่ยิ้มขึ้นมา เพราะรู้ว่าเจ้าของสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นี้คือผู้ใด
“พี่เซียว คิดไม่ถึงว่าจะได้มีโอกาสพบท่านอีกครั้ง!”
เสียงตื่นเต้นแฝงด้วยความคาดไม่ถึงดังขึ้น เงาร่างหนึ่งค่อย ๆ ปรากฏเบื้องหน้าเซียวฮั่นและหม่าเหลียงเฉิน
เงาร่างนี้สวมชุดคลุมสีเขียว ใบหน้าหล่อเหลา ผมดำดุจหมึกยาวประบ่า นัยน์ตาลึกล้ำ แม้ว่าตัวคนจะยืนอยู่ธรรมดา แต่กลับดูเหมือนเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน
“อู๋จี๋ ไม่พบกันเสียนาน!”
มองบุรุษชุดเขียวตรงหน้า เซียวฮั่นก็ยกยิ้มขึ้นมาทันใด
บุรุษผู้นี้นามว่า จางอู๋จี๋ เป็นสหายของเซียวฮั่นในภพก่อน อู่ขวางถูบรรพบุรุษแห่งตระกูลอู่ขนานนามให้เขาเป็นหนึ่งในสิบยอดฝีมือสำนักแห่งเต๋า เป็นยอดฝีมือที่มีความโดดเด่นที่สุดในสมัยนั้น อย่างที่รู้กันว่าตอนที่พวกเขาจบการศึกษา ทุกคนล้วนแต่ฝึกตนบรรลุเป็นยอดฝีมือเทพศักดิ์สิทธิ์ด้วยอายุเพียงยี่สิบห้าปี หากเป็นยุคสมัยนี้คงมิอาจจินตนาการได้
แต่ในยุคสมัยของเซียวฮั่น เป็นยุคที่รุ่งเรืองมาก ไม่มีคนที่เก่งที่สุด มีเพียงคนที่เก่งกว่า
เมื่อเงาร่างนี้ปรากฏ สัมผัสศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นต่างก็พากันถอนสัมผัสกลับ อย่างที่รู้กันว่าปัจจุบันนี้จางอู๋จี๋เป็นบรรพบุรุษที่เก่าแก่ที่สุดของสำนักแห่งเต๋า เป็นผู้ที่มีฝืมือแข็งแกร่งที่สุดและมีอำนาจทางวาจามากที่สุด
“พี่เซียว หากข้าเดาไม่ผิดแผ่นดินสั่นสะเทือนใหญ่เมื่อสองครั้งก่อนเกรงว่าคงเป็นฝีมือท่าน”
จางอู๋จี๋มองเซียวฮั่น ใบหน้าหล่อเหลาเผยรอยยิ้ม
“แค่การปะทะเล็กน้อยเท่านั้น!”
เซียวฮั่นคลี่ยิ้มพลางกล่าว แต่รอยยิ้มของเขากลับทำให้จางอู๋จี๋อดหัวเราะอย่างขมขื่นไม่ได้
“พี่เซียว การปะทะเล็กน้อยของท่าน ข้าเองก็รับมือไม่ไหวเช่นกัน ครานี้ท่านมาสำนักแห่งเต๋าคงมิใช่จะมาปะทะกระมัง”
“ข้าเพียงแต่มานำของชิ้นหนึ่งกลับ ส่วนจะเป็นการปะทะเล็กน้อยหรือเป็นการปะทะครั้งใหญ่ คงต้องดูการตัดสินใจของคนเหล่านั้นเสียก่อน”
เซียวฮั่นหรี่ตาลง นัยน์ตาลึกล้ำ จนจางอู๋จี๋หัวเราะแห้ง ๆ พร้อมเอ่ย
“พี่เซียว สำนักแห่งเต๋าเป็นเพียงสำนักเล็ก ๆ ขอท่านโปรดเมตตาด้วยเถิด”
“วางใจเถอะ ข้าเพียงต้องการสอนอยู่ที่สำนักแห่งเต๋าชั่วคราวเท่านั้น จะไม่ก่อเรื่องเป็นอันขาด”
แม้ว่าเซียวฮั่นจะกล่าวเช่นนี้ แต่จางอู๋จี๋กลับไม่เชื่อคำกล่าวของเซียวฮั่นแม้แต่น้อย เขารู้นิสัยและอารมณ์ของเซียวฮั่นดีกว่าใคร
“โอ้ ใช่แล้ว…เจ้าปีศาจเลือดเย็นอยู่ที่ใด? ข้าพาลูกศิษย์มาหา นางต้องพอใจเป็นแน่” ทันใดนั้น เซียวฮั่นก็กล่าวแทรกขึ้นมาระหว่างบทสนทนา
“อึกก…”
ได้ยินเช่นนั้น จางอู๋จี๋นิ่งไม่มีปฏิกริยาโต้ตอบครู่หนึ่ง จากนั้นสายตาเขาก็มองไปยังหม่าเหลียงเฉิน นัยน์ตาเปล่งประกายความน่าหวาดกลัวออกมา ราวกับต้องการมองหม่าเหลียงเฉินให้ทะลุปรุโปร่ง
“หรือว่าจะเป็น…ฮ่าวเทียน!?”
สีหน้าจางอู๋จี๋พลันแปรเปลี่ยน และเอ่ยคำที่ทำให้มิอาจคาดเดาได้ชัดเจน
“ใช่ เพียงแต่เขาเกิดใหม่แล้ว ความทรงจำทั้งหมดเลือนหายไปสิ้น” เซียวฮั่นพยักหน้าอย่างไม่ปิดบัง ทว่าหม่าเหลียงเฉินที่อยู่ด้านข้างกลับงุนงง อะไรคือฮ่าวเทียน อะไรคือการเกิดใหม่
“โชคไม่ดีนัก นึกไม่ถึงว่าเวลาผ่านไปไม่นาน เทพแท้จริงจะมีช่วงที่ตกต่ำได้ถึงเพียงนี้”
จางอู๋จี๋ถอนหายใจ รู้สึกปลงอนิจจังเป็นอย่างยิ่ง ยอดฝีมือเทพแท้จริง หมื่นปีจะปรากฏเพียงหนึ่งท่าน แต่ละท่านล้วนแต่ฝีมือเลิศล้ำ แต่ยอดฝีมือเทพแท้จริงก็ยังมีช่วงเวลาตกอับ
“พาเขาไปพบนางนับว่าเหมาะสมแล้ว!”
จางอู๋จี๋พยักศีรษะ ยอมรับการตัดสินใจเลือกของเซียวฮั่น คำกล่าวประโยคนั้นของจางอู๋จี๋ หม่าเหลียงเฉินเองก็คงคิดไม่ถึงว่าชีวิตที่เขาต้องพบในอนาคตอีกห้าปีคือช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด
“เอาล่ะ เรื่องอดีตค่อยว่ากันภายหลัง ตอนนี้ข้าคืออาจารย์แห่งสำนักแห่งเต๋าของพวกเจ้า หากจำเป็น ก็มอบศิษย์รุ่นเยาว์มาให้ข้าสอนสักสองสามคน ถือว่าเป็นค่าตอบแทนในการกินอยู่ก็แล้วกัน”
เซียวฮั่นคลี่ยิ้ม คำกล่าวของเซียวฮั่นกลับทำให้จางอู๋จี๋ตาเป็นประกาย ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าขอบเขตของเซียวฮั่นอยู่ในระดับใด แต่เขารู้แก่ใจว่า การฝึกตนของเซียวฮั่นนั้นสูงกว่าระดับขอบเขตของเขาในยามนี้มากนัก
เนื่องจากขอบเขตของจางอู๋จี๋ จึงไม่สามารถออกจากพื้นที่แห่งนี้ได้ วันใดที่ปรากฏตัวบนเก้ามหาทวีป ถึงตอนนั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ทรราชแปดระดับแปดเช่นเขาก็อาจจะตกอยู่ภายใต้ทัณฑ์สวรรค์เช่นกัน!
……………..