ครองภพสยบนิรันดร์ - ตอนที่ 119
119: ตระกูลอู่!
“ฮิ ๆ ลูกพี่ ไม่เจอกันนานทีเดียวเชียว!”
เมื่อเซียวฮั่นปรากฏกายต่อหน้าหม่าเหลียงเฉิน เขาก็รีบลุกขึ้นไปต้อนรับทันที สีหน้าบัดนี้เต็มไปด้วยความคิดถึงปรากฏเต็มใบหน้า
“ไปให้พ้น!”
เมื่อมองไปยังหม่าเหลียงเฉินผู้ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความคิดถึง แม้แต่เซียวฮั่นก็ตัวสั่นเทาอย่างอดไม่ได้ ฉับพลันเขาถีบหม่าเหลียงเฉินจนกระเด็นออกไปทันที
“ฮือ ๆ ลูกพี่ ท่านทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้ ข้าคือน้องชายที่ซื่อสัตย์จริงใจที่สุดของท่าน!”
ได้ยินดังนั้น หม่าเหลียงเฉินก็มีใบหน้าเศร้าโศกเสียใจทันที
“เอาล่ะ หยุดแสดงละครได้แล้ว ข้ากำลังจะออกเดินทางไปยังมหาทวีปจงโจว เจ้าจงไปกับข้า”
เซียวฮั่นส่ายศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างจำใจ
“ลูกพี่จงเจริญหมื่น ๆ ปี!”
ได้ยินดังนั้น หม่าเหลียงเฉินก็ตะโกนเสียงดังด้วยสีหน้าดีอกดีใจทันที ในดวงตาเกิดประกายความตื่นเต้นเกินจะเปรียบ
มหาทวีปจงโจว เมื่อเทียบกับมหาทวีปตงโจวไปยังมหาทวีปหนานโจวก็ยังกว้างใหญ่ไพศาลกว่า แม้ว่าจะอาศัยลานเคลื่อนย้ายก็ยังต้องใช้เวลาถึงหนึ่งวัน
และระยะทางที่ไกลเช่นนี้ อย่าว่าแต่ยอดฝีมือขอบเขตราชัน แม้แต่ยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์เมื่อเดินทางข้ามมิติ เกรงว่าก็ยังต้องใช้เวลาเกือบเดือน ไม่รู้ต้องก้าวผ่านกี่อาณาเขต กี่ร้อยล้านลี้
และเมื่ออาศัยลานเคลื่อนย้าย ศิลาวิญญาณระดับล้ำเลิศทั้งหมดที่ต้องใช้ก็มีจำนวนมากมายมหาศาล โดยจำเป็นต้องใช้หนึ่งแสนก้อนโดยประมาณ
และตัวเลขดังกล่าว หากเป็นแต่ก่อน เกรงว่าแม้สำนักกระบี่หลิงเทียนจะประหยัดกินประหยัดใช้เป็นเวลาแสนปีก็ไม่มีทางเก็บได้
เพียงแต่ศิลาวิญญาณระดับล้ำเลิศหนึ่งแสนก้อน สำหรับเซียวฮั่นแล้วเป็นเพียงจำนวนเล็กน้อย ดังนั้นภายใต้สายตาที่อยากได้จนน้ำลายยืดยาวสามฉื่อของหม่าเหลียงเฉิน ศิลาวิญญาณระดับล้ำเลิศกองใหญ่เท่าภูเขากองเต็มทั่วทั้งประตูเคลื่อนย้าย ตัวอักษรคำว่าเทพบนประตูเคลื่อนย้ายเปล่งแสงประกายวาบอย่างรวดเร็ว ศิลาวิญญาณระดับล้ำเลิศหนึ่งแสนก้อนกลายเป็นสีเทาขาวอย่างฉับพลัน ท้ายที่สุดลมหอบหนึ่งก็พัดผ่านให้หายไป
“ไป!”
เซียวฮั่นใช้มือจับหม่าเหลี่ยงเฉิน จากนั้นก็ก้าวฝ่าเท้าหนึ่งครา คนทั้งสองเข้าไปในลานเคลื่อนย้ายอันบิดเบี้ยว ครานี้ลานเคลื่อนย้ายจะไปยังเมืองแห่งเต๋าของมหาทวีปจงโจว และเป็นฐานที่มั่นหลักของสำนักแห่งเต๋า
เมืองแห่งเต๋าก่อตั้งขึ้นในเขตกลางของมหาทวีปจงโจว เป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ที่เจริญรุ่งเรืองอย่างมาก ในเมืองแห่งเต๋า แค่ขุมอำนาจระดับหนึ่งก็มีไม่ต่ำกว่าสิบ และขุมอำนาจเหล่านี้เดิมทีล้วนมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับสำนักแห่งเต๋า บรรพบุรุษหรือผู้อาวุโสส่วนมากล้วนเป็นศิษย์ของสำนักแห่งเต๋าทั้งสิ้น
เนื่องจากมีสำนักแห่งเต๋าจึงสามารถพบเห็นยอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิได้ทั่วไปในเมือง ยอดฝีมือขอบเขตทรราชก็มีไม่น้อย หรือแม้แต่ยอดฝีมือขอบเขตราชันยังสามารถพบเห็นได้อย่างง่ายดาย
กล่าวได้ว่ายามเดินบนถนน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นยอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิและขอบเขตทรราช และมียอดฝีมือขอบเขตราชันจำนวนไม่น้อยเดินอยู่ในบรรดาคนเหล่านั้น ปรากฏการณ์เช่นนี้ไม่มีทางจินตนาการได้ในสี่ทวีปอื่น
จงโจว ผู้ฝึกตนเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในห้าทวีป ไม่ด้อยไปกว่าอีกสี่ทวีปแม้แต่น้อย สิ่งนี้ไม่ใช่เพียงคำกล่าวเลื่อนลอย
อย่างที่รู้กันว่าภายในเมืองแห่งเต๋านั้นยิ่งใหญ่กระทั่งมีขุมอำนาจชั้นหนึ่งก่อตั้งอยู่รอบ ๆ นับสิบแล้ว เนื่องจากศิษย์จากสำนักแห่งเต๋าที่จบการศึกษาออกไป เพียงแค่ยอดฝีมือขอบเขตราชันก็มีไม่รู้เท่าใด ถึงขนาดที่ผู้ศึกษาต่างมีพลังขอบเขตราชัน และผู้อาวุโสที่มีอำนาจของสำนักแห่งเต๋าล้วนเป็นยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์
และผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ของสำนักก็ยังเป็นยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ทรราช นอกจากนี้ยังมีผู้อาวุโสของสำนักอยู่อีกมากมาย ผู้อาวุโสใหญ่และคนอื่น ๆ ล้วนเป็นการดำรงอยู่ระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ทรราช กล่าวได้ว่าแค่สำนักแห่งเต๋าเพียงสำนักเดียวก็เพียงพอที่จะเทียบเคียงกับขุมอำนาจอันน่าหวั่นเกรงจากทั้งมหาทวีปตงโจวรวมกัน
ตระกูลอู่ คือหนึ่งในขุมอำนาจระดับสองในเมืองแห่งเต๋า เพียงแต่ตระกูลอู่มีมรดกที่เก่าแก่มาเนิ่นนาน และบรรพบุรุษของตระกูลอู่ก็เป็นศิษย์ของสำนักแห่งเต๋า ก่อนจะก่อตั้งตระกูลอู่ในเมืองแห่งเต๋าภายหลัง
และตระกูลอู่มีศาลบรรพชนขนาดเล็กซึ่งไม่รู้ว่าดำรงอยู่มาแล้วกี่ปี ตระกูลอู่หลายคน เมื่อกำเนิดมาก็รู้จักศาลบรรพชนเล็ก ๆ หลังนี้แล้ว แต่สิ่งที่แปลกมากคือสิ่งที่ตั้งอยู่ในศาลบรรพชนไม่ใช่ป้ายสถิตวิญญาณของบรรพชนตระกูลอู่ในอตีด แต่กลับเป็นรูปปั้นรูปหนึ่ง
ส่วนภูมิหลังเกี่ยวกับชีวิตและฐานะของรูปปั้นรูปนี้ ไม่มีผู้ใดทราบ แม้แต่คนในตระกูลอู่เองก็ยังบอกได้ไม่ชัดเจน รู้แต่เพียงว่ารูปปั้นรูปนี้มีความสัมพันธ์กับบรรพบุรุษของพวกเขา ดังนั้นจึงถูกตระกูลอู่ถือว่าเป็นบรรพบุรุษ บางครั้งคราวก็จะเซ่นไหว้ เพียงแต่ไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก
ดังนั้น ผ่านไปนานมากแล้ว ศาลบรรพชนเล็ก ๆ หลังนี้ในตระกูลอู่ก็กลายเป็นเพียงที่เก็บรูปปั้นบรรพบุรุษเท่านั้น ไม่ได้ดึงดูดความสนใจเพียงใด
“วิ้ง!”
แสงเปล่งประกายระยิบระยับ สองตาของรูปปั้นรูปนี้เปล่งแสงวาววับ เพียงชั่วครู่อากาศก็บิดเบี้ยว จากนั้นเงาร่างของเซียวฮั่นและหม่าเหลียงเฉินก็เปล่งแสงออกมาจากดวงตาของรูปปั้น
“ดีที่ยังมีอยู่ ข้าจะได้เลี่ยงความวุ่นวาย”
เห็นว่าทางออกของลานเคลื่อนย้ายยังอยู่ในศาลบรรพชนหลังนี้ เซียวฮั่นก็หัวเราะเสียงเบาเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้
รูปปั้นรูปนี้ก็คือเซียวเฟิงเมื่อภพก่อน ส่วนบรรพบุรุษของตระกูลอู่กับเขานับว่ามีความสนิทสนมกันอย่างมาก จึงได้สร้างรูปปั้นรูปนี้ไว้ ณ ที่แห่งนี้ในเวลาต่อมา ทั้งยังสลักพิกัดทางออกของลานเคลื่อนย้ายจากสำนักกระบี่หลิงเทียนไปยังเมืองแห่งเต๋าไว้ที่รูปปั้นรูปนี้ด้วย
“ลูกพี่ รูปปั้นนี้ดูคุ้นเคยยิ่งนัก? หรือว่าข้าเคยเห็นที่ใด?”
ขณะมองไปยังรูปปั้นที่ใบหน้าประดับรอยยิ้มซึ่งอยู่ข้างหลังเขา หม่าเหลียงเฉินก็มุ่นหัวคิ้วก่อนจะเอ่ยอย่างงงงวย
“ผู้ใดอาจหาญบุกเข้ามาในตระกูลอู่ของข้า!”
เสียงพิโรธดังขึ้นอย่างฉับพลัน พลังมากมายมหาศาลโอบล้อมเซียวฮั่นและหม่าเหลียงเฉินไว้ เมื่อรับรู้ได้ถึงพลังอันน่าหวาดผวาสายนี้ จิตใจของหม่าเหลียงเฉินพลันเย็นเยียบขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ยอดฝีมือขอบเขตราชัน!
ทันทีที่เสียงตะโกนดังขึ้น เงาร่างสายหนึ่งก็ปรากฏเบื้องหน้าเซียวฮั่นอย่างฉับพลัน เงาร่างนี้สวมชุดคลุมสีแดง ผมสีดอกเลาเต็มศีรษะแต่กลับรูปร่างสูงใหญ่ สีหน้าแดงเปล่งปลั่ง แววตาคู่หนึ่งที่ดูราวกับแววตาพยัคฆ์ ยามนี้ปลดปล่อยสายตาเฉียบคมไปทางเซียวฮั่นและหม่าเหลียงเฉิน
และชายชราท่านนี้ก็คือผู้อาวุโสของตระกูลอู่ เป็นยอดฝีมือคอยปกปักษ์รักษาตระกูล เพียงแต่เขานึกไม่ถึงว่ายามนี้จะมีคนสองคนลอบเข้ามาในตระกูลอู่ของเขาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง หากเขาไม่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงได้ใช้จิตเทพกวาดตาดูภายในตระกูล เกรงว่าคงไม่รู้ว่ามีคนบุกเข้ามา
“พวกข้าเป็นผู้ใดไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือพวกข้าไม่ได้เป็นปรปักษ์ต่อตระกูลอู่”
เซียวฮั่นมองไปยังชายชราที่อยู่เบื้องหน้า ก่อนจะคลี่ยิ้มบางเบาพลางเอ่ย
ชายชราได้ยินดังนั้นก็มิได้วางใจ แน่นอนว่าเป้าหมายที่ควรระวังคือเซียวฮั่น ไม่ใช่หม่าเหลียงเฉิน แม้ว่าหม่าเหลียงเฉินยังหนุ่มแต่กลับมีพลังขอบเขตจักรพรรดิ แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรบนมหาทวีปจงโจว ทว่าเซียวฮั่นกลับทำให้เขารู้สึกแตกต่าง
เซียวฮั่นเพียงยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบ ๆ ไม่มีคลื่นพลังใด ๆ แม้แต่น้อย ราวกับคนธรรมดาก็มิปาน แต่ชายชรากลับรู้สึกว่า ชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวที่อยู่เบื้องหน้าเป็นการดำรงอยู่อันน่าหวาดกลัวอย่างแน่นอน มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าพลังอยู่เหนือกว่าจินตนาการของเขาเสียด้วยซ้ำ
“หากทั้งหมดที่ท่านพูดเป็นความจริง เหตุใดท่านจึงบุกเข้ามาในตระกูลอู่ของข้าโดยไม่ได้บอกกล่าว!”
ยามนี้ ชายชราได้ลอบรวมรวมกฎแห่งพลังไว้ด้วยกัน เตรียมพร้อมที่จะสู้อย่างสุดกำลังทุกเมื่อ
“ครืน!”
ขณะที่ชายชราเตรียมสู้อย่างเต็มกำลัง เซียวฮั่นเพียงชูมือขึ้นแล้วกุมไว้ จากนั้นพลังอันน่าหวาดผวาก็ปลดปล่อยออกมาจากมือของเขา พลังสายนี้เพียงพอที่จะสังหารยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ได้
ภายใต้พลังสายนี้ ชายชราก็เปรียบดั่งมดปลวก ทำได้เพียงมองไปยังเซียวฮั่นด้วยใบหน้าหวาดกลัวสุดขีด และภายใต้พลังอันน่าหวาดผวาสายนี้ เขาผู้เป็นยอดฝีมือขอบเขตราชันก็เปรียบเสมือนมดตัวน้อยที่อยู่ภายใต้คลื่นโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีความสามารถใดจะต่อต้าน
“ยามนี้คงเชื่อแล้วกระมัง?”
คนสะบัดมือหนึ่งครา พลังอันน่าหวาดผวาเกินบรรยายก็หายไป เซียวฮั่นคลี่ยิ้มบางเบา และเมื่อคำกล่าวของเซียวฮั่นสิ้นสุดลง หลังของชายชราก็ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว เพียงการกุมมืออย่างง่ายดายของชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้ากลับดูเหมือนนำพลังเก้าชั้นฟ้ามาด้วย เกรงว่าเพียงการกุมมือสุ่มสี่สุ่มห้าของชายหนุ่มชุดขาวผู้นี้ก็สามารถสังหารยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ได้ หากเขาเดาไม่ผิด ชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าก็คือการดำรงอยู่สูงสุดของยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นการดำรงอยู่อันไร้เทียมทาน
และการดำรงอยู่เช่นนี้ เกรงว่าคงไม่มีใจคิดร้ายใด ๆ ต่อพวกเขาตระกูลอู่ เนื่องจากตระกูลอู่ไม่มีคุณสมบัติทำให้การดำรงอยู่ไร้เทียมทานเช่นนี้เหลียวมอง
“ลูกพี่ ข้าเลื่อมใสท่านยิ่งนัก จิตศรัทธาที่น้องชายมีต่อท่าน เปรียบดั่งแม่น้ำสายยาวที่ไหลเชี่ยวไม่จบสิ้น!”
ยามนี้เมื่อหม่าเหลียงเฉินที่อยู่ข้าง ๆ เห็นการลงมือของเซียวฮั่นอย่างฉับพลัน ตาทั้งสองข้างตรงดิ่ง ออกฝ่ามือหนึ่งคราอย่างง่ายดายก็ราวกับการโจมตีทำลายสวรรค์ สิ่งนี้ช่างน่าหวาดผวาเกินไปแล้ว หากเขามีพลังเช่นนี้ เกรงว่าทั้งเก้ามหาทวีปก็สามารถเดินเหินไปได้ทุกแห่ง
แน่นอนว่าพลังของเซียวฮั่นในยามนี้สามารถไปที่ใดก็ได้อย่างแท้จริง หลังจากกลืนกินโลหิตสวรรค์หนึ่งหยด ร่างเทพศักดิ์สิทธิ์อมตะของเซียวฮั่นก็ก้าวเข้าสู่ขั้นกลาง ออกฝ่ามือหนึ่งคราอย่างง่ายดายก็สามารถทำลายการดำรงอยู่ขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์สวรรค์ แม้แต่ยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ราชัน เซียวฮั่นยังไม่ต้องใช้กำลังมากนักก็โจมตีหรือสังหารได้แล้ว
หากไม่ใช้พลังทั้งหมด เซียวฮั่นอาศัยแค่กำลังของกายหยาบและพลังวิญญาณก็สามารถต่อกรกับการดำรงอยู่เยี่ยงเทพศักดิ์สิทธิ์ทรราชได้แล้ว
แน่นอนว่าหากใช้สมบัติระดับกระบี่โทษทัณฑ์หรือกระบี่โลกา เช่นนั้นก็ต้องว่าไปอีกเรื่อง ส่วนไพ่ตายที่แท้จริงของเซียวฮั่น ผู้ใดก็ไม่อาจล่วงรู้ว่าน่าหวาดผวามากเพียงใด
“อู่ขวางถู บรรพบุรุษของพวกเจ้าตระกูลอู่ยังมีชีวิตแข็งแรงดีอยู่หรือไม่?”
ขณะที่ชายชราค่อย ๆ ฟื้นคืนสติจากอาการเหม่อลอย เซียวฮั่นก็ถามขึ้นมาทันที
อู่ขวางถู บรรพบุรุษของตระกูลอู่ซึ่งเคยเป็นลูกศิษย์ของสำนักแห่งเต๋ามาก่อน ทั้งยังเป็นผู้โดดเด่นถึงขีดสุด เมื่อจบการศึกษาก็มีพลังขอบเขตราชัน ต่อมาก็ก้าวเข้าสู่ยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ ภายหลังมีข่าวลือว่าเขาทะลวงขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ราชัน เพียงแต่ไม่มีผู้ใดพิสูจน์เรื่องนี้ได้ แม้แต่ลูกหลานของตระกูลอู่ก็มิล่วงรู้ว่าท้ายสุดแล้วบรรพบุรุษของตนฝึกฝนจนถึงระดับใด เพราะอู่ขวางถูได้หายตัวไปในที่สุด
“เรียนท่านอาวุโส ท่านบรรพบุรุษหายตัวไปนานมากแล้ว พวกเราลูกหลานตระกูลอู่ก็ไม่ทราบว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
ได้ยินดังนั้น จิตใจของชายชราก็เย็นเยียบขึ้นทันควัน ไม่กล้าอ้อมค้อมแล้วรีบร้อนเอ่ยตามสัตย์จริง เห็นได้ชัดว่าในความคิดของชายชรา เซียวฮั่นคือการดำรงอยู่อันเก่าแก่ที่บรรพบุรุษของเขารู้จักอย่างแน่นอน
“ทราบแล้ว ดูเหมือนว่าเขายังไม่ตาย!”
ได้ยินดังนั้นเซียวฮั่นจึงพยักหน้าก่อนจะหรี่ตาลง ทว่าฉับพลัน จู่ ๆ เขาก็นึกถึงสิ่งหนึ่งที่เป็นไปได้ และเกรงว่าความเป็นไปได้นี้มีมากที่สุด เพียงไม่รู้ว่าชีวิตของเจ้านั่นใหญ่พอหรือไม่ และจะรอดชีวิตกลับมาจากที่แห่งนั้นได้หรือไม่!
………………….