ครองภพสยบนิรันดร์ - ตอนที่ 118
118: จงโจว!
เมื่อเซียวฮั่นและซุนลี่เดินจากไป เหลือเพียงหลินเฟิงที่ยังคงเรียกสติคืนกลับมาไม่ได้ ชะตาชีวิตของเขานับแต่บัดนี้เป็นต้นไปได้มีคนมาทำให้เปลี่ยนแปลงโดยมิรู้ตัว ยามนี้เขาได้กลายเป็นศิษย์สายในและเป็นส่วนหนึ่งของสำนักกระบี่หลิงเทียนเรียบร้อยแล้ว
แน่นอนว่า หลินเฟิงเองก็คาดไม่ถึง ในอนาคตเขาจะพาสำนักกระบี่หลิงเทียนได้กลับไปยืนหยัดบนจุดสูงสุดของเก้ามหาทวีปอีกครั้งหรือไม่ นั่นเป็นเรื่องที่ค่อยว่ากันในภายหลัง
ภายในวิหารของสำนักกระบี่หลิงเทียน เซียวฮั่นนั่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุด มีเจี้ยนอู๋อิงนั่งอยู่ทางด้านซ้ายของเขา ด้านล่างคือผู้อาวุโสสิบคน ด้านหลังคืออดีตสมาชิกแห่งสำนักปาฮวง
“ก้าวหน้าขึ้นมาก ขอเพียงพวกเจ้าขยันฝึกฝน จงรักภักดีต่อสำนักกระบี่หลิงเทียน ข้าย่อมปฎิบัติต่อพวกเจ้าอย่างยุติธรรม ภายภาคหน้าพวกเจ้าจะกลายเป็นยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน”
เซียวฮั่นกวาดสายตามองทุกคนในวิหาร ในที่สุดก็มาหยุดที่ศิษย์เก่าแห่งสำนักปาฮวงครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยพลางยิ้ม
คำกล่าวของเซียวฮั่นทำให้ทุกคนในวิหารพลันหายใจถี่ขึ้น ยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์งั้นหรือ นี่คือสิ่งที่พวกเขาส่วนใหญ่แสวงหา และเป็นเป้าหมายสุดท้ายของชีวิต
แต่พวกเขากลับมิได้ลังเลในคำกล่าวของเซียวฮั่นแต่อย่างใด โดยเฉพาะการที่ได้รับคำชี้แนะจากเจี้ยนอู๋อิง ยอดฝีมือขอบเขตราชันเช่นพวกเขา ต่างสามารถทะลวงขอบเขตเดิมของตนได้แล้ว นี่คือสิ่งที่พวกเขาไม่เคยกล้าจินตนาการมาก่อน
“เอาล่ะ เรื่องอื่นข้ามิมีอันใดต้องกล่าวแล้ว คนอื่นออกไปก่อน อู๋อิงอย่าเพิ่งไป ข้ากลับมาครานี้คงอยู่ไม่นาน พวกเจ้าไปทำในสิ่งควรทำต่อเถิด”
เซียวฮั่นลุกขึ้นจากบัลลังก์แล้วออกคำสั่ง ทุกคนในวิหารต่างทยอยออกจากวิหารด้วยสีหน้าแสดงความเคารพ
“อู๋อิง เจ้าสามารถทะลวงขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ทรราชได้แล้ว แต่ข้าและเจ้ามีมารในใจคอยขัดขวาง ครานี้ข้าจะมอบโลหิตสวรรค์ให้เจ้าหนึ่งหยด เพื่อให้เจ้าทะลวงสู่ขอบเขตเทพศักสิทธิ์ทรราช”
กล่าวจบ เซียวฮั่นโบกมือขึ้นหนึ่งครา โลหิตสวรรค์สีทองแผ่รังสีอันยิ่งใหญ่ไร้ที่เปรียบ ปรากฏบนฝ่ามือของเซียวฮั่น
“สิ่งนี้คือ?”
คนจ้องมองไปยังโลหิตสีทองหยดนี้ รูม่านตาเจี้ยนอู๋อิงพลันหดลง เขาสัมผัสได้ถึงพลังแห่งความน่าสะพรึงกลัวที่อัดแน่นอยู่ภายในโลหิตสีทองหยดนี้
“โลหิตของไอ้เทพหัวขโมย แม้ว่าจะไม่บริสุทธิ์ แต่ก็เพียงพอที่ทำให้เจ้าทะลวงสู่ขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ทรราชระดับสามภายในระยะเวลาอันสั้น”
โลหิตสวรรค์นี้ มิใช่โลหิตสวรรค์ที่แท้จริง เป็นเพียงโลหิตที่สามารถช่วยเพิ่มระดับขอบเขต แม้ว่าจะไม่บริสุทธิ์แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เจี้ยนอู๋อิงทะลวงจากขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ราชันไปสู่ขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ทรราช และสามารถทะลวงได้ถึงขั้นขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ทรราชระดับสามได้ได้
“ขอบพระคุณอาจารย์ ศิษย์มิอาจเนรคุณความเมตตาของท่าน!”
เซียวฮั่นหยิบโลหิตสวรรค์ล้ำค่าเช่นนี้ออกมา เจี้ยนอู๋อิงรีบก้มคำนับ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความแน่วแน่ หากได้รับความช่วยเหลือจากโลหิตสวรรค์ เขาจะสามารถทะลวงขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ทรราชระดับสสามได้แน่ แม้แต่ขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ทรราชระดับสี่หรือระดับสูงกว่านั้นก็ย่อมได้
“อืม เจ้าไม่เคยทำให้ข้าผิดหวัง”
เซียวฮั่นพงกหัวพลางอมยิ้มเล็กน้อย จากนั้นโบกมืออีกหนึ่งครา แหวนนับร้อยวงปรากฏออกมาจากแหวนมิติของเขา
“ในนี้มีขุมอำนาจเทพศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีเทพศักดิ์สิทธิ์ถึงห้าคน เจ้าจัดสรรให้ดี ข้าจะไปมหาทวีปตงโจวสักครา หลังจากนั้นจะไปสี่ทวีปตอนบน ข้าเกรงว่าจะไม่ได้กลับมาอีกนาน”
เซียวฮั่นนำคลังของตระกูลจักรพรรดิเทพศักดิ์สิทธิ์มอบให้เจี้ยนอู๋อิง เพราะเขาวางแผนจะเดินทางไปยังมหาทวีปตงโจว
“ขอรับ!”
เจี้ยนอู๋อิงพยักหน้า นำแหวนนับร้อยถูกเก็บลง เจี้ยนอู๋อิงไม่เคยบ่นต่อคำสั่งของเซียวฮั่นแม้แต่น้อย มีแต่จะพยายามทำสุดความสามารถ หนำซ้ำยังมีทรัพยากรมากมายมหาศาลเช่นนี้ สามารถจินตนาการได้ว่า หากเซียวฮั่นกลับมาคราวหน้า สำนักกระบี่หลิงเทียนจะต้องกลายเป็นสิบมหาขุมอำนาจชั้นหนึ่งเป็นแน่แท้
“สำนักรับศิษย์คนใหม่มา ชื่อหลินเฟิง เจ้าไปดูเสียหน่อย ข้ารับเขาเพื่อเป็นศิษย์ผู้สืบทอดโดยตรงของเจ้า จงตั้งใจถ่ายทอดวิชาให้เขา หลังจากที่ข้าออกจากเก้ามหาทวีป เขาจะกลายเป็นเจ้าสำนักคนใหม่แห่งสำนักกระบี่หลิงเทียน”
เซียวฮั่นไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นมา กล่าวได้ว่าครั้งแรกที่พบหลินเฟิง เซียวฮั่นได้ตัดสินใจไปเรียบร้อยแล้ว
“ขอรับ อาจารย์!”
ได้ยินเช่นนั้น เจี้ยนอู๋อิงก็พยักหน้าเงียบ ๆ อีกครั้ง เขาไม่ถามและไม่สงสัยอันใด เพราะสำหรับเจี้ยนอู๋อิงแล้ว การตัดสินใจของเซียวฮั่นมิเคยมีสิ่งใดน่ากังขา
“ข้าจะให้หม่าเหลียงเฉินไปกับข้าในครานี้ด้วย ศักยภาพของหม่าเหลียงเฉินควรแสดงออกมาเสียที”
เซียวฮั่นยื่นมือลูบคางตนเอง จากนั้นจึงเอ่ยและหัวเราะขึ้นมา
ขณะเดียวกัน หม่าเหลียงเฉินซึ่งเตรียมประจบสอพลอเซียวฮั่นอยู่ด้านนอก ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงมีอาการสั่นกลัว คล้ายจะเกิดลางสังหรณ์ขึ้นมาในใจลึก ๆ อย่างบอกไม่ถูก
มหาทวีปตงโจว เขตใจกลางของห้าทวีปตอนล่างค่อนข้างเจริญรุ่งเรือง หากเทียบกับสี่ทวีปตอนบนก็ไม่ด้อยไปกว่ากันมากนัก มหาทวีปจงโจวตอนบนนั้นต่างจากทวีปอื่น ๆ เพราะที่แห่งนั้นมียอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์แห่งขุมอำนาจชั้นหนึ่งอยู่ทั่วทุกหนแห่ง
ขุมอำนาจชั้นหนึ่งแห่งมหาทวีปตงโจวและหนานโจวมีเพียงสิบกว่าสำนักเท่านั้น แต่ที่มหาทวีปจงโจว ขุมอำนาจชั้นหนึ่งมีไม่ต่ำกว่าหนึ่งพัน และยังไม่นับรวมถึงขุมอำนาจที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด นอกจากนี้สำนักที่เกี่ยวพันกับเทพแท้จริงยิ่งมีมากกว่า หนำซ้ำยังมีมากถึงสิบกว่าสำนัก
สำนักเหล่านี้นอกจากจะมียอดฝีมือขอบเขตเทพแท้จริงหนึ่งคน บางแห่งยังมียอดฝีมือขอบเขตเทพแท้จริงสองคนต่อหนึ่งสำนัก บางสำนักก็มีถึงสามสี่คน สำนักเหล่านี้ล้วนแต่มียอดฝีมือที่น่าหวาดกลัวระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ทรราชอยู่ในสำนัก
สามารถกล่าวได้ว่า เมื่อนำสี่ทวีปที่เหลือมารวมกันก็ยังไม่แข็งแกร่งและรุ่งเรืองเท่ามหาทวีปจงโจว พื้นที่ของมหาทวีปจงโจวนั้นกว้างใหญ่ไพศาลจนมิอาจจินตนาการได้ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าขอบเขตของมหาทวีปจงโจวสิ้นสุดที่ใด ราวกับว่ามหาทวีปจงโจวคือโลกอันกว้างใหญ่ไพศาล
นอกจากจะมียอดฝีมือระดับสูงมากมายแล้ว สำนักที่สัตว์ปีศาจเป็นผู้ก่อตั้งก็มีอยู่ไม่น้อย เมื่อสัตว์ปีศาจเหล่านี้ฝึกตนจนบรรลุเป็นยอดฝีมือเทพศักดิ์สิทธิ์ก็จะสามารถผันกายเป็นมนุษย์ได้ มีสมองและความรู้สึกเช่นเดียวกับมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ สัตว์ปีศาจระดับเทพแท้จริงและเทพศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้จึงก่อตั้งสำนักสัตว์ปีศาจขึ้นมาไม่น้อย
สำนักสัตว์ปีศาจเหล่านี้มีความองอาจเข็มแข็งไม่ด้อยไปกว่าขุมอำนาจของมนุษย์ เนื่องจากสำนักสัตว์ปีศาจก็ครอบครองพื้นที่ส่วนน้อยของมหาทวีปจงโจวแห่งนี้ด้วยเช่นกัน
มหาทวีปจงโจวพื้นที่กว้างใหญ่แต่ทรัพยากรน้อย ขุมอำนาจมีมากดุจดาราเต็มท้องนภา หนึ่งในขุมอำนาจที่มีชื่อเสียงที่สุด คงเป็นสำนักแห่งเต๋า
สำนักแห่งเต๋า เป็นมหาขุมอำนาจอันยิ่งใหญ่ เคยมียอดฝีมือเทพแท้จริงสองคนสำเร็จมาจากสถาบันแห่งนี้ อีกทั้งสามารถฝึกฝนผู้เรียนให้เป็นยอดฝีมือเทพแท้จริงได้ถึงสิบคน
ที่สำคัญที่สุดคือ สำนักแห่งเต๋าสามารถฝึกผู้เรียนที่เป็นยอดฝีมือผู้มีพรสวรรค์สำเร็จได้นับไม่ถ้วนทุกปี กล่าวได้ว่าสำนักแห่งเต๋าเป็นกระเช้าแห่งวิถีการฝึกตนในมหาทวีปจงโจว ยอดฝีมือห้าส่วนล้วนแต่เคยมาเรียนที่สำนักแห่งเต๋าทั้งสิ้น
ด้วยเหตุนี้ ยอดฝีมือรุ่นเยาว์นับไม่ถ้วนต่างหลั่งไหลเข้าไปยังสำนักแห่งเต๋า หนึ่งในนั้นรวมถึงศิษย์แห่งขุมอำนาจชั้นหนึ่งจนถึงมหาขุมอำนาจมากมาย นอกจากสามารถฝึกบำเพ็ญเพื่อยกระดับขอบเขตแล้ว ยังเป็นโอกาสที่ดีในการทำความรู้จักศิษย์มากความสามารถจากสำนักอื่นอีกด้วย
โอกาสเช่นนี้สามารถยกระดับตำแหน่งภายในสำนักของพวกเขาเองได้ด้วย ไม่แน่ว่าอาจหยิบยืมโอกาสนี้เพื่อสั่งสมตัวเองให้เป็นผู้มีอำนาจในภายภาคหน้า
นอกจากนี้ ขุมอำนาจชั้นสองและสาม หรือแม้แต่ยอดฝีมือรุ่นเยาว์พเนจรมากมายต่างก็อยากเข้ามาในสำนักแห่งเต๋า เพราะหากได้เข้ามา ความสำเร็จในภายภาคหน้าจะต้องไม่ธรรมดาสามัญอย่างแน่นอน
มหาทวีปจงโจวมีคำกล่าวว่า วันใดได้เข้าสู่สำนักแห่งเต๋า วันหน้าย่อมบรรลุวิถีแห่งการฝึกตน กล่าวได้ว่าผู้เรียนที่จบจากสำนักแห่งเต๋า ล้วนแต่บรรลุขอบเขตทรราช หรืออย่างต่ำก็สามารถบรรลุขอบเขตจักรพรรดิ
การฝึกตนบรรลุขอบเขตจักรพรรดิและขอบเขตทรราชตั้งแต่ยังเยาว์วัยเช่นนี้ อัตราความสำเร็จในภายภาคหน้าที่จะได้เป็นยอดฝีมือขอบเขตราชันนั้นย่อมมีมากกว่าผู้คนอื่น ทว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น อย่างที่รู้กันว่ายอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ต่างร่ำเรียนมาจากสำนักแห่งเต๋าทั้งสิ้น
เป้าหมายที่เซียวฮั่นมุ่งหน้าไปยังมหาทวีปตงโจวในครั้งนี้คือสำนักแห่งเต๋า ในภพก่อนเขาเป็นผู้มีชื่อเสียงแห่งสำนักแห่งเต๋าเช่นกัน อีกทั้งยังเคยทิ้งของล้ำค่าไว้ที่สำนักแห่งเต๋าชิ้นหนึ่ง จึงต้องออกเดินทางไปนำกลับมา
แน่นอนว่า การที่เซียวฮั่นทิ้งของล้ำค่าไว้ที่สำนักแห่งเต๋าใช่ว่าไม่มีเหตุผล เพราะของล้ำค่าชิ้นนั้นยังมิก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างในคราแรก ด้วยเหตุนี้เซียวฮั่นจึงใช้วิธีสร้างกลประทับของชิ้นนั้นไว้ ให้เส้นโลหิตที่แฝงไว้ในฟ้าดินบำรุงฟูมฟัก ยามนี้เวลาล่วงเลยผ่านไปนับแสนปีแล้ว คงเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาบ้าง
อีกทั้งการเดินทางในครั้งนี้ เซียวฮั่นยังต้องการไปเยี่ยมเยือนสหายเก่าเพื่อเจรจา หากได้รับการช่วยเหลือจากสหายเก่าเหล่านี้ เช่นนั้นการทำสงครามครั้งสุดท้ายเขาก็มีความมั่นใจขึ้นมาบ้าง
แน่นอนว่านี่เป็นการทำเรื่องที่ดีอยู่แล้วให้ดีขึ้นไปอีก หากสหายเก่าทั้งหลายเหล่านั้นยินดีตอบรับให้การช่วยเหลือ ถึงแม้สหายเก่าเหล่านี้จะเคยเป็นตัวกระจ้อยไม่คู่ควรแก่การมอง แต่เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านมาถึงเพียงนี้ พวกเขาคงกลายเป็นชายชราผู้มากความสามารถไปแล้ว
“เมื่อไม่นานนี้วิหารสวรรค์และสำนักลิ่วเหอเดินทางออกจากมหาทวีปตงโจว ไม่รู้ว่าไปที่ใด”
ก่อนที่เซียวฮั่นจะออกเดินทาง เจี้ยนอู๋อิงก็ได้แจ้งข่าวนี้กับเซียวฮั่น
“หากพวกมันไม่เดินทางออกจากที่นี่ เช่นนั้นคงถูกข้ากำจัดทิ้ง ถ้าเดาไม่ผิด พวกมันคงหลบหนีไปยังเทียนโจว”
เซียวฮั่นพลันหรี่ตาลง สายตากระเพื่อมเล็กน้อย
“มหาทวีปเทียนโจว นั่นมิใช่สาขาหลักของวิหารสวรรค์หรอกหรือ!”
ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าเจี้ยนอู๋อิงพลันเคร่งขรึมขึ้น มหาทวีปเทียนโจว เป็นหนึ่งในมหาทวีปทั้งเก้าซึ่งมิใช่ที่ฝึกตนของมนุษย์ และสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ก็มิใช่มนุษย์ แต่เป็นชนเผ่าหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าเผ่าสวรรค์ โดยชนเผ่าเหล่านี้นับว่าแข็งแกร่งและลึกลับยิ่งนัก
“แค่พวกโง่ที่คิดว่าตัวเองแข็งแกร่ง พวกมันคิดว่ามีเส้นโลหิตสวรรค์ไว้ในครอบครองแล้วจะหนีความพินาศได้พ้น แต่ไม่เคยรู้ตัวว่าเป็นเพียงหมากกระจอก ๆ ที่ถูกบังคับให้เข้าร่วมสงครามเท่านั้น”
เซียวฮั่นได้เพียงกล่าวอย่างเนิบช้า เกี่ยวกับชื่อของเผ่าสวรรค์ที่เจี้ยนอู๋อิงเอ่ยถึง ในสายตาของเขา เผ่าสวรรค์คือพวกที่มีแต่ความศรัทธาไร้ซึ่งปัญญา
“เกรงว่าการเดินของท่านในครั้งนี้อาจจะมียอดฝีมือแห่งเผ่าสวรรค์ลอบสังหาร!”
แม้ว่าเผ่าสวรรค์ไม่อยู่ในสายตาของเซียวฮั่น แต่เจี้ยนอู๋อิงก็ยังคงกังวล เผ่าสวรรค์ไม่ใช่สำนักของมนุษย์ผู้ฝึกตนทั่วไป แต่เป็นเผ่าที่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก เมื่อเทียบกับเผ่าเจี้ยแล้วยังน่าหวาดกลัวกว่า
“มาก็ยิ่งดี ข้าเกรงว่าพวกมันจะไม่มา!”
แสงอันน่าสะพรึงกลัววาบผ่านดวงตาของเซียวฮั่น สำหรับเขาแล้วเผ่าสวรรค์ไม่มีอะไรน่าสนใจ เพียงแค่มีกรงเล็บและฟันแหลมคมเป็นอาวุธดุร้าย หากบังอาจเอากรงเล็บยื่นมาหาเขา พวกมันก็แค่ขาดสะบั้นเป็นสองท่อนเท่านั้น!
…………….