ครองภพสยบนิรันดร์ - ตอนที่ 117
ตอนที่ 117: หลินเฟิง!
สำนักกระบี่หลิงเทียนมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ยอดเขาหนึ่งร้อยแปดลูกซึ่งเป็นเขตศูนย์กลางของสำนัก มีเพียงศิษย์สายในเท่านั้นที่สามารถฝึกตนในแห่งนี้ได้
พลังฟ้าดินของสำนักกระบี่หลิงเทียนในยามนี้เข้มข้นหาใดเทียบ เพราะเส้นลมปราณแห่งพื้นปฐพีของสำนักกระบี่หลิงเทียนถูกเจี้ยนอู๋อิงสร้างเป็นค่ายกลผสานวิญญาณขนาดใหญ่ เมื่อเทียบกับตอนที่เซียวฮั่นจากไป พลังของสำนักกระบี่หลิงเทียนเข้มข้นมากกว่าเดิมถึงสิบส่วน
ยามนี้สำนักกระบี่หลิงเทียนกำลังรับสมัครลูกศิษย์อย่างกว้างขวาง ศิษย์สายนอกมีจำนวนนับหมื่น ส่วนศิษย์สายในมีเกือบหมื่นแล้ว
ด้วยเหตุนี้ หากเทียบกับช่วงเวลาที่เซียวฮั่นจากไป สำนักกระบี่หลิงเทียนนับว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ในมหาทวีปตงโจว สำนักกระบี่หลิงเทียนเป็นรองเพียงขุมอำนาจยิ่งใหญ่แห่งขุมอำนาจชั้นหนึ่งเท่านั้น ไม่ว่าฐานะหรืออำนาจหากเทียบกับเมื่อก่อนแล้วมิอาจรู้ได้เลยว่าสูงส่งขึ้นมาเพียงใด
เมื่อเซียวฮั่นมาถึงนอกประตูสำนักของสำนักกระบี่หลิงเทียน เขาใช้จิตกวาดมองไปยังรอบสำนัก และพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“ไม่เลว ดูมีเค้าของความเป็นสำนักขึ้นมาบ้างแล้ว!”
เซียวฮั่นยิ้ม เขาสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของสำนักกระบี่หลิงเทียนที่มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง สำนักเต็มไปด้วยความคึกคัก นี่คือภาพของสำนักที่ควรจะเป็น
“สหาย! เจ้าจะเข้าร่วมงานรับศิษย์แห่งสำนักกระบี่หลิงเทียนในวันนี้ด้วยหรือไม่”
ขณะที่เซียวฮั่นเตรียมเข้าไปในสำนักกระบี่หลิงเทียน เสียงทักทายอย่างเป็นมิตรดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเดินมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
บุรุษหนุ่มผู้นี้สวมชุดคลุมยาวสีเขียว ดวงตาสุกสกาวใส มอบความรู้สึกสบายตาแก่ผู้ที่พบเจอเป็นอย่างยิ่ง
“งานรับศิษย์งั้นหรือ ไม่เลว!”
ได้ยินเช่นนั้น เซียวฮั่นรู้สึกตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้าเบา ๆ พลางเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ข้าก็เข้าร่วมเช่นกัน ข้าชื่อหลินเฟิง เจ้าต้องการไปพร้อมกับข้าหรือไม่”
บุรุษหนุ่มฉีกยิ้ม ดวงตาสุกใสเป็นอย่างยิ่ง มอบความรู้สึกบริสุทธิ์ให้ผู้พบเห็นยิ่งนัก
“หากมีวาสนาย่อมได้พบกัน!”
เซียวฮั่นคลี่ยิ้ม เขามองไปยังหลินเฟิงด้วยหางตาเคลื่อนเล็กน้อย เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงโชคมหาศาลที่อยู่บนตัวของหลินเฟิง โชคประเภทนี้ติดตัวมาแต่กำเนิด หากเซียวฮั่นคาดเดาไม่ผิด บุรุษหนุ่มผู้นี้ย่อมมิใช่คนธรรมดาสามัญที่สามารถพบได้ทั่วไป
นอกสำนักกระบี่หลิงเทียนมีพื้นที่กว้างใหญ่นับแสนลี้ หากเทียบกับเมื่อก่อนก็ไม่รู้เลยว่าขยายพื้นที่ไปกี่เท่า มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่สมัครเข้ามาเป็นศิษย์สายนอกในงานรับศิษย์ครั้งนี้ไม่ต่ำกว่าหมื่นคน
กล่าวได้ว่า สำนักกระบี่หลิงเทียนในยามนี้คือสำนักที่ผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ใฝ่ฝันหา เมื่อมีวาสนาได้เป็นศิษย์ในสำนัก ความก้าวหน้าของศิษย์รุ่นเยาว์ที่มาจากสำนักกระบี่หลิงเทียนเหล่านั้นก็จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หากเข้าสู่สำนักกระบี่หลิงเทียน นั่นคือการบรรลุขอบเขตขั้นสูงได้เร็วขึ้นหนึ่งขั้น
เมื่อเซียวฮั่นและหลินเฟิงเข้าไปในสำนักกระบี่หลิงเทียน ลานขนาดใหญ่ต่างเต็มไปด้วยผู้คนที่ยืนเบียดเสียดกันจนแน่น
ศิษย์ของสำนักกระบี่หลิงเทียนกำลังลงทะเบียน หลังจากลงทะเบียนเสร็จแล้วจึงเข้าสู่การทดสอบ หากผ่าน ก็จะได้บรรจุเป็นศิษย์สายนอกของสำนักกระบี่หลิงเทียน
“สหาย เจ้าว่าข้าจะได้เป็นศิษย์สายนอกของสำนักกระบี่หลิงเทียนหรือไม่”
หลินเฟิงมองผู้คนที่เบียดเสียดรอบ ๆ พลางเอ่ยอย่างกังวลเล็กน้อย
แม้ว่าหลินเฟิงจะฝึกตนจนบรรลุขอบเขตแก่นแท้ขั้นต้น แต่ผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ทั้งหลายในที่แห่งนี้ล้วนแต่เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตแก่นแท้ อีกทั้งยังมีผู้ฝึกตนขอบเขตรวบรวมลมปราณ เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้ต่างเป็นลูกหลานตระกูลขุนนางที่อยากเข้าสำนักกระบี่หลิงเทียน เพื่อหวังมีอนาคตที่ดีกว่า
“วางใจเถิด เจ้าได้เป็นศิษย์สำนักกระบี่หลิงเทียนแน่!”
เซียวฮั่นยิ้ม ทว่ากลับไม่แสดงสีหน้ามากนัก เวลานี้เซียวฮั่นได้มอบตำแหน่งให้บุรุษหนุ่มตรงหน้าไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว
“หลิงเฟิง เซียวฮั่น!”
ในที่สุดก็ถึงเวลาของหลินเฟิงและเซียวฮั่นที่อยู่แถวหลังสุด เมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อของตน หลินเฟิงตอบรับทันที จากนั้นจึงรีบตามศิษย์แห่งสำนักกระบี่หลิงเทียนไปยังสนามทดสอบ
ส่วนเซียวฮั่นเพียงยิ้มเล็กน้อย และก้าวเท้าเข้าสู่สนามทดสอบอย่างช้า ๆ ลักษณะของสนามทดสอบไม่ต่างจากตอนที่เซียวฮั่นมาทดสอบครั้งก่อนเท่าใดนัก เพียงแต่ครั้งนี้มีเพียงแผ่นศิลาทดสอบระดับวิญญาณและแผ่นศิลาทดสอบจิตวิญญาณเท่านั้น
แผ่นศิลาทดสอบระดับวิญญาณและแผ่นศิลาทดสอบจิตวิญญาณสามารถทดสอบผู้ฝึกตนวิถีทำลายและผู้ฝึกตนแห่งเต๋าที่ระดับขอบเขตต่ำกว่าขอบเขตทรราช ค่าวิญญาณหรือค่าจิตวิญญาณยิ่งสูง ขอบเขตก็ยิ่งสูง และหากผู้ทดสอบยิ่งอายุน้อย นั่นหมายความว่าพรสวรรค์ยิ่งโดดเด่น
การรับศิษย์สายนอกของสำนักกระบี่หลิงเทียนครั้งนี้ ขอเพียงฝึกตนบรรลุขอบเขตก่อกำเนิดก็สามารถสอบผ่านได้ นั่นหมายความว่าสำนักกระบี่หลิงเทียนจะรับศิษย์สายนอกนับหมื่นคนภายในครั้งเดียว
แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ อย่างที่รู้กันว่าสำนักชั้นสองอย่างสำนักเทียนฮ่าวก็มีศิษย์สายนอกจำนวนนับแสน แต่ศิษย์สำนักกระบี่หลิงเทียนยามนี้ยังมีไม่ถึงห้าหมื่น การรับศิษย์เพิ่มอีกจำนวนนับหมื่นนั้น นับว่าเหมาะสมแล้ว
แต่การรับศิษย์มากมายในครั้งเดียวเช่นนี้ ทำให้ปริมาณงานของสำนักกระบี่หลิงเทียนก็เพิ่มขึ้นไม่น้อยเช่นกัน พวกเขาต้องตรวจสอบดูว่าคนเหล่านั้นสามารถเข้าสู่สำนักได้หรือไม่ โดยเฉพาะคนที่มีภูมิหลังไม่ชัดเจนยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ
ส่วนเซียวฮั่นไม่จำเป็นต้องทดสอบอะไร เพียงแค่โจมตี ก็ทำให้ค่าทดสอบวิญญาณบรรลุถึงระดับต่ำสุดของขอบเขตแก่นแท้ การทดสอบจึงจบลง ไม่นานศิษย์สำนักกระบี่หลิงเทียนก็พาเขามายังจุดลงนาม
ทางด้านหลินเฟิงได้ทดสอบผ่านเช่นเดียวกับเซียวฮั่น ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงมาอยู่ที่จุดลงนามพร้อมกัน ผู้มีอำนาจตัดสินแห่งสำนักกระบี่หลิงเทียนหลายสิบคนกำลังซักถามภูมิหลังของผู้เข้าทดสอบ
“ชื่อแซ่ ภูมิหลังตระกูล หลักฐานยืนยันตน!”
ผู้ตัดสินวัยกลางคนผู้หนึ่งมองเซียวฮั่น กล่าวช้า ๆพลางพลิกเอกสารเล่มหนาเล่มหนึ่ง
“เซียวฮั่น เป็นผู้พเนจรไปทุกหนแห่ง และไม่มีหลักฐานยืนยันตน!”
เซียวฮั่นตอบตามที่ใจอยากตอบ พลางคลี่ยิ้ม แน่นอนว่าเขามิได้มีเจตนาปิดบังผู้ตัดสินตรงหน้า ขณะนี้เขาสนใจเรื่องของหลินเฟิงมากกว่า
“ผู้พเนจรหรือ ไม่มีหลักฐานยืนยันตน หากเป็นเช่นนั้น สำนักกระบี่หลิงเทียนของพวกข้าไม่ต้อนรับคนไร้ที่มา หวังว่าท่านคงให้อภัย!”
ได้ยินเช่นนั้น ผู้ตัดสินวัยกลางคนพลันเอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา
“มิเป็นไร!”
ได้ยินเช่นนั้น เซียวฮั่นพลันโบกมือหนึ่งขึ้นหนึ่งครา แต่เมื่อเห็นท่าทีไม่สนใจสักนิดของเซียวฮั่น บุรุษวัยกลางคนกลับตะลึงงัน พร้อมกับมองเซียวฮั่นหลายคราอย่างอดไม่ได้ ทว่าการมองครานี้กลับทำให้เขาถึงกับเหงื่อตก
ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเพราะเหตุใดบุรุษตรงหน้าถึงคุ้นตาเช่นนี้ เพราะในสำนักกระบี่หลิงเทียนมีรูปปั้นรูปหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเหมือนบุรุษหนุ่มตรงหน้าทุกประการ
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ เท้าของผู้ตัดสินวัยกลางคนพลันอ่อนแรง แทบทรุดลงกับพื้น
เซียวฮั่นเพียงโบกมือ ใช้พลังประคองผู้ตัดสินวัยกลางคนไว้ กล่าวพร้อมหัวเราะเบา ๆ
“อย่าได้กระจายข่าว ข้าเพียงแค่เดินทางผ่านมาเท่านั้น เจ้าอย่าตื่นตระหนกไป”
ได้ยินเช่นนั้น หัวใจของผู้ตัดสินวัยกลางคนพลางเต้นระรัวไม่หยุด เพราะคนทั้งหมดในสำนักกระบี่หลิงเทียน บุรุษหนุ่มตรงหน้าคือบุคคลผู้เป็นตำนานที่ยังมีชีวิต
เมื่อเซียวฮั่นทดสอบเสร็จ หลินเฟิงก็ทดสอบเสร็จเช่นกัน แม้ว่าการฝึกตนของเขาผ่านเช่นเดียวกับเซียวฮั่น และมีพรสวรรค์ที่พอใช้ แต่หลินเฟิงกลับมีภูมิหลังและที่มาไม่ชัดเจน ด้วยเหตุนี้จึงถูกปฏิเสธ
“สหาย เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง”
จิตใจที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง ทว่ากลับผิดหวัง หลินเฟิงในยามนี้กำลังเศร้าใจเล็กน้อย
แต่เขาไม่ได้โกหกผู้ตัดสินแห่งสำนักกระบี่หลิงเทียนจริง ๆ เขาเองก็บอกที่มาของตนไม่ได้เช่นกัน เพราะเขากำพร้ามาตั้งแต่เด็ก ไม่มีภูมิหลังอันใด สามารถฝึกตนเช่นทุกวันนี้ได้เพราะมีโอกาสประจวบเหมาะ
“เช่นนี้เอง โชคของผู้พลิกฟ้าดิน ดวงชะตาแข็งแกร่งตั้งแต่กำเนิด”
มองหลินเฟิงที่กำลังผิดหวัง สายตาเซียวฮั่นกระเพื่อมเล็กน้อย โชคที่ติดตัวมาของหลินเฟิง ภายภาคหน้าต้องไม่ธรรมดาสามัญเป็นแน่ แม้ว่าตอนนี้ไม่สมหวัง อีกทั้งยังไม่สามารถเข้าสู่สำนักกระบี่หลิงเทียนได้ แต่เซียวฮั่นรู้ว่า หากหลินเฟิงพบโอกาส จะต้องกลายเป็นมังกรที่แท้จริงแห่งเก้าชั้นฟ้า บินฉวัดเฉวียนเหนือเก้าทวีป อยู่บนชั้นฟ้าสูงส่งมองไปได้ไกลเหลือคณานับ
เมื่อถึงตอนนั้น หลินเฟิงก็ไม่จำเป็นต้องเข้าสำนักใดอีกแล้ว เพราะเขาสามารถก่อตั้งสำนักของตนเอง เป็นบรรพบุรุษแห่งขุมอำนาจที่สูงส่งผู้หนึ่ง บนโลกนี้คนที่มีโชคเช่นหลินเฟิงและเซียวเฟิง กล่าวได้ว่ามีไม่ถึงสิบคน และตั้งแต่ยุคเบิกฟ้าเป็นต้นมาในสิบคนนั้น ก็ไม่มีโชคของผู้ใดน่ากลัวเท่าของหลินเฟิง
การที่หลินเฟิงได้มาพบเซียวฮั่น นับว่าเป็นหนึ่งในโอกาส เพราะเซียวฮั่นและหลินเฟิงต่างมีโชคแห่งการพลิกสวรรค์ แต่โชคของเซียวฮั่นนับว่าน่ากลัวยิ่งกว่า เพราะมิใช่เพียงแค่ระดับการพลิกสวรรค์ แน่นอนว่าเป็นระดับที่มิอาจคาดคิด ไม่แน่ชัดว่าโชคนั้นเป็นตัวแทนของสิ่งใด และดูไม่ออกว่าโชคนั้นมีข้อดีเช่นไรกันแน่
“อย่าเพิ่งท้อแท้ ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว เจ้าสามารถเข้าสู่สำนักกระบี่หลิงเทียนได้ ข้าหาได้โกหกเสียหน่อย!” เซียวฮั่นหัวเราะ ยื่นมือตบไหล่หลินเฟิง
ขณะที่เซียวฮั่นยื่นมือตบไหล่หลินเฟิง พลังแห่งโชคบนตัวหลินเฟิงพลันไหลลงตามมือของเซียวฮั่น ผสานเข้ากับโชคบนตัวของเซียวฮั่น
“สหาย เจ้าไม่ต้องปลอบข้าหรอก”
หลินเฟิงหัวเราะแห้ง ๆ พลางส่ายศีรษะ เขาลืมไปแล้วว่าตนล้มเหลวเป็นครั้งที่เท่าไหร่ ถึงขั้นว่าเขารู้สึกได้ว่าหมดหวังที่จะเข้าสำนักเสียแล้ว เพราะทุกครั้งที่เขาตั้งใจจะเข้าสำนัก มักจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดที่ทำให้เขาล้มเหลวเสมอ
“เจ้าไปเรียกผู้อาวุโสซุนมา!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซียวฮั่นพลันคลี่ยิ้ม และหันไปเอ่ยกับผู้ตัดสินคนนั้น
ผู้ตัดสินตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นจึงเรียกสติกลับมาคืนมาและรีบรับคำ แล้ววิ่งไปเรียกซุนลี่ทันที
“เอ่อ”
เห็นผู้ตัดสินแห่งสำนักกระบี่หลิงเทียนให้ความเคารพเซียวฮั่นเช่นนี้ หลินเฟิงจึงตะลึงไปชั่วขณะ เกิดความงุนงงในสายตาขณะมองเซียวฮั่น
“เจ้าว่าสำนักกระบี่หลิงเทียนเป็นอย่างไร”
เห็นหลินเฟิงมองตนด้วยความสงสัย เซียวฮั่นพลันหัวเราะพลางเอ่ยถามประโยคที่ไม่สอดคล้องกับความสงสัยของเขาออกมา
ได้ยินเช่นนั้น หลินเฟิงจึงยิ่งรู้สึกงุนงง ก่อนยิ้มพลางเอ่ยตอบเซียวฮั่น
“สำนักกระบี่หลิงเทียนย่อมดีอยู่แล้ว น่าเสียดายที่ข้าไม่มีวาสนาได้เข้าไป”
“เช่นนั้นถ้าให้เจ้าดูแลสำนักกระบี่หลิงเทียน เจ้าว่าจะเป็นเช่นไร”
เซียวฮั่นอมยิ้ม คำกล่าวของเขาพลันทำให้ใบหน้าพกรอยยิ้มของหลินเฟิงค้างชะงักทันใดและไม่รู้ว่าควรจะต่อบทสนทนาเช่นไร
“อึก!”
ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากัน เงาร่างดุดันร่างหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าคนทั้งสอง เงาร่างที่ปรากฏตรงหน้าคนทั้งสองคือซุนลี่ที่มาพร้อมสีหน้าเย็นชา ทว่าเมื่อซุนลี่เห็นเซียวฮั่น เขาพลันตกตะลึงทันที
“คารวะท่านเจ้าสำนัก!”
ซุนลี่กล่าวทำความเคารพเซียวฮั่นอย่างไม่รีรอ และเมื่อเหล่าศิษย์ซึ่งทำหน้าที่ผู้ตัดสินแห่งสำนักกระบี่หลิงเทียนที่อยู่โดยรอบเห็นฉากนี้ ก็ต่างพากันตกตะลึง
“ไม่ต้องมากพิธี ที่นี่ไม่ใช้สถานที่สำหรับการสนทนา”
เซียวฮั่นโบกมือ คลี่ยิ้ม สายตามองไปยังหลินเฟิงพลางกล่าว
“ลองคิดดูให้ดี แล้วค่อยให้คำตอบข้า แต่นับจากนี้เป็นต้นไป เจ้าได้เป็นศิษย์สายในของสำนักกระบี่หลิงเทียนอย่างเต็มตัวแล้ว!”
………………