ครองภพสยบนิรันดร์ - ตอนที่ 116
116: หนึ่งกระบี่เบิกสวรรค์!
บงกชทองบารมีสิบสองชั้นปรากฏขึ้นบนท้องนภา ชั่วขณะนั้นแม้แต่สายฟ้าธาตุอากาศก็ยังไม่สามารถเข้าถึงตัวของร่างจิตนิพพานได้ อย่างไรบงกชทองบารมีสิบสองชั้นก็ไม่หวาดกลัวต่อสายฟ้าธาตุอากาศ
เพียงแต่เคราะห์สวรรค์ไม่ได้มีเพียงสายฟ้าธาตุอากาศ สำหรับเคราะห์สวรรค์ซึ่งเป็นทัณฑ์สวรรค์ระดับนี้ สายฟ้าธาตุอากาศเป็นเพียงแค่ระดับธรรมดา สิ่งที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าสายฟ้าธาตุอากาศก็มีอีกไม่น้อย!
“แกร่ก!”
เห็นเพียงหัตถ์สวรรค์สองข้างฉีกกระชากมิติ ก่อนที่ท้องนภาจะปริแตกเป็นหลุมดำยักษ์อันน่าหวาดผวา จากนั้นปีศาจซื่อซินที่มีหน้าตาอัปลักษ์ยิ่งยวดก็ปรากฏออกมาจากหลุมนั้นพลางกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
ทันใดนั้นทั่วท้องนภาเหนือวัดหมื่นอรหันต์ก็ถูกปีศาจซื่อซินจำนวนนับไม่ถ้วนปกคลุมจนมืดมิด ปีศาจเหล่านี้ แต่ละตัวอย่างมากที่สุดก็มีพลังอันน่าหวาดผวาที่เทียบเท่ากับยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือปีศาจซื่อซินเหล่านี้สามารถมอมเมาจิตใจของผู้คน โดยทำให้จิตใจคนเกิดจิตมาร ตกตายเพราะกัดกินตนเอง
“อมิตตาพุทธ!”
เมื่อเห็นปีศาจซื่อซินนับไม่ถ้วนปกคลุมทั่วท้องนภา พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์ และพระพุทธรูปโบราณต่างเบิกดวงตาแห่งธรรมขึ้น แสงแห่งวิถีพุทธะอันน่าหวาดผวาแต่ละสายทะยานออกมาจากร่างสีทอง ก่อนจะพุ่งตรงขึ้นสู่ท้องนภา ทันใดนั้นแสงแห่งวิถีพุทธะเหล่านี้ก็รวมตัวกันเป็นหนึ่งพุทธวชิระสยบมาร
“ข้าพุทธสยบมาร!”
เนื่องด้วยการปรากฏตัวของพุทธวชิระผู้พิโรธโกรธเกรี้ยว ปีศาจซื่อซินก็คำรามเสียงแหลมอย่างบ้าคลั่งไปพร้อมกับต่อสู้อย่างดุเดือด ทันใดนั้นแสงแห่งธรรมก็พุ่งส่องสว่างขึ้นไปทั่วทั้งท้องนภา วชิระสยบมาร โลหิตสาดกระเซ็นไปไกลสามพันลี้!
“สวัสดิกะ!”
พระพุทธรูปโบราณแต่ละองค์ยื่นพระหัตถ์มหึมาออกมา จากนั้นตราประทับสวัสดิกะขนาดยักษ์ก็ทะยานขึ้นสู่เวหา ภายใต้ตราประทับนี้ ปีศาจซื่อซินแต่ละตัวต่างอยู่ภายใต้การปกคลุมของแสงแห่งธรรมทั่วท้องนภา มันส่งเสียงร่ำไห้แหลมแสบแก้วหูก่อนจะกลายเป็นไอสีดำกลอกกลิ้งแล้วหายลับไป
“ตูม!”
เมื่อปีศาจซื่อซินแต่ละตัวสลายกลายเป็นหมอกควัน ทว่าเนตรสวรรค์กลับไม่ไหวติงใด ๆ สายฟ้าแห่งการทำลายล้างสีแดงดุจโลหิตสาดซัดอย่างบ้าคลั่งผสานเข้าด้วยกันกับสายฟ้าธาตุอากาศสีทอง ท้ายที่สุดก็รวมตัวกันกลายเป็นสายฟ้าสายใหม่สีทองแดงอันน่าหวาดกลัว
“สายฟ้าธาตุอากาศทำลายล้าง!”
เมื่อมองไปยังสายฟ้าสีทองแดง ไม่ว่าจะเซียวฮั่นหรือพระพุทธรูปโบราณแต่ละองค์ต่างล้วนมีสีหน้าหนักแน่นขึ้นมา แม้แต่บนใบหน้าของร่างจิตนิพพานก็ยังปรากฏสีหน้าขึงขัง สายฟ้าธาตุอากาศทำลายล้าง สิ่งนั้นคือสายฟ้าอันน่าหวาดผวาที่พร้อมทำลายโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลอย่างแท้จริง แม้แต่บนเก้ามหาทวีปทั้งทวีป ภายใต้สายฟ้าธาตุอากาศทำลายล้างนี้ ขอเพียงสายฟ้าเส้นเดียวก็สามารถทำลายจนวินาศสันตะโรได้
เพียงแต่สายฟ้าธาตุอากาศทำลายล้างในยามนี้พุ่งตรงไปยังวัดหมื่นอรหันต์ เพราะถึงมันจะมีอานุภาพทำลายทั่วทั้งเก้ามหาทวีป แต่เมื่อตกลงมาจะไม่เป็นอันตรายต่อเขตแดนอื่น ๆ โดยรอบ อย่างไรบนสวรรค์ก็ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบวิถีเต๋าแห่งสวรรค์และโลกหล้า ไม่สามารถทำลายอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าได้
แม้ว่าจะมีต้นรุ้งเจ็ดสีมหัศจรรย์และบงกชทองบารมีสิบสองชั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าวัดหมื่นอรหันต์จะสามารถแบกรับสายฟ้าธาตุอากาศทำลายล้างนี้ได้
“อมิตตาพุทธ โยมเซียว ต้นเหตุเป็นเพราะโยม เช่นนั้นปลายเหตุโยมควรแก้แล้ว!”
เสียงพุทธะดังมาจากที่ไกลโพ้น เห็นได้ชัดว่าตี้หลูหลายไม่คิดจะให้ร่างจริงของตนออกมือ ไม่ว่าจะร่างจริงของเขาหรือร่างกายหยาบก็ล้วนแต่สามารถแบกรับสายฟ้าธาตุอากาศทำลายล้างนี้ได้ แต่ราคาที่ต้องจ่ายนั้นมากมายมหาศาลเกินไป
“ให้ข้าจัดการย่อมไม่เป็นปัญหา เพียงแต่ข้าต้องการยืมใช้บงกชทองบารมีสิบสองชั้น!”
เซียวฮั่นมองไปยังเนตรสวรรค์และหัตถ์สวรรค์บนท้องนภา ก่อนจะหรี่ตาลงแล้วเอ่ยขึ้น
“อมิตตาพุทธ!”
“วิ้ง!”
แสงสีทองเปล่งประกายวาบ บงกชทองบารมีสิบสองชั้นโคจรใต้ฝ่าเท้าของเซียวฮั่น ร่างทั้งร่างของเขาถูกโอบล้อมด้วยแสงแห่งบุญบารมีไร้จุดสิ้นสุด โดยได้รับการปกป้องจากพลังอันศักดิ์สิทธิ์ ขณะนี้เซียวฮั่นยังผลีผลาม แม้ว่าอันตรายของสายฟ้าธาตุอากาศทำลายล้างที่มีต่อเขาจะถูกลดลงจนถึงขีดสุดแล้วก็ตาม
ขณะที่เซียวฮั่นเหยียบฝ่าเท้าลงบนบงกชทอง ดวงตาโลหิตของเนตรสวรรค์พลันจับจ้องมองไปยังเซียวฮั่นทันที เมื่อถูกเนตรสวรรค์จับจ้อง สีหน้าของเซียวฮั่นกลับยังคงไม่แปรเปลี่ยน เพียงแค่ยิ้มบางเบา จิตโคจรอย่างฉับพลัน แผ่นหยกนำโชคปรากฏขึ้นบนยอดศีรษะอย่างช้า ๆ จากนั้นแสงสีเขียวของแผ่นหยกนำโชคก็ตกลงมาคุ้มกันร่างพร้อมกับพลังอันศักดิ์สิทธิ์
“ครืน!”
เห็นเพียงแผ่นหยกนำโชคสั่นไหวเล็กน้อย แสงสีเขียวเปล่งประกายแวววาว กระบี่สีครามเล่มหนึ่งปรากฏขึ้น จากนั้นเซียวฮั่นก็ผายมือออกไป กระบี่สีครามสั่นหนึ่งคราก่อนจะร่วงลงบนกลางฝ่ามือของเซียวฮั่น
เมื่อกระบี่ครามปรากฏขึ้น สวรรค์และโลกในยามนี้ก็เงียบสงัดลงทันใด แม้แต่สายฟ้าธาตุอากาศทำลายล้างที่รวมตัวกันอย่างบ้าคลั่งก็ยังหยุดกลอกกลิ้ง ดวงตาโลหิตคู่หนึ่งของเนตรสวรรค์จ้องเขม็งไปยังกระบี่ครามเล่มนั้นในมือของเซียวฮั่น
เซียวฮั่นค่อย ๆ ยกฝ่ามือขึ้น สายตาจับจ้องไปยังเนตรสวรรค์ จากนั้นเสียงอันเฉยชาก็พ่นออกมาจากปากของเขาอย่างช้า ๆ
“หนึ่งกระบี่เบิกสวรรค์!”
“ครืนนน!”
รัศมีกระบี่เปล่งประกายผ่านท้องนภา ช่วงเวลานี้ โลกและสวรรค์พลันเงียบสงัด การดำรงอยู่อันน่าหวาดผวาที่อยู่มานานจนฝุ่นจับไม่รู้เท่าไหร่บนเก้ามหาทวีปต่างลืมตาขึ้นอย่างฉับพลัน ในดวงตาวาบผ่านซึ่งความน่าหวาดกลัวสายหนึ่ง
“อมิตตาพุทธ!”
รัศมีกระบี่สีครามเปล่งแสงบนท้องนภา คำกล่าวพุทธรรมดังขึ้นที่วัดหมื่นอรหันต์อย่างพร้อมเพรียงกัน ดวงตาของร่างจิตนิพพานมองไปบนท้องนภาแวบหนึ่งอย่างลึกซึ้ง จากนั้นร่างพุทธะสูงหลายร้อยล้านจั้งก็หายไปบนนภา
สายฟ้าธาตุอากาศทำลายล้างยามนี้หยุดกลอกกลิ้งแล้ว หากการดำรงอยู่ไร้เทียมทานพินิจอย่างละเอียดจะพบว่า ตรงกลางของสายฟ้าธาตุอากาศทำลายล้างที่รวมตัวกันสายนั้นปรากฏรอยกระบี่สีดำสนิท ขณะที่รอยกระบี่นี้แผ่กำจายออกไป สายฟ้าธาตุอากาศทำลายล้างก็ค่อย ๆ กระจัดกระจายไปบนท้องนภา
ขณะที่สายฟ้าธาตุอากาศทำลายล้างกระจายออกไป หากมองอย่างถี่ถ้วน จะพบว่ายามนี้ฝ่าเท้าของเซียวฮั่นกำลังเหยียบบงกชทองบารมีสิบสองชั้น บนยอดศีรษะมีแผ่นหยกนำโชค มือถือกระบี่ครามลอยอยู่ใต้เนตรสวรรค์
“อั่ก!”
ในที่สุด เซียวฮั่นที่ลอยอยู่นิ่ง ๆ ก็กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ ลมปราณทั่วทั้งร่างอ่อนแอลงถึงขีดสุดอย่างฉับพลันทันใด หนึ่งกระบี่นั้นได้ใช้พลังทั้งหมดของเซียวฮั่นไปแล้ว สิ่งที่จ่ายออกไปนับว่าเป็นราคามหาศาล แต่ถึงจะใช้พลังทั้งหมดของเซียวฮั่น อานุภาพของกระบี่เล่มนี้ก็แสดงออกมาเพียงแค่สองสามส่วนเท่านั้น
“แกร่ก!”
เสียงอันไพเราะดังขึ้นอย่างช้า ๆ ภายใต้สายตาหวาดกลัวของการดำรงอยู่อันน่าหวาดผวานับไม่ถ้วน หัตถ์สวรรค์สองข้างถูกเซียวฮั่นหั่นกรงเล็บทั้งห้าในคราวเดียว โลหิตสวรรค์สีทองไหลรินจากกรงเล็บทั้งห้าอย่างไม่ขาดสาย
ท้ายที่สุดไม่ว่าจะหัตถ์สวรรค์หรือเนตรสวรรค์ก็ล้วนแต่กระจัดกระจายไปบนท้องนภาแล้วค่อย ๆ หายลับไป
“สมกับเป็นปฐมกษัตริย์ แม้แต่สวรรค์ยังกล้าท้าทาย กระทั่งสะบั้นหัตถ์สวรรค์และเนตรสวรรค์!”
ยามนี้โลกและสวรรค์เงียบสงัด การดำรงอยู่อันน่าหวาดผวาบนเก้ามหาทวีปต่างพากันพึมพำ แต่ความน่าหวาดกลัวยิ่งกว่านั้นซึ่งดำรงอยู่ในดวงเนตรสองข้างกลับปะทุแววสังหารออกมา เพราะพวกมันเห็นความหวังจากร่างของเซียวฮั่น
เมื่อเนตรสวรรค์และหัตถ์สวรรค์หายไป เซียวฮั่นก็สะบัดมือหนึ่งครา กวาดเก็บโลหิตสวรรค์สีทองเหล่านั้น ส่วนกรงเล็บสวรรค์ที่ถูกเซียวฮั่นตัดจนขาดก็หายไปพร้อมกับหัตถ์สวรรค์
หลังจากทัณฑ์สวรรค์เลือนหาย วัดหมื่นอรหันต์ก็กลับมาเงียบสงบอีกครา เงาร่างของเซียวฮั่นค่อย ๆ ร่วงลงมาจากนภาอย่างเนิบช้า ในที่สุดก็ล่องลอยอยู่เบื้องหน้าตี้หลูหลายในร่างกายหยาบ
“ตี้หลูหลาย เห็นสิ่งที่เจ้าอยากเห็นหรือยัง?”
ขณะมองไปยังร่างของตี้หลูหลาย เซียวฮั่นก็เอ่ยพลางคลี่ยิ้มบาง เพียงแต่สีหน้าของเขาในยามนี้ซีดขาวจนน่ากลัว
แม้ว่าในร่างกายของเซียวฮั่นจะแฝงไว้ด้วยแม่น้ำวิญญาณครึ่งสายและพลังฟ้าดิน แต่กลับไม่สามารถฟื้นฟูการสูญเสียไปได้ชั่วขณะ อย่างที่รู้กันว่ากระบี่เล่มนั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น หนึ่งกระบี่เบิกสวรรค์ คือสิ่งที่สามารถเปิดธาตุอากาศได้อย่างแท้จริง เป็นกระบี่เบิกสวรรค์ที่เปิดทางสรรพสิ่งทั่วโลกา
ดังนั้น เมื่อสำแดงพลังกระบี่นี้ออกมา พลังทั่วทั้งร่างของเซียวฮั่นจึงถูกใช้จนหมดเพียงชั่วพริบตา จึงไม่มีทางฟื้นคืนกลับมาได้ในระยะเวลาอันสั้น เพียงแต่การได้โลหิตสวรรค์เหล่านั้นมาใช้งาน นับว่าเป็นความคุ้มเหนื่อยไม่น้อยอยู่เหมือนกัน
“อมิตตาพุทธ วิธีการของโยมเซียวนั้นเลิศล้ำยิ่ง เป็นโชคแห่งสวรรค์อย่างแท้จริง!”
“เอาล่ะ ไม่ต้องเยินยอข้า ข้ามีไพ่ตายเท่าใด ตัวข้าย่อมรู้ดีกว่าผู้ใด พวกเจ้าวัดหมื่นอรหันต์จงเตรียมพร้อมสำหรับศึกหนสุดท้ายโดยเร็ว ความโหดร้ายของศึกนี้ เหนือกว่าจินตนาการของพวกเจ้าไปไกลห่าง ทางที่ดีควรเตรียมใจรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด เป็นไปได้ว่าไม่ใช่แค่เพียงเจ้า แม้แต่ข้าก็อาจจะไม่สามารถสู้จนจบ เพราะผู้ใดก็ไม่สามารถล่วงรู้ว่าปลายสุดของที่แห่งนั้นว่ามีสิ่งเลวร้ายอันใดรออยู่!”
เซียวฮั่นเก็บแผ่นหยกนำโชคและกระบี่คราม ก่อนจะเอ่ยอย่างเรียบ ๆ ไปทางตี้หลูหลาย และระหว่างที่เขาเอ่ย บงกชทองบารมีสิบสองชั้นก็กลายเป็นแสงสีทองหายไปในบัลลังก์บงกชของตี้หลูหลายอีกครา
“อมิตตาพุทธ เหตุทั้งหมดมีชะตากรรมของตัวมันเอง สำเร็จหรือล้มเหลวก็ตามแต่โชคชะตา!”
เสียงพุทธะดังขึ้น ตี้หลูหลายไม่ได้มองโลกในแง่ลบเช่นนั้น สำหรับผู้ที่บรรลุนิพพานแล้ว เดิมทีคือขันธ์อันว่างเปล่า โชคชะตาทั้งหมด ล้วนขึ้นอยู่กับชะตากรรม!
“หากมนุษย์มีความคิดแบบเดียวกับเจ้า ข้าก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”
ได้ยินดังนั้น เซียวฮั่นก็หัวเราะอย่างขมขื่น จากนั้นก็ส่ายศีรษะ เงาร่างร่วงลงสู่ความว่างเปล่า
หลังจากลงสู่พื้น เซียวฮั่นก็สะบัดมือหนึ่งครา โลหิตสวรรค์หนึ่งหยดพลันปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ จากนั้นก็อ้าปากสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ก่อนจะกลืนกินโลหิตสวรรค์สีทองหยดนี้ลงไป
“ครืน!”
หลังจากกลืนโลหิตสวรรค์ รอบกายของเซียวฮั่นก็ปะทุอานุภาพสวรรค์อันน่าหวาดผวาออกมา ลมหายใจทั่วทั้งร่างพุ่งสูงขึ้นอย่างดุเดือด หน้าที่เคยซีดขาวแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงดุจโลหิตทันใด ร่างกายมีพลังเปี่ยมล้นขึ้นมาอย่างฉับพลัน
โลหิตสวรรค์หนึ่งหยดทำให้พลังที่สูญเสียไปของเซียวฮั่นฟื้นฟูจนถึงจุดสูงสุดอย่างกะทันหัน เนื่องจากพลังที่มากเกินไป จนเกือบทำให้กายหยาบของเซียวฮั่นแบกรับพลังที่ระเบิดออกมาจากร่างไม่ไหว
“อยากได้สิ่งนี้มานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาส!”
วิชาเทพอมตะนิรันด์โคจรไปรอบ ๆ พลังงานของโลหิตสวรรค์ถูกกลืนเข้าไปจนหมดเพื่อเพิ่มพลังให้กับกายหยาบ เซียวฮั่นพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ โลหิตสวรรค์หยดนี้ดีกว่าโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์และโอสถเทพแท้จริงมากกว่าร้อยเท่าพันเท่า เกรงว่าโอสถสวรรค์หยดนี้สามารถทำให้ยอดฝีมือขอบเขตเทพแท้จริงทะลวงสู่ขอบเขตเล็ก ๆ หลายขอบเขตได้อย่างต่อเนื่อง
“อมิตตาพุทธ สิ่งนี้คือบุญวาสนาของโยมเซียว!”
เมื่อได้ฟังคำกล่าวของตี้หลูหลาย เซียวฮั่นก็เพียงส่ายศีรษะพลางเอ่ย
“แม้ว่าจะได้รับของชิ้นนี้ แต่มันก็ทำให้อีกฝ่ายรู้ไพ่ตายของข้าอย่างคร่าว ๆ ”
“มีเสียย่อมมีได้ ทั้งหมดล้วนเป็นผลของการกระทำ!”
“ข้าเหนื่อยที่จะคุยกับพวกเจ้าเรื่องฝึกตนผลกรรมแล้ว เมื่อเทียบกับชายชราในเมืองแห่งโชคชะตาก็ยังน่ารำคาญเสียยิ่งกว่า! ข้ากับพวกเจ้านั้นต่างกัน ข้าทั้งไม่เชื่อในโชคชะตา และไม่เชื่อในชะตากรรม ข้าเชื่อเพียงตัวข้า เพียงความคิดข้า!”
เมื่อฟังเสียงพุทธของตี้หลูหลาย เซียวฮั่นก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เขาเข้าใจแล้วว่าอย่าได้เอ่ยเรื่องหลักการกับคนที่ฝึกตนผลกรรมเป็นอันขาด มิเช่นนั้นพวกเขาจะไม่กล่าวว่าผลกรรมทั้งหมดถูกชะตาลิขิตไว้แล้ว!
เพียงแค่เซียวฮั่นไม่เชื่อทั้งชะตากรรม และไม่เชื่อในโชคชะตา เขาเชื่อเพียงแต่ตนเอง แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าการเลือกนั้นผิด ทว่าเขาก็ไม่เสียใจแม้แต่น้อย
ข้าก็คือข้า ชะตาของข้าขึ้นอยู่กับข้า นี่คือนิสัยของเซียวฮั่น มิเช่นนั้นเซียวฮั่นคงไม่สามารถเดินบนเส้นทางพลิกสวรรค์ ทั้งยังเดินอย่างเด็ดขาด ไม่หวั่นเกรงต่อผลที่จะตามมา
สำหรับเคราะห์สวรรค์ครานี้ ไม่ว่าจะเซียวฮั่น ตี้หลูหลาย หรือมือมืดที่อยู่เบื้องหลังผู้ควบคุมเคราะห์สวรรค์นั้นก็ล้วนเข้าใจ สิ่งนี้คือเหยื่อล่อ ไม่ใช่การล่อลวงให้เซียวฮั่นออกมือ แต่เป็นการล่อลวงให้ตี้หลูหลายเข้าร่วมสงครามด้วย
แต่สำหรับเซียวฮั่นและตี้หลูหลาย สิ่งนี้คือโอกาสครั้งหนึ่ง โอกาสที่จะทำให้ทุกคนเห็นความหวังในอนาคต แม้ว่าเซียวฮั่นได้เปิดเผยไพ่ตายที่สำคัญยิ่งยวดใบหนึ่งแล้ว แต่ก็นับว่าคุ้มค่า
“เอาล่ะข้าคงต้องไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่าคราวนี้เจ้ายังไม่ได้เอาจริงสินะ!”
หลังจากฟื้นคืนสู่สภาวะสูงสุด เซียวฮั่นก็จ้องมองที่ตี้หลูหลายแวบหนึ่งแล้วเอ่ยพลางยิ้ม ที่ตี้หลูหลายให้เขาออกมือเองนั้นไม่ใช่ไม่มีเหตุผล
เพราะเขารู้ดีว่าลูกไม้สุดท้ายของตี้หลูหลายนั้นพลิกสวรรค์อย่างยิ่ง บนโลกใบนี้ไม่ค่อยมีการดำรงอยู่ที่สามารถทัดเทียมได้ แม้ว่าเขาผู้อยู่ภายใต้สภาวะสุงสุดเมื่อภพก่อนเกรงว่าก็ไม่มีทางรับมือไพ่ตายใบสุดท้ายของตี้หลูหลายได้โดยตรง
แน่นอนว่า ไพ่ตายของตี้หลูหลายไม่ได้เป็นการสำแดงของเขาผู้เดียว แต่เป็นวัดหมื่นอรหันต์ทั้งหมด เพียงแต่หากถึงขั้นนั้น ก็ถึงเวลาแห่งความเป็นและความตายแล้ว
แสงแห่งธรรมหลายร้อยล้านถอยไปหลบซ่อน แสนโพธิสัตว์นับพันนับหมื่น ล้านอรหันต์ สาวกแห่งพุทธะนับไม่ถ้วนกลับคืนสู่ท่าทางสำรวมอีกครา แสงแห่งวิถีพุทธะแผ่กระจายออกมาจากร่างของพวกเขา ปกคลุมไปทั่วทั้งวัดหมื่นอรหันต์
ส่วนตี้หลูหลายได้ทำตัวแบบที่เคยทำ เขานั่งบนจุดสูงสุดของภูเขาหลิงซานแห่งวัดหมื่นอรหันต์ ด้านหลังมีกงจักรแห่งธรรมลอยอยู่ เหล่าประสกต่างก้มลงกราบอย่างจริงใจ
เซียวฮั่นสำเร็จการเดินทางหนนี้แล้ว คนเหยียบสะพานสายรุ้งเจ็ดสีภายใต้การนำทางของพระเมตไตรยออกจากวัดหมื่นอรหันต์อย่างช้า ๆ อีกครา เมื่อเงาร่างของซือคงจายซิงและคนอื่น ๆ กลับสู่ดินแดนรกร้างมรณะอีกครั้ง พวกเขาก็ยังมิได้ฟื้นคืนสติไปชั่วขณะ เพียงแต่มุมมองที่พวกเขามีต่อเซียวฮั่นในยามนี้กลับน่าเกรงขามมากกว่าแต่ก่อนไม่รู้กี่เท่า
โดยเฉพาะเมื่อเห็นเซียวฮั่นตัดหัตถ์สวรรค์ด้วยกระบี่เดียว ยามที่ผ่าเนตรสวรรค์ พวกเขาก็ยิ่งมีจิตใจสั่นไหวขึ้นมา มีเพียงเมื่อเห็นพลังที่แท้จริงของเซียวฮั่นเท่านั้น พวกเขาเพิ่งจึงเข้าใจว่าเหตุใดแม้แต่บรรพบุรุษก็ยังหวาดกลัวเซียวฮั่นเช่นนี้
“พวกเจ้ากลับไปบอกซือคงโทวเทียนว่า ว่างเมื่อใดข้าจะไปหาพวกเจ้าที่นั่นในฐานะแขก!”
ยามนี้ลมปราณของเซียวฮั่นสงบนิ่งไม่ต่างจากคนปกติทั่วไป แต่ไม่ว่าจะซือคงโทวเทียนหรือผู้อาวุโสสามท่านของหอซิงเฉินก็ยังไม่กล้าใช้สายตามองไปยังเซียวฮั่น ยามนี้ในจิตใจของพวกเขา เซียวฮั่นคือการดำรงอยู่เยี่ยงเทพอย่างไม่ต้องสงสัย
“ใช่แล้ว สิ่งนี้มอบให้พวกเจ้าถือเป็นน้ำใจ!”
เซียวฮั่นหัวเราะขึ้นมาอย่างฉับพลัน ก่อนจะสะบัดมือหนึ่งครา โลหิตสวรรค์หนึ่งหยดกลอกกลิ้งแล้วร่วงลงบนกลางฝ่ามือของซือคงจายซิง และฝ่ามือของซือคงจายซิงก็กำลังประคองโลหิตสวรรค์หยดนี้ด้วยความสั่นเทาอย่างอดไม่ได้ อย่างที่รู้กันว่าสิ่งนี้คือโลหิตแห่งสวรรค์ โลหิตแห่งสวรรค์หนึ่งหยดเช่นนี้คือของล้ำค่ามหาศาล
เมื่อกล่าวจบ รอจนคนทั้งหลายฟื้นคืนสติ เงาร่างของเซียวฮั่นก็ได้อันตรธานหายไปจากที่เดิมแล้ว กระทั่งเงาร่างของเขาปรากฏขึ้นอีกคราก็เป็นก้าวข้ามไปไม่รู้กี่มิติ ก่อนจะปรากฏตัวในเขตปกครองของสำนักกระบี่หลิงเทียนบนมหาทวีปตงโจว
และยามที่สำนักกระบี่หลิงเทียนทำลายสำนักปาฮวง หลังรับยอดฝีมือขอบเขตราชันสี่ท่านของสำนักปาฮวง รวมถึงยอดฝีมือขอบเขตทรราชและขอบเขตจักรพรรดิเข้ามา เวลานี้สำนักกระบี่หลิงเทียนจึงได้กลายเป็นขุมอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่สูงสุดในในขุมอำนาจระดับสองไปโดยปริยาย
กล่าวได้ว่า กำลังของสำนักกระบี่หลิงเทียนในยามนี้เหนือกว่าสำนักเทียนฮ่าวไปหลายขุมแล้ว โดยเฉพาะภายใต้การบัญชาการของเจี้ยนอู๋อิงยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ราชัน เกรงว่าแม้แต่ขุมอำนาจระดับหนึ่งก็ยังมิอาจหาญก่อกวนสำนักกระบี่หลิงเทียน
แน่นอนว่า ภายใต้การชี้แนะของเจี้ยนอู๋อิง ไม่ว่าจะศิษย์รุ่นเยาว์หรือยอดฝีมือรุ่นอาวุโสของสำนักกระบี่หลิงเทียนต่างล้วนเลื่อนขั้นระดับพลังของตนอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะภายใต้การสนับสนุนด้วยทรัพยากรอันมากมายมหาศาล
ในยามนี้สำนักได้ก่อกำเนิดศิษย์รุ่นเยาว์ขอบเขตจักรพรรดิหลายคน ท่ามกลางศิษย์ของผู้อาวุโสใหญ่หลินหลัน พรสวรรค์ของฉู่หยุนเทียนนั้นนับว่าโดดเด่น อายุยังน้อยแต่กลับก้าวเข้าสู่ขอบเขตจักรพรรดิก่อนใครเพื่อน
และศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสหลายคนที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศที่สุดของสำนักกระบี่หลิงเทียน ภายใต้การชี้แนะของเจี้ยนอู๋อิงก็ทะลวงสู่ขอบเขตจักรพรรดิอย่างก้าวกระโดด ไม่เพียงแต่พวกเขา แม้แต่ศิษย์ของสำนักกระบี่หลิงเทียนจำนวนมากก็รุดหน้าอย่างก้าวกระโดดภายในเวลาอันสั้น
ส่วนหม่าเหลียงเฉินที่ได้รับการดูแลจากเจี้ยนอู๋อิงก็ได้ทะลวงจากขอบเขตรวบรวมลมปราณไปยังขอบเขตจักรพรรดิเช่นกัน และกระบี่ฮ่าวเทียนของเขาก็กลายสภาพเป็นศาสตราแห่งจักรพรรดิแล้ว สิ่งนี้ทำให้หม่าเหลียงเฉินภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก
นอกจากความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของคนรุ่นเยาว์ ความก้าวหน้าของยอดฝีมือรุ่นอาวุโสก็ไม่น้อย เช่นซุนลี่ที่ทะลวงสู่ขอบเขตทรราชไปนานแล้ว ภายใต้ทรัพยากรมหาศาลและการชี้แนะของเจี้ยนอู๋อิง เส้นทางของเขายิ่งกว่าก้าวกระโดด จนยามนี้บรรลุขอบเขตทรราชระดับสูงแล้ว
และผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสิบอันดับ ไม่มากก็น้อยได้ทะลวงขอบเขตดั้งเดิม ดังนั้นสำนักกระบี่หลิงเทียนจึงได้เพิ่มยอดฝีมือขอบเขตราชันสี่คนในเวลาไล่เลี่ยกัน นอกจากนี้สองเฒ่าคูมู่และคูหรงของสำนักปาฮวงก็ทะลวงสู่ขอบเขตราชันเช่นกัน
ดังนั้น ยามนี้สำนักกระบี่หลิงเทียนจึงมียอดฝีมือขอบเขตราชันมากจนใกล้จะถึงสิบคนแล้ว แม้ว่าเมื่อเทียบกับขุมอำนาจระดับหนึ่งจะยังมีระยะห่างไม่น้อย แต่ในบรรดาขุมอำนาจระดับสองนั้นนับว่าเป็นการดำรงอยู่อันสูงสุด
แต่สิ่งนี้ก็ยังไม่พอ สถานการณ์ปัจจุบันของสำนักกระบี่หลิงเทียน หากยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์หนึ่งคนออกมือก็สามารถทำให้กองกำลังทั้งหมดของสำนักกระบี่หลิงเทียนพังพินาศได้
เพียงแต่การก้าวเข้าสู่ขอบเขตของผู้สูงส่งขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ง่าย แม้จะมีเจี้ยนอู๋อิงคอยชี้แนะ แต่ทว่าก็ไม่สามารถให้กำเนิดผู้ฝึกตนระดับนั้นขึนมาได้ในเวลาอันสั้น อย่างไรขอบเขตของผู้สูงส่งขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ ก็เน้นที่พรสวรรค์ของตน สติปัญญาของตน รวมถึงจังหวะและอื่น ๆ มิเช่นนั้นบนเก้ามหาทวีป การดำรงอยู่ของผู้สูงส่งขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์คงไม่ได้มีน้อยถึงเพียงนั้น
และการเดินทางของเซียวฮั่นไปมหาทวีปหนานโจวหนนี้ได้นำทรัพยากรกลับมาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคลังสมบัติของตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ที่มีเทพศักดิ์สิทธิ์ถึงห้าคนก็เพียงพอที่จะทำให้สำนักกระบี่หลิงเทียนก้าวกระโดดไปอย่างรวดเร็วอีกระดับ และสิ่งนี้ก็คือสิ่งสุดท้ายที่เซียวฮั่นสามารถช่วยสำนักกระบี่หลิงเทียนได้
การกลับมาสำนักกระบี่หลิงเทียนครานี้ เซียวฮั่นจะไม่รั้งอยู่นาน รอการกลับมาครั้งต่อไป เกรงว่าคงหลังจากนี้เป็นเวลาอีกนาน เพราะหลังจากเขาออกจากตงโจวก็ต้องมุ่งหน้าไปจงโจว หลังจากนั้นก็เดินทางไปยังสี่ทวีป เพราะเรื่องบางอย่างของเขาจำเป็นต้องสะสางที่สี่ทวีปเท่านั้น
บนสี่ทวีป แบ่งออกเป็นเฉินโจว เทียนโจว เสวียนโจว และหยวนโจว เซียวฮั่นต้องการไปเฉินโจวก่อน ค่อยไปเทียนโจว ส่วนเสวียนโจวและหยวนโจว เขายังไม่มีความจำเป็นต้องไป
เพียงแต่ก่อนไปสี่ทวีป เขาอยากไปเที่ยวเล่นที่ทวีปจงโจวเสียก่อน เพราะเขาได้ทิ้งสมบัติหนึ่งชิ้นไว้บนมหาทวีปจงโจวเมื่อภพก่อน และไม่ใช่แค่เพราะสมบัติเท่านั้น แต่การเดินทางของเขาครานี้ต้องการทะลวงระดับวิชาเทพอมตะนิรันดร์ เปิดจุดสองเส้นลมปราณโลกและสวรรค์
นอกจากนี้เขายังต้องรวบรวมสองบุปผาฟ้าดินให้เร็วที่สุด วิชาห้าปราณรวมศูนย์ของเขานั้น หากขอบเขตแรกของสามยอดบุปผาสามารถบรรลุล่วงหน้าได้ ถึงเวลานั้นการบรรลุเคล็ดวิชาในขั้นที่หนึ่งก็จะเสร็จสมบูรณ์ จากนั้นค่อยทะลวงถึงขั้นที่สองต่อไป!
………………..