ครองภพสยบนิรันดร์ - ตอนที่ 113
113: โอกาสอันยิ่งใหญ่ของตระกูลซู!
“ท่านทั้งหลาย วันนี้ข้ามีเรื่องเร่งด่วน ในวันหน้าข้าจะจัดงานเลี้ยงเพื่อชดใช้แก่พวกท่าน” ซือคงจายซิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มพลางโค้งคำนับเล็กน้อยไปทางคนทั้งหมด
“มิกล้า…มิกล้า พวกเราจะกล้ารบกวนนายน้อยจัดงานเลี้ยงได้อย่างไร!”
เมื่อคนทั้งหมดได้ยินดังนั้นต่างก็รีบลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่ามิกล้าติด ๆ กัน แม้วันนี้จะเสียเวลา แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้าน และแม้พวกเขาจะไม่รู้ฐานะของเซียวฮั่น แต่ในใจของพวกเขาต่างคิดว่า เซียวฮั่นคือการดำรงอยู่อันไร้เทียมทานซึ่งเทียบได้กับผู้ดูแลขุมอำนาจระดับหนึ่ง
หลังจากกล่าวจบ ซือคงจายซิงได้ผายมือเชื้อเชิญเซียวฮั่นให้เข้ามาในลานซิงเฉินเพื่อเจรจากันต่อทันที อย่างไรด้านนอกนั้นก็มีสายตาผู้คนจับจ้องอยู่มากมาย และเรื่องที่พวกเขากำลังเจรจากันนับว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ
“พี่เซียว ไม่ทราบว่าท่านมีวิธีใดในการหาดวงจิตขจัดมาร?”
หลังจากเชิญเซียวฮั่นเข้ามาข้างในเรือน ซือคงจายซิงก็ให้คนชงชาวิญญาณระดับล้ำเลิศ จากนั้นจึงโค้งคำนับเล็กน้อยเพื่อขอคำชี้แนะ
“วิธีการของข้านั้นง่ายดายมาก ไม่เหมือนที่พวกเจ้าต้องไปเสี่ยงโชคงมเข็มในดินแดนรกร้างมรณะ พวกเจ้าลองกันเองดูว่าจะสามารถหาดวงจิตขจัดมารพบหรือไม่!”
เซียวฮั่นคลี่ยิ้มบางเบาพลางยกจอกชาขึ้น จากนั้นก็จิบชาหนึ่งคำ แล้วเอ่ยอย่างช้า ๆ
ได้ยินดังนั้น หัวใจของซือคงจายซิงก็กระตุก ก่อนจะเอ่ยพลางยิ้มขมขื่น
“พี่เซียวคงไม่ได้หมายถึง ‘ที่แห่งนั้น’ ?”
“ทำไมเล่า? สิ่งที่ต้องการคือดวงจิตขจัดมาร ไม่ใช่รากเหง้าชีวิตของพวกมันเสียหน่อย”
เซียวฮั่นส่ายศีรษะเล็กน้อย แล้วเอ่ยพลางยิ้มอย่างอดไม่ได้
เห็นน้ำเสียงและท่าทางอย่างไม่ยี่หระของเซียวฮั่น ในใจของซือคงจายซิงเพียงแต่ยิ้มขมขื่น มีเพียงการดำรงอยู่แบบเบื้องหน้าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอจะเอ่ยออกมาเช่นนี้ ‘ที่แห่งนั้น’ แม้แต่ยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์กระทั่งยอดฝีมือขอบเขตเทพแท้จริงยังต้องหวาดกลัวถึงสามส่วน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการร้องขอสิ่งของอันใด
“โอ้ใช่แล้ว ข้าเองก็อยากไปสักรอบ พวกเจ้าหอซิงเฉินให้ข้าเป็นผู้นำทาง นับว่าเป็นค่าตอบแทนแก่พวกเจ้าที่ข้ามอบให้ก็แล้วกัน” หลังจากจิบชาอย่างช้า ๆ เซียวฮั่นก็วางจอกชาลงพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เช่นนี้ น้องชายก็ต้องขอขอบคุณพี่เซียวแล้ว ไม่ทราบว่าพี่เซียวจะออกเดินทางเมื่อไหร่?”
ซือคงจายซิงได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้าปีติยินดี ก่อนจะรีบโค้งคำนับทันที
“ไม่ต้องรีบร้อน ข้ายังต้องจัดการเรื่องบางอย่างที่จัตุรัสตะวันตก แล้วค่อยเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดของดินแดนรกร้างมรณะกับเจ้าอีกครา!”
เซียวฮั่นส่ายศีรษะเล็กน้อย เขาไม่รีบร้อนออกเดินทาง ยามนี้ยังมีเรื่องของตระกูลซูที่ต้องจัดการเสียก่อน เขาจึงจะเริ่มเดินทางได้
“หากพี่เซียวมีเรื่องอันใดต้องจัดการ ขอเพียงบอกกล่าวมา น้องชายจะทำอย่างสุดความสามารถ”
ได้ยินดังนั้น ซือคงจายซิงก็รับปากทันที แม้จะไม่รู้ว่าเรื่องที่เซียวฮั่นหมายถึงคืออะไร แต่สิ่งนี้ก็ถือเป็นโอกาสครั้งหนึ่งของหอซิงเฉินอย่างไม่ต้องสงสัย
“เรื่องเล็กน้อย เพียงแต่ที่นี่คืออาณาบริเวณของจัตุรัสตะวันตก หากพวกเจ้าหอซิงเฉินออกมือก็นับว่าเหมาะสมยิ่งกว่า”
เซียวฮั่นพยักหน้าเล็กน้อย และไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของซือคงจายซิง อย่างไรพลังของเขาในยามนี้ก็ถูกผนึกไว้อย่างสมบูรณ์ และเรื่องบางเรื่องคงไม่เหมาะที่เขาจะออกมือ
“แย่แล้ว!”
ยามที่ซูหงไท่นำคนกลับมายังเรือนใหญ่ของตระกูลซู สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปในบัดดล เพราะเรือนใหญ่ของตระกูลซูถูกล้อมรอบด้าน และผู้ที่กำลังรายล้อมคือยอดฝีมือของสมาคมเลือดสังหาร ผู้นำสมาคมเลือดสังหาร พร้อมกับยอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิทั้งสี่มารวมตัวกัน แต่ละคนล้วนมีท่าทางดุดัน กลิ่นอายสังหารทะยานขึ้นสู่นภา
ส่วนผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสสองของตระกูลซูได้รวมตัวผู้ดูแลและยอดฝีมือที่มีอยู่ในตระกูลเพื่อรับมือกับยอดฝีมือของสมาคมเลือดสังหารที่ด้านนอกเรือนใหญ่ของตระกูลซูอยู่ก่อนแล้ว
“ซูหงไท่ เจ้ากลับมาพอดี บอกมาว่าพวกเจ้าตระกูลซูก่อเรื่องอะไรถึงได้ทำให้ยอดฝีมือสมาคมเลือดสังหารหลายสิบคนของข้าตกตายในดินแดนรกร้างมรณะ หากวันนี้ไม่ให้คำอธิบาย ก็จะเป็นวันที่พวกเจ้าตระกูลซูต้องดับสูญ!”
หัวหน้าของสมาคมเลือดสังหารเอ่ยอย่างเด็ดขาด จิตสังหารในดวงตาของเซวี่ยหลางเทียนในยามนี้น่าหวาดกลัวยิ่ง คนทั้งร่างราวกับสัตว์ปีศาจที่อ้าปากกว้างจนเห็นเหงือกสีเลือด
และเมื่อเซวี่ยหลางเทียนเอ่ยปาก ผู้นำคนอื่น ๆ อีกสามคนของสมาคมเลือดสังหารก็ปะทุอำนาจอันน่าหวาดผวาออกมาพร้อมเพรียงกัน และเช่นเดียวกันกับพวกเขา ยามนี้สมาชิกสมาคมเลือดสังหารได้รวมตัวกันที่ด้านนอกเรือนใหญ่ของตระกูลซู พร้อมกับปลดปล่อยจิตสังหารอันน่าหวาดกลัวออกมา เห็นท่าทางนั้นแล้ว ราวกับต้องการเปิดวงสังหารตระกูลซูทันทีก็มิปาน
“เข้าใจผิด! เรื่องนี้เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว เวลานั้นตาแก่อย่างข้าก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อใด รู้แต่เพียงว่าเตาปาของสำนักท่านได้ก่อกบฏกะทันหัน และสังหารสมาชิกของสำนักอย่างต่อเนื่อง”
เมื่อซูหงไท่เห็นภาพนี้ ก็รีบตะโกนชี้แจงแถลงไขด้วยจิตใจอันสั่นไหวทันที
“น่าขันนัก เจ้าคิดว่าพวกข้าจะฟังคำโกหกหลอกลวงอันยาวเหยียดนี้รึ? หากไม่ใช่พวกเจ้าตระกูลซูลอบใช้ลูกไม้ พี่น้องกลุ่มนั้นของข้าจะตกตายจนหมดได้เยี่ยงไร? อีกทั้งพวกเจ้าตระกูลซูกลับไม่มีผู้ใดตาย”
ดวงตาอันชั่วร้ายเกินจะเปรียบของเซวี่ยซาจ้องเขม็งไปยังซูหงไท่ แสงในดวงตาทั้งสองข้างเปล่งประกายวาบ เสียงอันเยือกเย็นดุจน้ำแข็งทำให้อากาศพลันแข็งค้างขึ้นมา
“พวกเจ้าอย่ารังแกผู้คนจนเกินไป! เดิมทีก็เพราะสมาคมเลือดสังหารลอบคิดร้ายกับพวกข้าแต่ดันแพ้ภัยตัวเอง ถึงแม้พวกข้าจะทำเรื่องนี้แล้วอย่างไร? ก็เพียงแค่คิดจะหาข้ออ้างทำลายตระกูลซูเท่านั้น อย่างมากก็แค่พวกข้ากับพวกเจ้าสมาคมเลือดสังหารพังพินาศไปด้วยกัน!”
ซูจ้านผู้อาวุโสสองของตระกูลซูเป็นคนดุดัน เมื่อเห็นสมาคมเลือดสังหารใส่ความพวกเขาตระกูลซูโดยไม่แยกแยะผิดถูก สิ่งนี้จึงทำให้เขาเอ่ยขึ้นมาด้วยความโมโหอย่างอดไม่ได้ทันที
ถึงสมาคมเลือดสังหารจะมียอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิสี่คน แต่ตระกูลซูก็มียอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิสามคนเช่นกัน หากต่อสู้สังหารขึ้นมาจริง ๆ อย่างมากก็แค่ย่อยยับทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ได้ประโยชน์
“ดี รอเจ้าเอ่ยประโยคนี้อยู่แล้ว! ผู้อาวุโสฟ่าน ท่านคงจะได้ยินแล้วกระมัง!”
เมื่อเซวี่ยหลางเทียนได้ยินคำกล่าวของซูจ้านก็หัวเราะเยือกเย็นทันที
“ในเมื่อพวกเจ้าตระกูลซูยอมรับแล้ว เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าบิดาใจคออำมหิต!”
เสียงเยือกเย็นชั่วร้ายดังขึ้นช้า ๆ อากาศสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นชายชราในชุดคลุมสีแดงดุจโลหิตก็ปรากฏกายข้าง ๆ เซวี่ยหลางเทียน
ชายชราผู้นี้สวมชุดคลุมสีแดงเข้ม ดวงตาที่เปิดออกทั้งสองข้างดูราวกับดวงตาสามเหลี่ยมของงูพิษ มีพลังอันชั่วร้ายเกินจะเปรียบโคจรอยู่ บนใบหน้าอันซูบผอมเผยซึ่งกลิ่นอายความดุร้าย มองเพียงคราเดียวก็รู้ว่าเป็นตัวร้ายใจดำอำมหิต
“ผู้อาวุโสสมาคมเลือดสังหาร ฟ่านถู!”
เมื่อเห็นชายชราผู้นี้ปรากฏตัวออกมา สีหน้าของซูหงไท่ก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน และเช่นเดียวกันกับเขา ผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลซูและผู้อาวุโสสองก็ยังมีสีหน้าเปลี่ยนไปตาม ๆ กัน ฟ่านถูเป็นหมาล่าเนื้อผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง และยังเป็นเพชฌฆาตอย่างแท้จริง ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือฟ่านถูยังเป็นยอดฝีมือขอบเขตทรราชอีกด้วย
และยอดฝีมือขอบเขตทรราชคนหนึ่งก็สามารถกำจัดยอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิได้ด้วยมือเดียว แม้ตระกูลซูจะมียอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิถึงสามคน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือขอบเขตทรราชก็ดูจะไม่พอ ก็เหมือนกับยอดฝีมือขอบเขตทรราชต้านรับการโจมตีของยอดฝีมือขอบเขตราชันไม่ได้แม้เพียงหนึ่งกระบวนท่า เมื่อยอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิเผชิญหน้ากับยอดฝีมือขอบเขตทรราชก็ไม่อาจต้านรับได้เช่นกัน
“ฮี่ ๆ พวกเจ้าจะขึ้นมารนหาที่ตายด้วยตนเอง หรือจะให้บิดาส่งพวกเจ้าลงนรกทีละคน? ”
เสียงหัวเราะอันเยือกเย็นแสบหูดังขึ้น บนใบหน้าซูบผอมปรากฏรอยยิ้มที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวจนตัวสั่น ราวกับปีศาจคลั่งที่เตรียมตัวจะเปิดวงสังหารก็มิปาน
“แต่บิดายังชอบฟังเสียงคร่ำครวญอย่างสิ้นหวังด้วยความเจ็บปวดของพวกเจ้ามากกว่า เรียงตัวมาให้ข้าสังหารเช่นนี้ก็น่าสนุกดี!”
ฟ่านถูหัวเราะชั่วร้ายหนึ่งเสียง จากนั้นก็ก้าวฝ่าเท้าหนึ่งครา คนทั้งร่างพลันกลายเป็นภาพติดตาหนึ่งสาย ในฐานะยอดฝีมือขอบเขตทรราช ฟ่านถูได้ควบคุมพลังของกฎแห่งสวรรค์และโลกหล้าอย่างสมบูรณ์แล้ว หนึ่งการโจมตีแบบสุ่มสี่สุ่มห้านั้นย่อมไม่ใช่สิ่งที่ยอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิจะรับมือได้
“ผู้อาวุโสสองระวัง!”
มองไปยังฟ่านถูที่จู่โจมสังหารไปทางซูจ้าน สีหน้าของซูหงไท่ก็เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวงแล้วตะโกนเตือนทันที
แต่ทว่าเมื่อสิ้นเสียงกลับสายไป เห็นเพียงฟ่านถูฟาดซูจ้านกระเด็นด้วยฝ่ามือ และซูจ้านก็ไร้ซึ่งความสามารถใดจะต่อต้าน คนทั้งร่างกระอักโลหิตแล้วกระเด็นออกไป หน้าอกยุบลงไปเป็นรอยฝ่ามือสะดุดตา กระดูกสันอกโดยรอบของรอยฝ่ามือแตกจนแหลกละเอียด
“อ๊าก!”
เสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดดังออกมาจากปากของซูจ้าน แม้ว่าจะยังไม่ตาย แต่ฝ่ามือของฟ่านถูก็ทำลายหน้าอกของเขาจนแหลกละเอียด และความเจ็บปวดที่แทรกซึมเข้ากระดูกเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามารถแบกรับได้
“ฮี่ ๆ เช่นนี้แหละ บิดาต้องการให้เจ้าตายอย่างสิ้นหวังพร้อมกับเสียงร้องอันเจ็บปวด!”
เสียงหัวเราะชั่วร้ายแสบแก้วหูดังออกมาจากปากของฟ่านถู บนแก้มอันซูบผอมของมันกลับเต็มไปด้วยสีหน้าพอใจ ราวกับว่าการสังหารคนอื่นเป็นความรู้สึกเพลิดเพลินถึงขีดสุด
“ในเมื่อเจ้าชอบถึงขนาดนี้ เช่นนั้นหากเจ้าถูกสังหารแบบนี้ก็นับว่าดีไม่น้อย ”
ทันใดนั้นเสียงอันเย็นเยียบก็ดังขึ้น ใบหน้าของฟ่านถูที่เคยเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันน่าขยะแขยงก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันทันใด สายตาอำมหิตเกินจะเปรียบกวาดมองไปรอบ ๆ ก่อนจะตกลงบนด้านหลังของซูหงไท่และคนอื่น ๆ
ที่ตรงนั้น เงาร่างสองสายไม่รู้ปรากฏขึ้นมาเมื่อใด ทั้งสองหล่อเหลาคมคาย หนึ่งในนั้นสวมชุดคลุมสีขาว ใบหน้าประดับรอยยิ้มเยือกเย็น ส่วนอีกคนสวมชุดคลุมสีเงิน ผมสีเงินคลอเคลียไหล่ สีหน้าเฉยชา
แต่เมื่อฟ่านถูเห็นชายหนุ่มผมสีเงินคนนี้ สีหน้าเขากลับเปลี่ยนไปอย่างห้ามไม่ได้ มันรู้สึกถึงความกดดันอันเย็นชาออกมาจากร่าง ความรู้สึกกดข่มเช่นนี้มีเพียงยอดฝีมือขอบเขตทรราชผู้ที่มีพลังในระดับลึกซึ้งกว่ามันเท่านั้น
“เมื่อใดกันที่จัตุรัสตะวันตกปรากฏยอดฝีมือขอบเขตทรราชเยาว์วัยเช่นนี้!”
ขณะมองไปยังชายหนุ่มผมสีเงิน สายตาของฟ่านถูก็เปล่งประกายวาบอย่างอดไม่ได้ ในใจนึกลอบใคร่ครวญขึ้นมา
ส่วนซูหงไท่ในยามนี้กลับมีสีหน้าปีติยินดี เพราะเขาจำได้ว่าเจ้าของเสียงคือผู้ใด สิ่งนี้ทำให้เขาเข้าใจว่าวันนี้ตระกูลซูมีทางรอดแล้ว
“อ๊าก!”
ขณะที่ฟ่านถูกำลังคิดไตร่ตรอง มันก็กรีดร้องออกมาอย่างฉับพลัน ในยามนี้เห็นเพียงร่างของมันบิดเบี้ยวอย่างบ้าคลั่ง กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างชักเกร็งจนถูกบีบจนออกมานอกร่าง เมื่อมาถึงขั้นนี้ ฟ่านถูก็ยังคงไม่ตาย มันสามารถรู้สึกถึงความเจ็บปวดอันน่าหวาดกลัวที่ส่งออกมาทั่วร่าง แต่ความนึกคิดของมันในยามนี้กลับสติแจ่มชัดเกินจะเปรียบ กระทั่งมีสติมากกว่าที่ผ่านมาเสียด้วยซ้ำ
ส่วนคนทั้งหมดของสมาคมเลือดสังหารเมื่อเห็นภาพนี้ล้วนตกใจหวาดกลัว จนถึงตอนนี้พวกเขาเพิ่งจะค้นพบว่าไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ชายชราชุดคลุมสีขาวได้ปรากฏตัวต่อหน้าร่างของชายหนุ่มสองคน และฝ่ามือของชายชราชุดขาวผู้นี้บิดเบี้ยวเล็กน้อย อากาศทั้งหมดเบื้องหน้าที่อยู่ภายใต้ฝ่ามือของเขาก็บิดเบี้ยวไปด้วย ถึงขนาดสามารถเห็นรอยแตกร้าวเล็ก ๆ ในอากาศปรากฏอยู่
“นี่มัน? พลังแห่งมิติ ยอดฝีมือขอบเขตราชัน!”
เมื่อเห็นภาพนี้ ไม่ว่าจะศิษย์ ลูกหลานของตระกูลซู หรือคนทั้งหมดของสมาคมเลือดสังหารล้วนแต่จิตใจสั่นไหวทั้งสิ้น พลางมองไปยังชายชราชุดขาวที่อยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาหวาดผวาเกินบรรยาย
“ท่านเจ้าสำนักเซียว ท่านจะจัดการกับคนเหล่านี้อย่างไร?”
ชายชราชุดขาวก็คือกู้หยวนจาย ในยามปกติกู้หยวนจายและชายชราธรรมดาสามัญนั้นแตกต่างกันไม่มาก แต่ทว่าเขาคือยอดฝีมือขอบเขตราชันที่แท้จริง ทั้งยังมีพลังขอบเขตราชันอันน่าหวาดผวาระดับสูง ด้วยพลังและความแข็งแกร่งเช่นนี้ ถึงอยู่ในขุมอำนาจระดับหนึ่งก็ยังนับว่าเป็นคนชั้นสูง
เซียวฮั่นไม่ได้เอ่ยปาก เพียงแต่หันศีรษะไปมองซือคงจายซิงครู่หนึ่งพลางยิ้ม และซือคงจายซิงก็มองคนทั้งหมดของสมาคมเลือดสังหารด้วยสายตาเยือกเย็นแวบหนึ่งพลางเอ่ยขึ้นอย่างเฉยชา
“ขวางหูขวางตา สังหารให้หมด!”
“ขอรับ!”
ได้ยินดังนั้น กู้หยวนจายก็สะบัดฝ่ามือหนึ่งครา อากาศรอบ ๆ คนทั้งหมดของสมาคมเลือดสังหารพลันแตกสลายเป็นเศษเสี้ยว แม้แต่เสียงกรีดร้องก็ยังไม่ทันดัง พวกมันถูกรอยแตกแห่งมิติกลืนกินไปหมดสิ้น ไม่เหลือแม้แต่กระดูก อย่างที่รู้กันว่าเมื่อเผชิญหน้ากับรอยแตกแห่งมิติ นั่นคือยอดฝีมือขอบเขตทรราชที่ถูกกลืนกินเข้าไปล้วนไม่รอดชีวิต ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิ
เมื่อเซียวฮั่นเห็นซือคงจายซิงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดไร้ความปรานี ก็ไม่มีความรู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด อย่างไรซือคงจายซิงก็มีฐานะเป็นเจ้าสำนักของหอซิงเฉิน และจะเป็นผู้ดูแลจัตุรัสตะวันตกในภายภาคหน้า หากไม่มีแม้แต่พลังและการตัดสินใจอันเฉียบขาด เช่นนั้นก็น่าผิดหวังเกินไปแล้ว
ในโลกของผู้ฝึกตน เมื่อเป็นผู้ควบคุมขุมอำนาจอันยิ่งใหญ่ก็มักจะมีจิตใจโหดเหี้ยม จัดการเรื่องราวอย่างเด็ดขาด หากมีจิตใจเมตตา ก็จะจัดการเรื่องราวอย่างลังเล เช่นนั้นไม่ช้าก็เร็วขุมอำนาจจะถูกทำลายในที่สุด
เป็นที่รู้กันว่า ที่นี่คือโลกแห่งผู้ฝึกตน สนับสนุนผู้ที่ดำรงตนอย่างเหมาะสม ปลาใหญ่กินปลาเล็ก หาใช่ปลาเล็กมีเหตุผลแล้วจะกลายเป็นใหญ่
“อ๊าก! สังหารข้า สังหารข้าเร็วเข้า!”
ยามนี้ ฟ่านถูที่มีใบหน้าเปลี่ยนสีพลันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว เนื่องด้วยความบิดเบี้ยวและหดตัวของอากาศอย่างต่อเนื่อง ทำให้ร่างของมันทั้งร่างบิดเบี้ยวและถูกดูดกลืนไปด้วยกันอย่างห้ามไม่ได้ กระดูกเปื้อนโลหิตทะลุออกมาจากร่างกายทีละท่อน จากนั้นก็ราวกับแท่งแป้งทอดแต่ละท่อนที่บิดเข้าด้วยกัน
แในยามนี้สัมผัสของฟ่านถูกล่าวได้ว่าเต็มเปี่ยม มันสามารถรับรู้ถึงความเจ็บปวดจากกระดูกในทุกส่วนของร่างกาย แม้มันต้องการหมดสติก็ทำไม่ได้ เพราะมันกลับมีสติมากขึ้นเรื่อย ๆ
สุดท้าย ในเสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดเศร้าโศกและสิ้นหวัง ฟ่านถูก็กลายเป็นละอองโลหิตกองหนึ่ง และสิ่งนี้นับว่าเป็นการทำชั่วได้ชั่ว กรรมได้ตามสนองแล้ว
หลังจากคนทั้งหมดของสมาคมเลือดสังหารและฟ่านถูถูกสังหาร เรือนใหญ่ของตระกูลซูทั้งหลังก็เงียบสงัด ส่วนซูหงไท่ เมื่อเผชิญหน้ากับเซียวฮั่นในยามนี้กลับไม่รู้ว่าควรเอ่ยสิ่งใด บัดนี้เขาไม่กล้าเรียกเซียวฮั่นว่าเจ้าหนุ่มน้อยอีกต่อไป แม้ว่าเซียวฮั่นจะถูกเขาช่วยเหลือไว้ก็ตาม
“ตระกูลซูและข้ามีวาสนาต่อกัน นับว่าข้าติดค้างบุญคุณพวกเขาอยู่ครั้งหนึ่ง” เซียวฮั่นมองไปยังซูหงไท่ที่ไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร จากนั้นก็เอ่ยพลางแย้มยิ้ม
เมื่อฟังคำกล่าวของเซียวฮั่น จิตใจของซือคงจายซิงก็พลันสั่นไหวทันทีก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า
“พี่เซียว น้ำใจนี้ ให้พวกข้าหอซิงเฉินตอบแทนเป็นอย่างไร? ครั้งนี้ต้องขอบคุณพี่เซียวอย่างใจจริงที่ช่วยพวกเราหาดวงจิตขจัดมาร”
“ฮ่า ๆ เรื่องนี้ก็ส่วนเรื่องนี้ เพียงแต่หอซิงเฉินทดแทนน้ำใจนี้แทนข้าย่อมเป็นการดีที่สุด อย่างไรตระกูลซูก็เป็นขุมอำนาจในจัตุรัสตะวันตก อำนาจของข้าครอบคลุมไม่ถึง เพียงแต่น้ำใจนี้ ข้าจะเป็นตัวแทนตระกูลซูมอบมันคืนให้แก่พวกเจ้าหอซิงเฉินอย่างแน่นอน”
เซียวฮั่นคลี่ยิ้มบางเบาและไม่ได้คัดค้านข้อเสนอของซือคงจายซิง เมื่อได้ฟังคำของเซียวฮั่น ซือคงจายซิงก็มีสีหน้าปลื้มปีติทันที
“นับแต่นี้ไป ตระกูลซูจัดเป็นสำนักในอาณัติสายตรงของหอซิงเฉิน ทุกสรรพสิ่งในฮวงเฉิง มอบให้ตระกูลซูดูแล!”
และคำสั่งของซือคงจายซิง ได้ทำให้ตระกูลซูทั้งตระกูลล้วนสงบนิ่ง คนทั้งหมดของตระกูลซูรู้สึกราวกับฝันไปก็มิปาน
แม้แต่ซูหงไท่ผู้นำตระกูลซูก็ยังมีสีหน้ามึนงง เพราะแม้แต่เขาก็ไม่มีทางฟื้นคืนสติชั่วขณะ อย่างที่รู้กันว่าการได้กลายเป็นสำนักใต้อาณัติสายตรงของหอซิงเฉิน มีเพียงขุมอำนาจระดับสองเท่านั้นจึงจะได้รับสวัสดิการ กล่าวได้ว่านับแต่บัดนี้ ฐานะของตระกูลซูก็เทียบเท่ากับขุมอำนาจระดับสอง กระทั่งเทียบกับขุมอำนาจระดับสองทั่วไปแล้วยังมีสิทธิ์มีเสียงมากกว่าด้วย
“เสี่ยวเสี่ยว เจ้ามานี่!”
ขณะที่ทุกคนกำลังสติหลุดลอย เซียวฮั่นก็เอ่ยพลางยิ้มไปทางซูเสี่ยวเสี่ยว
“อ๊ะ…อื้อ!”
ได้ยินดังนั้น ซูเสี่ยวเสี่ยวที่กำลังสติหลุดลอยก็ตอบกลับอย่างรวดเร็ว สาวท้าวไม่กี่ก้าวก็ไปอยู่ด้านหน้าเซียวฮั่นแล้ว
“ต้องขอบคุณคำของเจ้าในวันนั้น ข้าจึงถูกช่วยเหลือไว้ วันนี้ข้ามามอบความโชคดีแก่เจ้าแล้ว ส่วนในภายภาคหน้าเจ้าจะก้าวไปถึงจุดใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าทั้งสิ้น”
เซียวฮั่นมองไปยังซูเสี่ยวเสี่ยวพลางคลี่ยิ้มเล็กน้อย สำหรับสาวน้อยคนนี้ ความประทับใจของเขาที่มีต่อนางนับว่าดีเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเอ่ยจบจิตของเซียวฮั่นก็โคจร ม้วนหยกหนึ่งม้วนปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ บนม้วนหยกม้วนนั้นเขียนด้วยตัวหนังสือสามตัว ‘เคล็ดไท่ชิง’ เมื่อซือคงจายซิงที่อยู่ข้าง ๆ เห็นตัวอักษรสามตัวนี้ ตาก็หรี่ลงทันใด แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าม้วนหยกม้วนนี้เป็นวิถีบ่มเพาะระดับใด แต่ในใจของเขาก็ลอบคิดว่าวิถีบ่มเพาะนี้อาจจะสูงกว่ากว่าวิถีบ่มเพาะ ‘เคล็ดซิงเฉิน’ ก็เป็นได้
“แม่นาง เจ้ายินดีจะเป็นน้องสาวบุญธรรมของข้าหรือไม่!”
ขณะที่ซูเสี่ยวเสี่ยวรับเคล็ดไท่ชิงมาด้วยความยินดีเต็มอก ซือคงจายซิงก็เอ่ยปากขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด และคำกล่าวของเขา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคือฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ หินก้อนยักษ์กระทบลงบนผิวน้ำอันสงบนิ่ง
“ว่ากระไรนะ?”
อย่าว่าแต่คนอื่น ๆ ของตระกูลซู แม้แต่ซูเสี่ยวเสี่ยวที่ได้ยินดังนั้นยามนี้ก็ตกใจจนสะดุ้งโหยง อย่างที่รู้กันว่าซือคงจายซิงคือเจ้าสำนักของหอซิงเฉิน เป็นความภาคภูมิใจของสวรรค์ และเป็นต้นแบบของคนรุ่นเยาว์ในจัตุรัสตะวันตก แต่ยามนี้กลับต้องการนางเป็นน้องสาวบุญธรรม หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป เกรงว่าไม่รู้จะก่อให้เกิดลูกคลื่นและความบ้าคลั่งมากเพียงใด
เซียวฮั่นที่อยู่ข้าง ๆ เมื่อเห็นภาพนี้ ก็เพียงแค่หัวเราะเล็กน้อยแต่ไม่ได้ขัดอะไร ในความคิดของเขา ข้อเสนอของซือคงจายซิงนับว่าฉลาดที่สุดแล้ว เพราะเคล็ดไท่ชิงที่เขามอบออกไปนั้นไม่ใช่เคล็ดบ่มเพาะธรรมดา เมื่อซูเสี่ยวเสี่ยวฝึกฝนเคล็ดบ่มเพาะนี้แล้ว อนาคตย่อมไร้ที่สิ้นสุด อยู่เหนือกว่าสิ่งที่เรียกว่ายอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ลิบลับ
เป็นที่รู้กันว่าเคล็ดไท่ชิงนี้ เขาได้รับระหว่างอยู่บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าโดยบังเอิญ เป็นเคล็ดบ่มเพาะที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง หากอยู่บนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า แน่นอนว่ามันยังถือเป็นเป้าหมายที่ยอดฝีมือนับไม่ถ้วนล้วนต้องการช่วงชิง
เมื่อเผชิญหน้ากับเงื่อนไขของซือคงจายซิง ตระกูลซูก็ตอบรับอย่างพอใจ แต่ถึงซูเสี่ยวเสี่ยวคิดจะปฏิเสธ เกรงว่าซูหงไท่จะออกปากไม่เห็นด้วยเป็นคนแรก เพราะเขารู้ว่าสิ่งนี้คือโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่จะทำให้ตระกูลซูเจริญรุ่งเรือง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อเซียวฮั่นออกปากมอบคำมั่นสัญญา มันจะต้องกลายเป็นจริง!! ซูหงไท่สามารถจินตนาการได้อย่างสมบูรณ์เลยว่า เป็นเพราะเซียวฮั่น จากนี้ไปตระกูลซูจะต้องก้าวกระโดด อนาคตต้องกลายเป็นสุดยอดขุมอำนาจของจัตุรัสตะวันตกอย่างแน่นอน
“ต้องขอขอบคุณบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของท่าน เราจะจารึกพระคุณทั้งหมดที่ท่านมอบให้ในวันนี้ไว้ในความทรงจำ!”
เมื่อเซียวฮั่นและซือคงจายซิงออกไป ซูหงไท่ก็โค้งตัวไปทางด้านหลังของเซียวฮั่น เช่นเดียวกับซูหงไท่ ทุกคนในตระกูลซูในยามนี้ล้วนแต่โค้งคำนับลงต่ำไปทางเซียวฮั่นเช่นกัน!
…………….