ครองภพสยบนิรันดร์ - ตอนที่ 112
112: ตื่นตระหนก! (สองรวมเป็นหนึ่ง)
“นี่มันอะไรกัน!”
เซวี่ยซาซึ่งเดิมทีบีบให้ซูหงไท่จนมุมสีหน้าแปรเปลี่ยน แต่เมื่อมองไปยังสมาชิกสมาคมเลือดสังหารที่ตกตายไปทีละคนจนหมดสิ้น ทันใดนั้นหน้าตาพลันอัปลักษณ์ขึ้นทันใด
ซูหงไท่แอบถอนหายใจออกมาหนึ่งครา เขาถือโอกาสนี้ถอยห่างจากเซวี่ยซา แต่เมื่อเขาเห็นสภาพบนพื้น สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเช่นกัน
ยอดฝีมือพลังขอบเขตรวบรวมลมปราณห้าคน ยอดฝีมือพลังขอบเขตแก่นแท้ระดับกลางและระดับสูงสิบกว่าคน ทั้งหมดล้วนกลายเป็นร่างไร้วิญญาณบนพื้นในยามนี้ เมื่อครู่ทั้งสองต่างกำลังรวบรวมสมาธิต่อสู้ จึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่นอนอยู่บนพื้น ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าเซวี่ยซาหรือซูหงไท่เมื่อเห็นฉากนี้ก็ถึงกับสูดลมหายใจด้วยความตะลึงอย่างอดไม่ได้
ผู้ใดกันที่สามารถสังหารยอดฝีมือขอบเขตรวบรวมลมปราณและขอบเขตแก่นแท้มากมายเช่นนี้ได้ในพริบตา ? คนผู้นั้นต้องมีพลังระดับขอบเขตทรราชขึ้นไปเป็นแน่ คนที่ตกตายล้วนแต่เป็นสมาชิกของสมาคมเลือดสังหาร ส่วนลูกศิษย์ตระกูลซูกลับปลอดภัยไม่ได้รับบาดเจ็บ ซูหงไท่จึงโล่งใจขึ้นมา นั่นย่อมหมายความว่าคนผู้นั้นมาอย่างเป็นมิตรหาใช่ศัตรูแต่อย่างใด
“อั่ก!”
เซวี่ยซาใช้ฝ่าเท้าเหยียบลงไปบนความว่างเปล่าอย่างไม่ลังเล พลันกลายเป็นเงาเลือดสายหนึ่งหายวาบไปในขอบฟ้า เซวี่ยซาคิดว่าตระกูลซูมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือหนุนหลัง หากไม่หนีเกรงว่าฉากต่อไปคงจะมีสภาพเช่นเดียวกับยอดฝีมือเหล่าเป็นนี้
เมื่อเห็นว่าเซวี่ยซาหนีไป ซูหงไท่จึงโล่งใจและไม่ไล่ติดตามไป เงาร่างของเขาค่อย ๆ ลงมาจากอากาศ เมื่อมาถึงพื้นจึงสำรวจอาการบาดเจ็บของลูกศิษย์แต่ละคน เห็นว่าพวกเขาเพียงแค่สลบเท่านั้น สีหน้าจึงผ่อนคลายขึ้น
“มิอาจทราบได้ว่าผู้อาวุโสสูงส่งท่านใดช่วยเหลือเราไว้ ข้าแซ่ซูขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง!” ซูหงไท่รีบยกมือคำนับกล่าวขอบคุณรอบทิศ
หลังจากซูหงไท่เอ่ยจบไปได้ครู่ใหญ่ ก็ยังคงไม่มีคนตอบรับ ดูเหมือนว่ายอดฝีมือที่แอบยื่นมือมาช่วยเหลือได้จากไปแล้ว ยิ่งทำให้ซูหงไท่พลันรู้สึกงุนงงเล็กน้อย
“ท่านผู้นำ เหตุการณ์เมื่อครู่น่ากลัวยิ่งนัก พวกมันสังหารกันเองจนตาย เหมือนว่ามีคนคลุ้มคลั่งอยู่ในนั้น”
เมื่อเห็นผู้นำตระกูลยกมือคำนับขอบคุณ ลูกศิษย์ตระกูลซูผู้หนึ่งจึงเอ่ยปากออกมาอย่างอดมิได้
ไม่นาน ซูหงไท่จึงเข้าใจจากปากลูกศิษย์ผู้นี้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คำบอกเล่าของลูกศิษย์ทำให้สีหน้าเขาเคร่งขรึมขึ้นในทันใด เป็นไปไม่ได้ที่คนหนึ่งคนจะคลุ้มคลั่งโดยไร้สาเหตุ ยิ่งไปกว่านั้น คนกลุ่มนั้นเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตรวบรวมลมปราณ และฟื้นคืนชีพจากความตาย นั่นยิ่งไม่มีความเป็นไปได้อย่างแน่นอน
แม้ฉากตรงหน้าเป็นภาพที่เกินคาด ก็แต่เกิดขึ้นมาแล้ว และซูหงไท่ก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด ในใจของเขาชัดแจ้งเพียงว่า ต้องมีคนแอบยื่นมือมาช่วยอย่างแน่นอน ส่วนคนผู้นั้นเป็นใคร เขาเองก็ไม่แน่ใจ
“หรือว่า”
ทันใดนั้น สายตาซูหงไท่พลันเคลื่อนไปยังร่างของเซียวฮั่นซึ่งยังคงนั่งขัดสมาธิบนพื้น ขณะนี้เซียวฮั่นยังคงนั่งหลับตาเช่นเดิม ไม่มีท่าทีแปลกไปแม้แต่น้อย จากการสัมผัสของเขา ร่างกายของเซียวฮั่นยังคงไร้ซึ่งคลื่นพลังวิญญาณ ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้นั่งหลับตาทำสมาธิ ทว่าคล้ายนั่งหลับเท่านั้น
ซูหงไท่ส่ายศีรษะ แอบคิดในใจว่ายิ่งเป็นไปไม่ได้ เซียวฮั่นอายุยังน้อยและไม่เคยบำเพ็ญเพียร คงไม่มีความสามารถถึงเพียงนี้ หากเขาฝึกตนและมีฝีมือก็คงไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้น
ไม่นานนักลูกศิษย์ที่เหลือของตระกูลซูก็ฟื้นคืนสติ ทุกคนรีบออกจากดินแดนรกร้างมรณะตามคำสั่งซูหงไท่ ยอดฝีมือแห่งสมาคมเลือดสังหารตกตายมากขนาดนี้ เกรงว่าสมาคมเลือดสังหารคงไม่ปล่อยพวกเขาไว้แน่
อย่างที่รู้กันว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังสมาคมเลือดสังหารคือนิกายเลือดสังหารอันยิ่งใหญ่ คงเพราะเหตุนี้ สมาคมเลือดสังหารซึ่งเดิมทีเป็นขุมอำนาจระดับใหญ่ วางตัวอันธพาลโดยไร้สาเหตุ สองสามปีมานี้ การดับสูญภายใต้อำนาจน้ำมือสมาคมเลือดสังหารก็มีอยู่จำนวนไม่น้อย
ยามนี้ตระกูลซูไม่เพียงล่วงเกินสมาคมเลือดสังหาร แต่ยังทำให้ยอดฝีมืออันดับต้น ๆ ของฝ่ายตรงข้ามล้มตายมากมายเช่นนี้ สมาคมเลือดสังหารไม่มีทางปล่อยตระกูลซูอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ซูหงไท่จึงรีบเดินทางกลับโดยเร็วที่สุด เพื่อปรึกษาแผนรับมือกับผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสรอง หรืออาจขอความช่วยเหลือจากสำนักหย่านเยว่หากจำเป็น
ห้าวันต่อมาหลังจากที่กลุ่มลูกศิษย์ตระกูลซูเดินทางออกจากดินแดนรกร้างมรณะตามคำสั่งของซูหงไท่ ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือทิวทัศน์ภูผางามธาราใส เต็มไปด้วยชีวิตชีวา เมื่อเทียบกับดินแดนรกร้างมรณะที่เต็มไปด้วยความเหี่ยวเฉา ทั้งสองแห่งนี้แตกต่างกันราวกับคนละโลก
ทางเข้าของดินแดนรกร้างมรณะเป็นกำแพงเมืองขนาดมหึมา ชื่อว่าฮวงเฉิง อายุของกำแพงเมืองฮวงเฉิงเก่าแก่มาก จนไม่สามารถสืบได้ว่ากำแพงเมืองฮวงเฉิงแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อใด
“อาการบาดเจ็บก็ดีขึ้นแล้ว ควรไปได้หรือยัง”
ซูเจี้ยนมองเซียวฮั่นอย่างเย็นชาหนึ่งคราพลางเอ่ยถามขึ้นมา ก่อนที่คนทุกผู้จะผ่านเข้าสู่ฮวงเฉิง เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการไล่เซียวฮั่นไป ในเมื่ออาการบาดเจ็บของเซียวฮั่นดีขึ้นแล้ว หากยังติดตามพวกเขาอยู่ เกรงว่าหลังจากนี้อยากจะไล่ก็คงไล่ไม่ไป
“ความจริงข้าก็ควรไปเสียที แต่ด้วยคำมั่นสัญญาของข้า ข้าจะยังคงทำตาม!” ได้ยินเช่นนั้น เซียวฮั่นจึงหันไปยิ้มให้ซูหงไท่
“หากพ่อหนุ่มไม่รังเกียจ ตระกูลซูก็ยินดีต้อนรับเจ้า”
เมื่อได้ยินว่าเซียวฮั่นจะไป ซูหงไท่ลูบเคราตนเองพลางเหนี่ยวรั้ง ซูหงไท่เป็นคนมีเมตตา จิตใจกว้างขวาง จึงไม่มีเจตนาหมายจะไล่เซียวฮั่น
“หากมีโอกาส” เซียวฮั่นพยักหน้า คลี่ยิ้มเล็กน้อย ยกมือคำนับซูหงไท่ แล้วก้าวเท้าจากไป
“หึ! ไปเสียที!”
มองเงาร่างที่จากไปของเซียวฮั่น ซูเจี้ยนพลันสบถเสียงเย็นขึ้นหนึ่งครา ในใจยินดีปรีดายิ่งนัก ผิดกับซูเสี่ยวเสี่ยวที่เมื่อเห็นเงาร่างของเซียวฮั่นจากไป ใบหน้าของนางกลับเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ ความประทับใจที่นางมีให้เซียวฮั่นไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะดวงตาลึกล้ำคู่นั้นของเขา ทำให้นางรู้ว่าหนุ่มรุ่นเยาว์ผู้นี้เป็นคนที่มีเรื่องราวในใจอยู่มากมาย
หลังจากที่ลาจากตระกูลซู เซียวฮั่นก็ออกเดินทางมายังฮวงเฉิง มนุษย์ธรรมดาเช่นเขาเข้ามายังฮวงเฉิงเมืองแห่งผู้บำเพ็ญตนเช่นนี้ จึงไม่ดึงดูดสายตาให้ดูผิดปกติ โดยเฉพาะร่างของเซียวฮั่นที่ไม่มีคลื่นพลังงานแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้คนมองเขาอย่างมากสุดเพียงสองคราเท่านั้น
แน่นอนว่า สายตาของคนส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความเหยียดหยามและถากถาง ในสายตาพวกเขา เซียวฮั่นเป็นเพียงแค่คนที่โง่เขลาคนหนึ่งเท่านั้น เพราะโลกแห่งการบำเพ็ญตน แม้แต่มนุษย์ทั่วไปยังพอมีกลิ่นอายชวนสัมผัสอยู่บ้าง ต่างจากเซียวฮั่นที่ไม่มีแม้แต่คลื่นพลังงานใด ๆ รอบกาย
หลังจากที่เข้ามาในเมืองฮวงเฉิง เซียวฮั่นจึงหาโรงเตี๊ยมเพื่อเข้าพัก แม้ว่าพลังของเขาจะถูกกลประทับ แต่สิ่งของในแหวนมิติยังคงสามารถถอนออกมาใช้ได้ตามเดิม ด้วยเหตุนี้เขาจึงใช้ศิลาวิญญาณชั้นสูงเหมาห้องส่วนตัวหนึ่งห้องเพื่อพักผ่อน หลังจากที่แช่น้ำเสร็จสิ้น เซียวฮั่นก็เปลี่ยนมาใส่ชุดคลุมสีขาวเช่นเดิม
“หากจำไม่ผิด จัตุรัสตะวันตกน่าจะอยู่บริเวณหอซิงเฉิน ไหน ๆ ก็ทางผ่านแล้ว แวะไปหอซิงเฉินดูสักคราก็ดี”
นิ้วมือลูบคางตนเอง ในความทรงจำของเซียวฮั่น หอซิงเฉินเป็นสถานที่ที่ตั้งอยู่ ณ จัตุรัสตะวันตก เป็นขุมอำนาจเจ้ายุทธจักรแห่งจัตุรัสตะวันตก
แม้ว่าหอซิงเฉินเป็นขุมอำนาจระดับหนึ่ง อีกทั้งในสำนักยังมียอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ที่ยังมีชีวิตอยู่สองคน แต่ร่างของเขาถูกผนึกด้วยกลประทับกฎแห่งสวรรค์ จึงไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ที่ยอดฝีมือระดับนั้นจะสามารถปลดผนึกได้
ดังนั้นเขาจึงต้องหาผู้ที่แข็งแกร่งกว่าจึงจะสำเร็จ และต้องเป็นยอดฝีมือที่แกร่งกล้าล้ำเลิศผู้ซึ่งไม่เคยแปดเปื้อนกรรม มิเช่นนั้นหากแตะต้องกลประทับกฎแห่งสวรรค์โดยพลการ อาจโดนทัณฑ์สวรรค์จับจ้องได้
แน่นอนว่าในใจของเซียวฮั่นมีคนที่หมายตาไว้แล้ว แต่สถานการณ์ของเขาในยามนี้ไม่สามารถหาคนผู้นั้นได้พบ นอกจากขอความช่วยเหลือและช่องทางจากหอซิงเฉิน มิเช่นนั้นเขาก็คงอับจนหนทาง
หอซิงเฉินยังพอมีคนที่เซียวฮั่นคุ้นเคยอยู่บ้าง คือนายน้อยซือคงจายซิงแห่งหอซิงเฉิน เขาเคยมีวาสนาได้พบกับซือคงจายซิงคราหนึ่ง ณ หอกระบี่ หนำซ้ำทั้งสองยังได้ทำการค้าขายร่วมกัน และซือคงจายซิงก็สร้างความประทับใจให้แก่เขาไม่น้อย
แต่หอซิงเฉินตั้งอยู่บริเวณใจกลางจัตุรัสตะวันตก ส่วนฮวงเฉิงตั้งอยู่ด้านทิศวันตะวันตกสุดทางของจัตุรัสตะวันตก หากต้องการไปยังหอซิงเฉิน เขาจำเป็นต้องผ่านลานเคลื่อนย้าย
“ทราบหรือไม่ เหมือนว่านายน้อยแห่งหอซิงเฉินจะให้เกียรติมายังฮวงเฉิงของเรา!”
ขณะที่เซียวฮั่นนั่งดื่มสุรา ณ ห้องพักของโรงเตี๊ยม หูของเขาพลันได้ยินเสียงสนทนาดังขึ้น
“แน่นอนอยู่แล้ว นายน้อยแห่งหอซิงเฉินเป็นทายาทรุ่นเยาว์คนแรกแห่งจัตุรัสตะวันตกของพวกเรา อายุยังน้อยแต่กลับฝึกตนบรรลุขอบเขตทรราช ภายภาคหน้าคงสามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์และทำให้หอซิงเฉินกลายเป็นมหาขุมอำนาจระดับหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า” เมื่ออีกคนได้ยินพลันเอ่ยอย่างภูมิใจทันที
“ว่าไปแล้วนายน้อยซือคงมีพรสวรรค์โดดเด่น อายุยังน้อยแต่กลับบรรลุขอบเขตทรราช ไม่แน่ว่าภายภาคหน้าอาจจะสามารถช่วงชิงตำแหน่งจักรพรรดิก็เป็นได้”
เมื่ออีกคนได้ยินก็เอ่ยพลางพยักหน้าไม่หยุด เป็นที่รู้กันว่า ณ จัตุรัสตะวันตก หอซิงเฉิน ก็คือเจ้ายุทธจักรโดยสิ้นเชิง อำนาจภายในจัตุรัสตะวันตกทั้งหมดต้องยอมสวามิภักดิ์ให้กับหอซิงเฉิน ทั้งนิกายเลือดสังหารแห่งขุมอำนาจชั้นสองและสำนักหย่านเยว่ล้วนแต่อยู่ภายใต้สังกัดหอซิงเฉินทั้งสิ้น
ขุมอำนาจอื่นยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ขอเพียงเป็นยอดฝีมือในจัตุรัสตะวันตกล้วนให้เกียรติหอซิงเฉิน ส่วนนายน้อยแห่งหอซิงเฉินก็เป็นผู้มากฝีมือพรสวรรค์เลื่องลือ และเป็นหนุ่มงามเพรียบพร้อมไม่มีผู้ใดเทียบได้ในสายตาของพวกเขา
“เจ้าว่านายน้อยซือคงมาฮวงเฉิงทำไม หรือว่านายน้อยซือต้องการเข้าไปฝึกตนที่ดินแดนรกร้างมรณะ”
“อาจเป็นไปได้ ได้ข่าวว่าตอนนี้นายน้อยซือคงทะลวงขอบเขตทรราชระดับกลางแล้ว อีกเดี๋ยวก็จะทะลวงขอบเขตทรราชระดับสูงได้ มีความเป็นไปได้ว่านายน้อยอาจจะมาฝึกตนที่ดินแดนรกร้างมรณะ เพื่อที่จะสามารถทะลวงผ่านขอบเขตทรราชระดับสูงได้เร็วขึ้น อีกอย่างช่วงนี้นิกายเลือดสังหารและสำนักหย่านเยว่มีปัญหาขัดแย้งกัน นายน้อยซือคงอาจจะมาไกล่เกลี่ยปัญหาด้วยกระมัง”
ขณะที่เสียงถกเถียงเซ็งแซ่ดังเข้ามาที่หูเซียวฮั่น ทำให้ใบหน้าเซียวฮั่นปรากฏรอยยิ้มขึ้นอย่างอดไม่ได้ เป็นเช่นนี้ก็ดี เขาจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปหอซิงเฉิน แน่นอนว่าเปลืองศิลาวิญญาณเป็นเพียงเรื่องเล็ก หากเขาเสียเวลากลับเป็นเรื่องใหญ่
ลานซิงเฉินเป็นสถานที่ที่เจ้าเมืองฮวงเฉิงสร้างลานที่พักให้ซือคงจายซิงด้วยตนเอง แน่นอนว่าที่กล่าวว่าลานที่พักนั้น เรียกว่าตำหนักก็จะเห็นภาพเสียมากกว่า
ในลานซิงเฉิน ศาลา สะพานเล็กข้ามแม่น้ำ ๆ ทุกหย่อมหญ้าล้วนแต่ถูกสร้างอย่างประณีต งดงาม บริเวณรอบนอกต้นไม้เขียวชะอุ่มให้ร่มเงา กล่าวได้ว่าเป็นสิ่งปลูกสร้างที่งดงามและน่าสะดุดตายิ่งนัก
อาจเพราะนายน้อยแห่งหอซิงเฉินเดินทางมาที่นี่ ผู้มีอำนาจในฮวงเฉินทั้งหลายจึงพากันออกมาต้อนรับ แม้แต่นิกายเลือดสังหารและสำนักหย่านเยว่ต่างก็ส่งผู้อาวุโสมาต้อนรับซือคงจายซิงด้วยเช่นกัน
ซือคงจายซิงเป็นถึงนายน้อยแห่งหอซิงเฉิน และหอซิงเฉินเป็นเจ้ายุทธจักรแห่งจัตุรัสตะวันตก สามารถกล่าวได้ว่า ซือคงจายซิงก็คือบุคคลผู้มีอำนาจมากที่สุดแห่งจัตุรัสตะวันตกในภายภาคหน้า ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าผู้ใดต่างก็ต้องการประจบเอาใจเขา
หลังจากนั้นเซียวฮั่นจึงไปสืบถามข้อมูลและทราบตำแหน่งลานซิงเฉิน ด้วยเหตุนี้เขาจึงออกจากโรงเตี๊ยม เดินทางมุ่งหน้าไปยังลานซิงเฉิน ซึ่งเวลานี้มียอดฝีมือจำนวนไม่น้อยมุ่งหน้าไปยังสถานที่เดียวกับเขา โอกาสที่จะได้พบนายน้อยแห่งหอซิงเฉินนั้นหาได้ยาก หากพลาดไป เกรงว่าภายภาคหน้าพวกเขาคงไม่มีโอกาสนี้อีกเป็นแน่แท้
เป็นที่รู้กันว่าซือคงจายซิงเป็นผู้มีพรสวรรค์เลิศล้ำ เป็นผู้สูงส่งเบื้องสูง ปุถุชนคนธรรมดาอยากพบสักคราก็ยากนัก วันนี้มีโอกาสพวกเขาย่อมต้องไม่พลาด
ลานซิงเฉินใช่ว่าใครก็เข้าไปได้ หากต้องการเข้าไป ต้องบำเพ็ญตนถึงขอบเขตจักรพรรดิขึ้นไป หรือไม่ก็เป็นขุมอำนาจชั้นสามขึ้นไป มิเช่นนั้นก็จะไม่สามารถผ่านเข้าไปได้
ด้วยเหตุนี้ ผู้พเนจรและยอดฝีมือจำนวนมากจึงถูกสกัดอยู่นอกลานซิงเฉิน ได้เพียงยืนมองยอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิหรือสำนักขุมอำนาจระดับสามขึ้นไปลานซิงเฉินด้วยความอิจฉาตาร้อน ส่วนขุมอำนาจชั้นสามหลายสำนัก ไม่เพียงเตรียมของขวัญมูลค่าสูง แต่ยังจัดเตรียมศิษย์สตรีสายในผู้เลอโฉมเข้าไปในลานซิงเฉินด้วย
ศิษย์สตรีเหล่านี้ ทุกคนล้วนแต่งองค์ทรงเครื่องงามหยาดเยิ้มน่าสะดุดตาเป็นพิเศษ แน่นอนว่า วัตถุประสงค์ของพวกเขาย่อมต้องหวังให้ซือคงจายซิงต้องตา หากโชคดีถูกซือคงจายซิงรับเป็นอนุภรรยา นั่นไม่ใช่เพียงแค่ตัวนางเอง แม้แต่ตระกูลสำนักก็พลอยได้ความดีงามและโชคลาภอันน่าทึ่งนี้ไปด้วย และหลังจากนั้นจะไม่มีผู้ใดในจัตุรัสตะวันตกกล้ายุแหย่พวกเขาได้อีก
แน่นอนว่า หากต้องการเข้าตาซือคงจายซิง เกรงว่าศิษย์สตรีเหล่านี้คงไม่สามารถทำได้ ในเมื่อซือคงจายซิงเป็นถึงหนุ่มงามเพรียบพร้อม หากต้องการเลือกคู่ครอง ก็ต้องเป็นสตรีที่เหมาะสมกันด้านฐานะทางสังคม หรือไม่ก็สตรีจากตระกูลที่มีชื่อเสียง
เมื่อเซียวฮั่นมาถึงลานซิงเฉิน ภายในมียอดฝีมือและขุมอำนาจมากมายรวมตัวกัน ยอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิมีอยู่ทุกหนแห่ง และยอดฝีมือขอบเขตทรราชก็มีไม่น้อย ขุมอำนาจระดับสามยิ่งมีมากกว่า กล่าวได้ว่าในขุมอำนาจชั้นสามทั้งหมดที่อยู่ในฮวงเฉินต่างมารวมตัวกันอยู่ลานซิงเฉินในยามนี้
แม้แต่นิกายเลือดสังหารและสำนักหย่านเยว่ต่างก็ส่งผู้อาวุโสแห่งสำนักตนมาต้อนรับซือคงจายซิงด้วยตนเอง กล่าวได้ว่าผู้อาวุโสทั้งสองสำนักนี้เป็นผู้อาวุโสที่มีอำนาจแท้จริงภายในสำนัก ส่วนตำแหน่งเกรงว่าเป็นรองเจ้าสำนักเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ภายในลานซิงเฉินแม้ว่ามีคนจำนวนไม่น้อย ทว่าดูเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีผู้ใดกล้าก่อเรื่อง หากก่อเรื่องหรือหาเรื่องที่นี่ นั่นหมายความว่าคนผู้นั้นไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อที่จัตุรัสตะวันตกแล้ว
ซูหงไท่เมื่อทราบข่าว วันต่อมาจึงพาซูเจี้ยนและซูเสี่ยวเสี่ยวรวมทั้งลูกศิษย์อีกจำนวนหนึ่งนำของขวัญล้ำค่ามายังลานซิงเฉิน นายน้อยแห่งหอซิงเฉินมาเยือนฮวงเฉิน เรื่องใหญ่เช่นนี้ตระกูลซูมิอาจเพิกเฉยได้ ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลซูก็นับว่าเป็นขุมอำนาจในฮวงเฉิน ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่เข้าร่วม
แน่นอนว่า พวกเขามาถึงก่อนเซียวฮั่นเพียงเล็กน้อย เมื่อเซียวฮั่นมาถึง พวกเขาก็เข้าไปในลานซิงเฉินและถูกจัดให้อยู่ที่มุมหนึ่งแล้ว ตระกูลซูเช่นพวกเขาเป็นเพียงขุมอำนาจชั้นสาม ซึ่งตอนนี้ขุมอำนาจชั้นสามก็มาไม่น้อยกว่าร้อยแล้ว หนึ่งในนั้นมีขุมอำนาจชั้นสามที่แข็งแกร่งกว่าตระกูลซูมากมาย การที่ตระกูลซูถูกจัดให้อยู่ที่มุมก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ทว่าซูหงไท่กลับไม่เอ่ยอะไร พวกเขาสามารถเข้ามาลานซิงเฉินได้ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้ว อย่าร้องขอให้จัดตำแหน่งสำคัญให้มากความ
ภายในลานซิงเฉิน ตำแหน่งที่ดีที่สุดคงเป็นของนิกายเลือดสังหารและสำนักหย่านเยว่ ตำแหน่งของพวกเขาตั้งอยู่ตรงกลางของพระราชฐานรับแขก เมื่อซือคงจายซิงมาถึง คนแรกที่เห็นคือพวกเขา และขุมอำนาจชั้นสองที่รายล้อมด้วยขุมอำนาจชั้นสามซึ่งถูกจัดให้อยู่ใกล้กับสองสำนักนี้ ล้วนแต่เป็นเหล่าสำนักตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในขุมอำนาจชั้นสาม หรือไม่ก็เป็นกลุ่มยอดฝีมือขอบเขตทรราช
บัดนี้เซียวฮั่นเดินมาถึงนอกลานประตูซิงเฉิน แต่เมื่อเขาต้องการเข้าไปก็ถูกคนยื่นมือมาสกัดไว้
“แสดงหลักฐานสำนัก มิเช่นนั้นเข้าไปไม่ได้!”
ผู้คุมเห็นมนุษย์ธรรมดาเช่นเซียวฮั่นต้องการเข้าไปในลานซิงเฉิน จึงเอ่ยเสียงเย็นชาอย่างไม่สบอารมณ์ ไม่แสดงน้ำใจไมตรีใด ๆ ต่อเซียวฮั่น หากไม่แสดงหลักฐานของสำนัก เกรงว่าเขาอาจจะใช้ฝ่ามือโจมตีเจ้ามนุษย์นี่กระเด็น
“เช่นนั้นรึ”
เมื่อเผชิญกับสายตาเย็นชาของผู้คุม เซียวฮั่นไม่มีทีท่าโมโห แหวนมิติในมือพลันเปล่งแสงวาบ ป้ายคำสั่งค่อย ๆ ปรากฏขึ้นในมือของเขา แผ่นป้ายนี้เป็นคำสั่งกระบี่หลิงเทียนของสำนักกระบี่หลิงเทียนซึ่งเป็นตัวแทนของเจ้าสำนัก
คำสั่งกระบี่หลิงเทียนทั้งดำและเก่าแก่ ด้านหน้าของคำสั่งกระบี่มีตัวอักษรใหญ่สองตัว เขียนว่าหลิงเทียน! คำสั่งกระบี่หน้านี้แสดงถึงอำนาจบารมีที่มิอาจเทียบได้ของสำนักกระบี่หลิงเทียนในทันควัน เมื่อคำสั่งนี้ออกมา เก้าทวีปล้วนยอมอยู่ใต้สวามิภักดิ์ด้วยความหวั่นเกรง
“รอสักครู่!”
เมื่อเห็นเซียวฮั่นควักป้ายคำสั่งที่เหมือนของจริงออกมา ผู้คุมจึงมองเซียวฮั่นด้วยสายตาเย็นชาหนึ่งครา คนรับแผ่นป้ายแล้วเดินไปด้านใน ดูเหมือนเรื่องการวิเคราะห์ป้ายคำสั่งหลักฐานสำนัก ระดับตำแหน่งเช่นเขาย่อมไม่สามารถทำได้ จึงต้องนำแผ่นป้ายมอบให้คนเบื้องบนดูจึงจะทราบ
คนเบื้องบน ณ ที่แห่งนี้ คือผู้อาวุโสที่มากประสบการณ์แตกฉานในความรู้หลายแขนงท่านหนึ่ง ชายชราท่านนี้มิใช่ยอดฝีมือทั่วไป แต่เป็นผู้อาวุโสแห่งหอซิงเฉินและเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสสามท่านที่เดินทางติดตามซือคงจายซิงมายังฮวงเฉิน
ผู้อาวุโสผู้นี้นามว่ากู้หยวนจาย คนทั่วไปมักเรียกว่าอาวุโสกู้ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์และแสวงหาสมบัติ มิอาจทราบได้ว่าเพราะเหตุใดจึงเดินทางมายังฮวงเฉินกับซือคงจายซิง
แต่สายตาของอาวุโสกู้ท่านนี้เฉียบแหลมยิ่งนัก เพียงเขามองสิ่งใดก็จะสามารถรู้ที่มาได้ทันที ด้วยเหตุนี้เหล่าผู้คุมจึงเคารพอาวุโสกู้ท่านนี้ยิ่งนัก แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องเอ่ยเรื่องอื่น ฐานะของอาวุโสกู้ผู้นี้สูงศักดิ์จนไม่มีผู้ใดเทียบได้ กล่าวกันว่าอาวุโสกู้เป็นยอดฝีมือผู้ทรงเกียรติท่านหนึ่ง
“ท่านอาวุโสกู้ นี่คือป้ายคำสั่งที่มนุษย์ผู้หนึ่งส่งมา เขากล่าวคล้ายว่าเป็นศิษย์แห่งขุมอำนาจชั้นสอง”
เห็นอาวุโสกู้นั่งเกียจคร้านอยู่ตรงนั้น ผู้คุมจึงถือคำสั่งกระบี่หลิงเทียนขึ้นมาด้วยใจสั่นไหวเล็กน้อย หากป้ายคำสั่งนี้เป็นของปลอม เกรงว่าเขาต้องแย่แน่
เมื่อกู้หยวนจายได้ยินผู้คุมเอ่ยจึงลืมตาขึ้นเล็กน้อย แต่เมื่อสายตาของเขาตกอยู่ที่คำสั่งกระบี่หลิงเทียนในมือผู้คุม ตาที่หรี่ในตอนแรกพลันเบิกโพลง นัยน์ตาเปล่งประกายขึ้นในทันใด
“สมควรตาย เป็นของปลอมจริงๆ คอยดูเถิดว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร!”
ผู้คุมก้มหน้า เมื่อเห็นผูเอาวุโสกู้ไม่เอ่ยสิ่งใดอยู่นาน ในใจเขาจึงคิดทันทีว่านี่คือของปลอม จึงแอบสบถด่าอย่างแค้นเคือง
“เร็ว! รีบพาข้าไปพบแขกผู้มีเกียรติท่านนี้!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ผู้คุมพลันสมองตัน เห็นเพียงกู้หยวนจายถือคำสั่งกระบี่หลิงเทียนอย่างระมัดระวัง ท่าทีเช่นนั้นราวกับถือของล้ำค่ามหาศาลก็มิปาน จากนั้นจึงหันมาเอ่ยกำชับผู้คุมทันที
“ขะ…ขอรับ!”
ได้ยินเช่นนั้น ผู้คุมจึงรีบนำทางอยู่ด้านหน้าด้วยความตื่นตระหนก ขณะนั้นเองสีหน้าเขาซีดเผือด หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น แม้แต่อาวุโสกู้ยังยกให้เป็นแขกผู้มีเกียรติ ทว่าชายหนุ่มผู้นั้นกลับถูกเขาล่วงเกิน อะไรจะเกิดขึ้นกับเขากัน?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ฝีเท้าของผู้คุมจึงก้าวสะดุด หากด้านหลังไม่มีอาวุโสกู้เดินตาม เกรงว่าเขาคงจะหมดแรงล้มกองลงพื้น
“เจ้าสำนักเซียวแห่งสำนักกระบี่หลิงเทียนเองหรอกหรือ? ข้าอาวุโสกู้หยวนจายแห่งหอซิงเฉินมาต้อนรับท่านเจ้าสำนักเซียวแทนนายน้อยขอรับ!”
เมื่อกู้หยวนจายพบหน้าเซียวฮั่น ในใจจึงยืนยันได้ทันทีว่าตัวจริงหรือไม่ ทำให้เขารีบเดินตรงไปโค้งคำนับทันที
“ไม่ต้องมากพิธี ข้าเพียงอยากพบนายน้อยของพวกเจ้า!” เซียวฮั่นยิ้มพลางเอ่ย รับคำสั่งกระบี่หลิงเทียนที่กู้หยวนจายส่งมา
“เจ้าสำนักเซียว นายน้อยอยู่ด้านใน ข้าจะนำทางท่านไปเอง!”
ได้ยินเช่นนั้นกู้หยวนจายก็รีบตอบกลับ ซึ่งเมื่อเห็นดังนั้น เซียวฮั่นจึงยิ้มรับอย่างไม่ปฏิเสธ
“ลำบากท่านแล้ว”
ไม่นานกู้หยวนจายจึงได้นำทางเซียวฮั่นมาภายในลานซิงเฉินโดยไม่มีผู้ใดขัดขวาง หนำซ้ำกู้หยวนจายที่นำทางอยู่ด้านหน้ายังได้รับความเคารพจากสำนักที่เดินผ่านมาตลอดทาง
“ดูจากท่าทีของท่าน เกรงว่าคงได้รับคำชี้แนะมาใช่หรือไม่ หรือว่าหัวขโมยซือคงโทวเทียนบรรพบุรุษแห่งหอซิงเฉินของพวกท่านยังมีชีวิตอยู่งั้นหรือ”
เห็นกู้หยวนจายยอดฝีมืออาวุโส เซียวฮั่นหัวเราะออกมาเบา ๆ
“เรียนท่านเจ้าสำนักเซียว บรรพบุรุษยังคงแข็งแรงดี!”
ได้ยินเช่นนั้น เหงื่อสองเม็ดหยดลงบนแก้มของกู้หยวนจาย คนที่เขาพามานั้นหาใช่เด็กรุ่นเยาว์สามัญ ทว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ไม่มีใครเทียบ และยังเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่หอซิงเฉินมิกล้าล่วงเกิน
แน่นอนว่า ฐานะของเซียวฮั่นนั้น บรรดาผู้อาวุโสและผู้สูงศักดิ์แห่งหอซิงเฉินต่างก็ได้รับการเตือน โดยเฉพาะหลังเกิดเรื่องสุสานกระบี่ บรรพบุรุษเก่าแก่แห่งหอซิงเฉินถึงขั้นตื่นขึ้นจากการหลับใหลเพื่อเตือนผู้คนของหอซิงเฉินว่าอย่าบังอาจล่วงเกินเซียวฮั่นและสำนักกระบี่หลิงเทียนเป็นอันขาด
ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เหตุการณ์กลายเป็นเฉกเช่นปัจจุบัน มิเช่นนั้นกู้หยวนจายที่เป็นถึงยอดฝีมือผู้น่าเกรงขาม และเป็นผู้อาวุโสแห่งหอซิงเฉิน เมื่อพบเจ้าสำนักแห่งขุมอำนาจชั้นสองจะทำความเคารพไปทำไม
“ซือคงโทวเทียนยังคงเหมือนเดิม ดูเหมือนเขาจะกลัวข้าไม่น้อย”
ได้ยินเช่นนั้น เซียวฮั่นเพียงอมยิ้มออกมาเบา ๆ ส่วนกู้หยวนจาย…คนได้ยินเต็มสองหูแต่ไม่กล้าแม้จะเอ่ยเพียงครึ่งคำ ยิ่งกว่านั้นคือไม่กล้าสนทนาต่อ หากรู้ว่าคนตรงหน้าอยู่ในระดับเดียวกับบรรพบุรุษหอซิงเฉิน เช่นนั้น ก็มิใช่คนที่มีบทบาทเล็กน้อยเช่นเขาจะสนทนาปราศรัยได้ตามอำเภอใจ
ภายในลานซิงเฉิน ขณะที่คนนับไม่ถ้วนเงยหน้ามองการมาถึงของซือคงจายซิง ทว่ากลับเป็นกู้หยวนจาย ผู้มีอำนาจและยอดฝีมือมากมายจึงต่างพากันลุกขึ้นโค้งคำนับ พร้อมตะโกนว่า “ผู้อาวุโสกู้!”
แม้แต่ผู้อาวุโสทั้งสองแห่งนิกายเลือดสังหารและสำนักหย่านเยว่เมื่อพบกู้หยวนจายต่างก็ทำทักทายอย่างสุภาพ ไม่ว่าจะฐานะหรือความเป็นจริง กู้หยวนจายล้วนอยู่เหนือพวกเขาทั้งสิ้น
เพียงแต่สิ่งที่ให้คนจำนวนไม่น้อยสงสัยกลับเป็นหนุ่มชุดขาวที่เดินตามหลังกู้หยวนจาย หนุ่มชุดขาวใบหน้าเปื้อนยิ้ม เดินตามผู้อาวุโสกู้ด้วยสีหน้าสุขุม ทว่าเมื่อฝูงชนมองอาวุโสกู้แล้วมองหนุ่มชุดขาว กลับเกิดความรู้สึกว่าคนผู้นี้กำเริบเสิบสานเป็นอย่างยิ่ง ราวกับเวลานี้อาวุโสกู้เป็นเพียงผู้นำทาง แต่เซียวฮั่นกลับเป็นแขกที่สูงส่งน่าเกรงขามก็มิปาน
ส่วนตระกูลซูหลายคนซึ่งอยู่บริเวณมุมข้าง ๆ เมื่อเห็นฉากนี้ถึงกับตะลึงงัน โดยเฉพาะซูเจี้ยน ตอนที่เขาเห็นเซียวฮั่นเดินตามหลังผู้อาวุโสกู้อย่างเนิบช้า ขณะที่ผู้อาวุโสกู้นำทางด้านหน้าอย่างเคารพนบน้อม ซูเจี้ยนถึงกับตาเหลือก สลบไปทันที
แต่ซูหงไท่ปฎิกริยาตอบสนองเร็ว รีบประคองซูเจี้ยน จึงไม่ทำให้ขายหน้ามากนัก แต่ในใจของซูหงไท่เวลานี้สั่นกระเพื่อมถึงขีดสุด กระทั่งรู้สึกเหลือเชื่อเป็นอย่างยิ่ง
อย่างที่รู้ว่าผู้อาวุโสกู้เป็นถึงยอดฝีมือที่น่าเกรงขามไม่มีผู้ใดเทียบได้ ยอดฝีมือเช่นนี้เกรงว่าเพียงแค่นิ้วมือเดียวก็สามารถทำลายตระกูลซูของเขาให้ย่อยยับลงได้ เพียงตะโกนโดยไม่ตั้งใจก็สามารถสังหารยอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิเช่นเขาได้ แต่ตอนนี้ยอดฝีมือน่าเกรงขาม และยังเป็นอาวุโสแห่งหอซิงเฉินกลับนำทางเบื้องหน้าเซียวฮั่น นั่นมีความหมายโดยนัยน์ว่าอย่างไร…
“เจ้าสำนักเซียว เชิญท่านนั่งตรงนี้ก่อน ข้าจะไปเชิญนายน้อยมาพบท่าน!”
ตำแหน่งที่จัดให้เซียวฮั่นเดิมทีควรเป็นที่ของซือคงจายซิง ทว่าบัดนี้กู้หยวนจายกลับยกมือคำนับเซียวฮั่นพร้อมเอ่ย
เมื่อเห็นฉากนี้ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างหายใจติดขัด ในใจพวกเขาได้เพียงคาดเดาไปเท่านั้น ยิ่งเห็นท่าทางผู้อาวุโสกู้เคารพนบน้อมเช่นนี้ พวกเขาก็รู้ทันทีว่า ชายหนุ่มที่นั่งตรงหน้าพวกเขาต้องเป็นบุคคลที่น่ากลัวซึ่งมีที่มาอันยิ่งใหญ่เป็นแน่แท้ ถึงขนาดว่าเล่าออกมาอาจทำให้ผู้คนตกใจกลัวได้
อย่างที่รู้ว่าผู้อาวุโสกู้เป็นผู้อาวุโสแห่งหอซิงเฉิน เป็นยอดฝีมือผู้น่าเกรงขาม ต่อให้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับซือคงจายซิง คงไม่ต้องเคารพนอบน้อมเช่นนี้ นอกเสียจากเผชิญหน้ากับผู้นำหอซิงเฉิน หรือเป็นไปได้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะเป็นเจ้าสำนักแห่งขุมอำนาจเจ้ายุทธจักรขั้นหนึ่งหรือไม่ก็ระดับผู้นำ
เมื่อนึกถึงฐานะของเซียวฮั่น ผู้ฝึกตนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ต่างใจสั่นไหวทันที เจ้าสำนักแห่งขุมอำนาจเจ้ายุทธจักรชั้นหนึ่ง…เช่นนั้นก็สูงส่งจนมิอาจเทียบได้แล้ว ฐานะของบุคคลที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาคงช่างสูงส่งจนมิอาจเอื้อมถึง
“คิดไม่ถึงว่าพี่เซียวจะมาเยี่ยมเยือน หากพี่เซียวบอกก่อน น้องชายจะออกไปต้อนรับด้วยตนเอง!”
ตอนที่คนนับไม่ถ้วนกำลังตกตะลึงกับฐานะเซียวฮั่น เงาร่างของซือคงจายซิงก็ปรากฏ ซือคงจายซิงรูปงามหล่อเหลาสวมชุดคลุมยาวแห่งซิงเฉินเดินก้าวออกมาอย่างสง่าผ่าเผย
เมื่อซือคงจายซิงพบกับเซียวฮั่นกลับวางท่าทีไปหมดสิ้น แถมยังเรียกตัวเองว่าน้องชาย แน่นอนว่าซือคงจายซิงคิดว่าการที่เรียกแทนตัวเองว่าน้องชายนับว่าเหิมเกริมมากแล้ว หลังจากที่ได้รับการเตือนจากบรรพบุรุษ เขาจึงได้รู้ฐานะที่แท้จริงของคนตรงหน้าอย่างลึกซึ้ง
“ข้าบังเอิญมายังจัตุรัสตะวันตก พอดีได้ยินว่าเจ้าจะมาฮวงเฉิง ข้าเลยมีเรื่องต้องรบกวนเล็กน้อย” เซียวฮั่นยิ้มครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยพร้อมส่ายศีรษะเบา ๆ
เมื่อเห็นเซียวฮั่นไม่โกรธที่ตนเรียกพี่เรียกน้องกับเขา ซือคงจายซิงจึงโล่งใจ หลังจากได้ยินคำขอของเซียวฮั่น เขาจึงรีบตอบรับทันที
“พี่เซียวต้องการสิ่งใด น้องชายจะช่วยเหลือสุดกำลังมิลังเล!”
“ธุระของข้าไม่มีอันใด เพียงแต่ข้าเห็นว่าหอซิงเฉินของพวกเจ้ากำลังหาสิ่งใดอยู่ หากเดาไม่ผิด คงเป็นจิตมารที่เผชิญกับปีศาจชื่อซินเมื่อคราวก่อนเริ่มกำเริบขึ้นมาอีกครั้งใช่หรือไม่” เซียวฮั่นโบกมือ มองซือคงจายซิงหนึ่งครา ทันใดนั้นพลันนึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยพลางหัวเราะ
“ปิดสายตาแหลมคมของพี่เซียวไม่อยู่จริง ๆ หลังจากสงครามสุสานกระบี่คราวก่อน ผู้อาวุโสสายในของสำนักข้าต่างเกิดปีศาจในใจ แม้แต่ท่านลุงก็ถูกมันฝังมิอาจกำจัดได้ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงต้องมาตามหาดวงจิตขจัดมารในตำนานที่ดินแดนรกร้างมรณะ อาศัยพึ่งพามันกำจัดจิตมารในใจพวกเขา”
ได้ยินเช่นนั้น ซือคงจายซิงพลันทอดถอนใจกับสายตาดุจคบเพลิงของเซียวฮั่นที่สามารถเอ่ยถึงวัตถุประสงค์การเดินทางในครั้งนี้ของเขาออกมาได้ในทันที แต่เขากลับไม่รู้สึกประหลาดใจ ในเมื่อบุคคลตรงหน้าเขาผู้นี้เป็นบุคคลที่ไม่มีผู้ใดเทียบได้อย่างแท้จริง เกรงว่าคงไม่มีสิ่งที่สามารถปิดบังเขาได้บนโลกนี้อย่างแน่นอน !
………………