ครองภพสยบนิรันดร์ - ตอนที่ 111
ตอนที่ 111: อานุภาพมรณะ!
“ผู้นำตระกูลซู พบกันอีกแล้ว!”
เสียงหัวเราะอันเยือกเย็นแสบหูดังขึ้น ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่เหล่ายอดฝีมือของสมาคมเลือดสังหารปรากฏกายรอบ ๆ คนของตระกูลซู เมื่อเทียบกับสิบวันก่อน กลิ่นคาวเลือดทั่วร่างของพวกมันรุนแรงมากกว่าเดิม เพียงแต่หากมองอย่างละเอียดจะพบว่าสมาชิกของสมาคมเลือดสังหารลดน้อยลงไปหลายคน
แต่สิ่งนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อความแข็งแกร่งของสมาคมเลือดสังหารแม้แต่น้อย ท่ามกลางกว่าสิบคนที่เหลือ มียอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิหนึ่งคน ยอดฝีมือขอบเขตรวบรวมลมปราณหนึ่งคน ส่วนที่เหลือคือยอดฝีมือขอบเขตแก่นแท้ระดับกลางและสูง ด้วยกำลังรบเช่นนี้ไม่ใช่อะไรที่ตระกูลซูจะทัดเทียมได้
“ผูู้มาไม่หวังดี!”
ยามนี้ศิษย์ตระกูลซูล้วนมีสีหน้าเปลี่ยนไปตาม ๆ กัน สายตาจ้องเขม็งไปยังคนทั้งหมดของสมาคมเลือดสังหาร บรรยากาศแข็งค้างขึ้นมาอย่างฉับพลัน ใบหน้าของบางคนถึงขนาดปรากฏสีหน้าเคร่งเครียดและหวาดกลัว
“ไม่ทราบว่าผู้นำเซวี่ยซามีสิ่งใดชี้แนะ?” ซูหงไท่สีหน้าแข็งค้าง ก่อนจะประสานมือคารวะเล็กน้อยไปทางเซวี่ยซา
“ไม่มีสิ่งใดชี้แนะ แค่อยากหยิบยืมของหนึ่งชิ้นจากพวกเจ้า!” แววตาสีแดงดุจโลหิตทะลักออกมาจากดวงตา
“ของนั้นคืออะไรหรือ? พวกเราตระกูลซูไม่มีของอะไรที่ผู้นำเซวี่ยซาจะต้องตา หากมี ตระกูลซูก็ยินดีให้ยืม!”
บัดนี้จิตใจของซูหงไท่ได้ระแวดระวังขึ้นมาอย่างใหญ่หลวง พลังวิญญาณรวมตัวกันระหว่างมือทั้งสองข้างอย่างหนาแน่น
“เต็มใจให้ยืมย่อมดีที่สุด พวกข้าอยากยืมศีรษะของพวกเจ้ามาใช้และให้ผู้คนในใต้หล้ารู้ว่าหากอาจหาญมาเป็นศัตรูกับข้านิกายเลือดสังหาร จุดจบจะเป็นเช่นไร!”
สิ้นเสียงเย็นเยียบดุจดั่งน้ำแข็ง ฝ่าเท้าของเซวี่ยซาก็กระแทกลงกับพื้นหนึ่งครั้ง กลิ่นอายโลหิตอันชั่วร้ายน่าหวาดผวาม้วนตลบออกมาจากร่าง เพียงเซวี่ยซาสะบัดฝ่ามืออย่างง่ายดาย กรงเล็บสีโลหิตพลันพุ่งแหวกอากาศเข้าหาซูหงไท่
“ฮ่าห์!!”
เมื่อเห็นกรงเล็บยักษ์สีโลหิตแหวกทะลุอากาศมา ซูหงไท่ก็คำรามขึ้นหนึ่งเสียง ตบฝ่ามือหนึ่งครา พลังวิญญาณพลันกลอกกลิ้ง มือมหึมาข้างหนึ่งพุ่งทะลุอากาศไปยังกรงเล็บโลหิต
ทั้งสองล้วนมีพลังขอบเขตจักรพรรดิระดับต้น ความแข็งแกร่งต่างกันไม่มาก แต่อย่างไรซูหงไท่ก็เป็นคนชรา หากการประลองยังดำเนินต่อไปเป็นเวลานาน พลังลมปราณต้องไม่พอเป็นแน่ ท้ายที่สุดก็มีความเป็นไปได้ว่าจะพ่ายแพ้ ที่ร้ายแรงถึงชีวิตคือเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ของตระกูลซู ซึ่งเดิมทีก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกลุ่มคนสมาคมเลือดสังหารอยู่แล้ว
อย่างที่รู้กันว่าสมาคมเลือดสังหารมีพลังขอบเขตแก่นแท้ระดับกลางไปถึงสูง ทั้งยังมียอดฝีมือขอบเขตรวบรวมลมปราณหลายคน อาศัยคนกลุ่มนี้ของตระกูลซูผู้มีอายุเพียงสิบเจ็ดสิบแปดปีกับพลังขอบเขตแก่นแท้ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคู่ต่อกรของอีกฝ่าย
“สาวน้อยคนนี้ไม่เลว เป็นบุปผาที่พร้อมผลิบาน เหมาะกับรสนิยมบิดาอย่างมาก!”
ชายวัยกลางคนที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าคนหนึ่งหัวเราะชั่วร้าย สายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนาทอดลงบนเรือนร่างของซูเสี่ยวเสี่ยว ทำให้ใบหน้างดงามหยาดเยิ้มของนางปรากฏความหวาดกลัวอย่างอดไม่ได้
ระดับพลังของชายวัยกลางคนผู้นี้อยู่ในขอบเขตรวบรวมลมปราณระดับกลาง เกรงว่าคนผู้นี้สมควรมีชื่ออยู่ในสมาคมเลือดสังหารไม่มากก็น้อย
“ปังงง!”
เมื่อชายวัยกลางคนผู้มีรอยแผลเป็นสาวเท้าเข้าไปหาซูเสี่ยวเสี่ยว ศิษย์ของตระกูลซูก็ถูกหมัดจู่โจมกระเด็นไปทีละคน และเมื่อลงไปกับพื้นก็หมดสติไปเสียแล้ว ไม่ว่าพลัง ความแข็งแกร่งหรือประสบการณ์การสู้รบของทั้งสองฝ่ายล้วนแต่ไม่ใช่ระดับเดียวกัน ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้า ศิษย์ของตระกูลซูจึงพ่ายแพ้ย่อยยับ
แม้แต่ซูเจี้ยนผู้มีพลังขอบเขตแก่นแท้ระดับต้น เมื่ออยู่ภายใต้การปะทะก็ยังถูกคนผู้หนึ่งของสมาคมเลือดสังหารซึ่งมีพลังขอบเขตแก่นแท้ระดับกลางโจมตีจนพ่ายแพ้ เห็นได้ชัดว่าพลังของทั้งสองฝ่ายไม่ได้อยู่ระดับเดียวกัน
“แม่นางน้อย ตราบใดที่เจ้าปรนนิบัติรับใช้บิดาและพี่น้องกลุ่มนี้ของข้าอย่างดี บางทีพอข้ามีความสุขขึ้นมาก็อาจจะปล่อยพวกเขาไปก็ได้!”
คนเดินไปทางซูเสี่ยวเสี่ยวทีละก้าว รอยยิ้มของชายวัยกลางคนผู้มีรอยแผลเป็นทำให้คนรู้สึกคลื่นไส้อย่างอดไม่ได้
“ไร้ยางอาย!”
ได้ยินดังนั้น ซูเสี่ยวเสี่ยวก็ตวาดขึ้นหนึ่งเสียง ดวงหน้างดงามเย็นชา มือขาวผ่องชูขึ้น แส้ยาวพลันโบกสะบัดออกมา จากนั้นก็กวัดแกว่งดังหวีดหวิว ด้านบนของมันมีพลังวิญญาณกลอกกลิ้ง เห็นได้ชัดว่าแส้เส้นนี้ได้รวบรวมพลังทั้งหมดของซูเสี่ยวเสี่ยวเอาไว้ หากถูกโจมตี เกรงว่าแม้แต่หินก้อนใหญ่ยังต้องแหลกเป็นผุยผง
“ฮ่า ๆ ! สาวน้อยถึงกับเริ่มไม่พอใจแล้ว แต่บิดาผู้นี้ก็ชอบคนฉุนเฉียวอย่างเจ้าเป็นที่สุด!”
ขณะมองไปยังแส้เส้นยาวที่จู่โจมเข้ามา ชายวัยกลางคนผู้มีรอยบากพลันหัวเราะเสียงดัง ไม่หลบและไม่หลีก เหยียดมืออันหยาบกร้านเกินบรรยายออกไปจับไว้ทันควัน คว้าแส้เส้นยาวอย่างแน่นหนา ทว่าร่างกลับมิได้เคลื่อนไหว และแส้ยาวก็ไม่ทำให้มันบาดเจ็บแม้แต่น้อย
พลังของทั้งสองนั้นต่างกันเกินไป คนหนึ่งมีพลังขอบเขตแก่นแท้ระดับต้น อีกคนมีพลังขอบเขตรวบรวมลมปราณระดับกลาง ไม่ได้อยู่ระดับเดียวกัน ประหนึ่งฟ้ากับเหว
“เข้ามา!”
เมื่อเห็นแส้ยาวของตนถูกคว้าไว้ สีหน้าของซูเสี่ยวเสี่ยวก็เปลี่ยนไปในบัดดล ยังไม่ทันรอให้นางฟื้นคืนสติก็รู้สึกถึงพลังอันมากมายล้นหลามส่งออกมาจากแส้ยาวในมือของตน คนทั้งร่างถูกลากเข้าไปอย่างไร้การควบคุม
ขณะที่ซูเสี่ยวเสี่ยวถูกลากออกไปจนถึงด้านหน้าของชายวัยกลางคนผู้มีรอยบาก แววในดวงตาของเซียวฮั่นที่นั่งอยู่บนพื้นโดยไม่ขยับเขยื้อนก็เปล่งประกายวาบ แสงที่เต็มไปด้วยพลังเต๋ามรณะอันเข้มข้นแหวกทะลุอากาศหลั่งไหลเข้าสู่ร่างชายฉกรรจ์วัยกลางคนผู้มีรอยบาก เพียงชั่วครู่พลังชีวิตทั้งร่างของมันก็ถูกกลืนกิน
เมื่อถึงแก่ความตาย บนใบหน้าของชายวัยกลางคนผู้มีรอยบากยังคงประดับรอยยิ้มที่ทำให้คนรู้สึกคลื่นไส้ ชั่วขณะนั้นมันยังคงไม่รู้ตัว จนกระทั่งซูเสี่ยวเสี่ยวถูกลากไปจนถึงเบื้องหน้า จิตใต้สำนึกก็ทำให้นางกระแทกฝ่ามือใส่จนกระเด็นออกไป รอจนชายผู้มีรอยบากร่วงลงไปกองกับพื้น กลับไม่มีพลังชีวิตใด ๆ ทั้งสิ้น
“ตะ…ตายแล้ว?”
ซูเสี่ยวเสี่ยวมองไปที่มือของตนอย่างเหลือเชื่อ ก่อนจะมองไปยังชายวัยกลางคนผู้มีรอยบากที่กำลังนอนอยู่บนพื้นโดยไร้ซึ่งพลังชีวิตอีกครา ยามนี้ซูเสี่ยวเสี่ยวไม่มีทางฟื้นคืนสติขึ้นมาได้
อย่างที่รู้กันว่าชายฉกรรจ์ผู้มีรอยบากที่อยู่เบื้องหน้ามีพลังขอบเขตรวบรวมลมปราณระดับกลาง ความแข็งแกร่งเช่นนี้ในตระกูลซูล้วนแต่เป็นของยอดฝีมือระดับอาวุโส แต่ยามนี้กลับถูกฝ่ามือที่โจมตีออกไปสุ่มสี่สุ่มห้าของนางสังหาร สิ่งนี้ทำให้นางไม่มีทางเชื่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า
ไม่เพียงแต่ซูเสี่ยวเสี่ยว กลุ่มคนของสมาคมเลือดสังหารยามนี้ต่างก็ไม่ฟื้นคืนสติ เป็นที่รู้ว่าในสมาคมเลือดสังหาร นอกจากผู้นำและหัวหน้าแล้ว ชายวัยกลางคนผู้มีรอยบากคือคนที่แข็งแกร่งที่สุด ยามนี้กลับตกตายในเงื้อมมือของแม่นางน้อยผู้มีเพียงพลังขอบเขตแก่นแท้ระดับต้น หากเอ่ยเรื่องนี้ออกไป เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดกล้าเชื่อ
“ครืน!”
ขณะที่ทุกคนกำลังสติหลุดลอย ชายวัยกลางคนผู้มีรอยบากที่อยู่กับพื้นก็ลุกขึ้นยืนอย่างฉับพลัน ร่างกายยืดตรง บนใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้มประหลาดอันน่าหวาดผวา แต่ดวงตาสองข้างกลับแสดงแววตาอันว่างเปล่าและความตายอันเงียบสงัดออกมา
“กรี๊ด!”
เมื่อเห็นภาพนี้ ซูเสี่ยวเสี่ยวก็กรีดร้องเสียงแหลม จากนั้นก็กลอกดวงตาทั้งสองข้าง คนทั้งร่างหมดสติลงไปทันใด กล่าวได้ว่าภาพนี้ช่างน่ากลัวและน่าหวาดผวาเกินไปแล้วจริง ๆ
“ฟู่ว ที่แท้ก็ยังไม่ตาย ทำให้พวกข้าตกใจจนสะดุ้งโหยง!” เห็นดังนั้น กลุ่มคนของสมาคมเลือดสังหารก็ถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก
ชายวัยกลางคนที่มีรอยแผลเป็นทั่วใบหน้า จึงได้รับสมญานามว่า ‘เตาปา’ ในสมาคมเลือดสังหาร
“อั่กกก!”
แต่ทว่าภายใต้สายตาอันเหลือเชื่อของคนทั้งหมด เมื่อร่างของเตาปายืนขึ้น สิ่งแรกที่ทำไม่ใช่การเดินไปทางซูเสี่ยวเสี่ยว แต่กลับยืดฝ่ามือหนึ่งคราอย่างฉับพลัน เจาะทะลุอกของยอดฝีมือในสมาคมเลือดสังหารคนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ห่างนัก
และยามนี้ยอดฝีมือคนนี้ก็เบิกตาโพลงจ้องเขม็งไปยังเตาปา เห็นเพียงแววตาวังเวงของเตาปากำลังจ้องมองมา บนใบหน้าประดับรอยยิ้มน่าหวาดผวาอันแปลกประหลาด จากนั้นเขาเพียงรู้สึกว่าเจ็บปวดที่หน้าอก ต่อมาก็เห็นหัวใจของตนถูกเตาปาควักออกมา แล้วบีบจนแหลกลงบนหน้าของเขา หลังจากนั้นก็ดำดิ่งสู่ความมืดสลัวอันไร้จุดสิ้นสุด สูญเสียความรู้สึกนึกคิดไปโดยสมบูรณ์
“บัดซบ เตาปา เจ้าบ้าไปแล้วหรือ?”
เมื่อเห็นเตาปาสังหารยอดฝีมือขอบเขตแก่นแท้ของสมาคมเลือดสังหารตายโดยไม่เอ่ยอะไร ยอดฝีมือของสมาคมเลือดสังหารผู้มีพลังขอบเขตรวบรวมลมปราณที่เหลือก็ตะโกนขึ้นมาอย่างพิโรธ
“อั่ก!”
แต่ทว่าเพียงสิ้นเสียงของคนผู้นี้ เงาร่างของเตาปาก็ได้กลายเป็นภาพติดตา ระหว่างที่คนผู้นี้ยังไม่ตอบโต้อะไรกลับมา ฝ่ามือสีแดงฉานของเตาปาก็เจาะทะลุหน้าอกของยอดฝีมือขอบเขตรวบรวมลมปราณคนดังกล่าวไปแล้ว
“บ้าไปแล้ว เตาปา สติแตกไปแล้วรึไง!”
เมื่อเห็นเตาปาสังหารสหายอีกคน กลุ่มคนของสมาคมเลือดสังหารก็ตะโกนด้วยความโกรธาไปตาม ๆ กัน แต่เพียงชั่วครู่ สีหน้าของพวกเขาพลันเปลี่ยนเป็นไม่น่ามองขึ้นมาทันใด เพราะเตาปาไม่เพียงแต่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดมือ ทว่ายังพุ่งตรงไปยังสมาชิกสมาคมเลือดสังหารคนอื่น ๆ เพื่อลงมือ
“เขาเสียสติไปแล้ว รีบจัดการเขาเร็วเข้า!”
เห็นดังนั้น ยอดฝีมือขอบเขตรวมรวมลมปราณสามคนที่เหลือของสมาคมเลือดสังหารก็ตะโกนออกมาพร้อมเพรียงกัน หลังจากนั้นก็นำพาพลังวิญญาณเข้มข้นพุ่งทะยานสังหารเตาปาในทันที
เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของสามคนนี้ เตาปากลับมิได้หลบเลี่ยง ปล่อยให้พลังสามสายโจมตีเข้ากับร่างของตน ไม่นานนักเลือดเนื้อของคนทั้งร่างก็เหวอะหวะ แม้แต่อวัยวะภายในยังถูกโจมตี เหลือเพียงแขนขาและหัว แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว สีหน้าของเตาปาก็ยังคงไว้ซึ่งรอยยิ้มอันแปลกประหลาด และภายใต้สายตาเหลือเชื่อของคนทั้งสาม มือของเตาปาที่ชูขึ้นไปก็ทะลุเข้าไปในอกของพวกเขา
“อั่กกก!”
ด้วยระยะที่ใกล้เช่นนี้ ทั้งสามคนจึงตั้งรับไม่ทัน ส่งผลให้ถูกเตาปาเจาะทะลุหน้าอกจนถึงแก่ความตาย บนใบหน้าของคนทั้งสามเต็มไปด้วยสีหน้าหวาดกลัวและเหลือเชื่อ
ท่าทางที่น่ากลัวเช่นนี้ของเตาปา ย่อมเป็นผลงานชิ้นเอกของเซียวฮั่น หลังจากควบคุมต้นกำเนิดวิถีเต๋ามรณะได้แล้ว เซียวฮั่นก็สามารถควบคุมพลังมรณะได้อย่างง่ายดาย และการใช้พลังมรณะควบคุมคนตายนั้น ช่างเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งนัก
และสิ่งนี้คือจุดที่น่าหวาดกลัวถึงขีดสุดของวิถีเต๋ามรณะ ขอเพียงแต่บรรลุวิถีเต๋ามรณะ เช่นนั้นก็หมายถึงการควบคุมกลุ่มคนตายที่ไม่กลัวตายได้ และคนตายเหล่านี้ยังสามารถรักษาพลังของร่างตนก่อนหน้านี้ไว้ได้อีกด้วย จุดนี้คือสิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่นที่สุด ไม่ว่าจะผู้ใด เมื่อประจันหน้ากับกองทัพวิญญาณกลุ่มนี้ เกรงว่าต่างต้องมีจิตใจสั่นไหวทั้งสิ้น
หลังจากยอดฝีมือขอบเขตรวบรวมลมปราณทั้งสามคนร่วงลงไปกองกับพื้น รัศมีแห่งความตายพลันวาบผ่านดวงตาของเซียวฮั่นอีกหน จากนั้นภาพอันน่าหวาดผวายิ่งกว่าก็เกิดขึ้น คนตายที่ถูกเตาปาสังหารยามนี้ได้ลุกขึ้นมายืนแข็งทื่ออีกครา ต่อมาก็พุ่งเข้าหาสมาชิกสมาคมเลือดสังหารที่มีชีวิตอยู่อย่างบ้าคลั่งเหมือนกับเตาปาแล้วเปิดวงสังหาร
ต่อสู้ได้ไม่นาน ทั้งผืนดินก็ถูกย้อมไปด้วยโลหิต สมาชิกทุกคนของสมาคมเลือดสังหารถูกสังหารจนหมด นอนลงกับพื้นดินกลายเป็นศพที่เย็นเยียบเกินจะเปรียบ และเมื่อความตายมาถึงคนเหล่านี้ บนใบหน้าล้วนประดับความหวาดผวาสุดขีด
ส่วนศิษย์ตระกูลซูที่ยังไม่หมดสติเหล่านั้น เมื่อเห็นภาพเบื้องหน้าก็มีสีหน้าซีดขาวไปตาม ๆ กัน ถึงขนาดอาเจียนออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง เพราะภาพที่อยู่เบื้องหน้านั้นน่ากลัวเกินไปแล้วจริง ๆ
“ปังงง!”
ในที่สุด เสียงล้มลงกับพื้นก็ดังขึ้น ศพของเตาปาและคนอื่น ๆ กลายเป็นซากกระดูกอันเย็นเยียบบนพื้นดิน จากนั้นแสงสีดำก็เปล่งประกายวาบแล้วหายไปบนศพของพวกมัน
เมื่อแสงสีดำเหล่านี้หายไป พลังมรณะในดวงตาของเซียวฮั่นพลันเข้มข้นยิ่งขึ้น หากมีคนจ้องมองดวงตาของเซียวฮั่นในยามนี้ เกรงว่าต้องตกใจกลัวเป็นแน่ เพราะในแววตาของเซียวฮั่นขณะนี้ดูเหมือนจะปรากฏมิติแห่งความตาย และคล้ายจะมีวิญญาณอาฆาตพยาบาทอีกนับร้อยล้านกำลังกรีดร้องอย่างโศกเศร้า!
……………….