ครองภพสยบนิรันดร์ - ตอนที่ 110
110: สมาคมเลือดสังหาร!
เมื่ออาการบาดเจ็บดีขึ้น เซียวฮั่นก็สามารถเดินเหินได้ตามปกติ ทำให้ขบวนเพิ่มระดับความรวดเร็วในการเดินทางขึ้นมาไม่น้อย เหล่าศิษย์จากตระกูลซูที่บ่นพึมพำจึงไม่ปริปากอะไรอีก
“พี่เซียวกำลังมองอะไรหรือ”
ซูเสี่ยวเสี่ยวเห็นว่าบางครั้งเซียวฮั่นยืนเหม่อมองไปยังดินแดนรกร้างมรณะอันไกลโพ้น จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
เซียวฮั่นมองซูเสี่ยวเสี่ยวผู้มีรูปโฉมงามสะคราญพลางตอบว่า “ข้ากำลังมองทิวทัศน์”
“ดินแดนรกร้างมรณะมีอะไรน่ามอง มีแต่ต้นไม้เหี่ยวเฉา” ได้ยินเช่นนั้น ซูเสี่ยวเสี่ยวจึงอดมุ่นคิ้วเรียวงามไม่ได้
“เหอเหอ ข้าเพียงมองฟ้าและดินผืน”
เซียวฮั่นหัวเราะออกมาเบา ๆ แต่สายตาเขากลับทอดมองออกไปไกลแสนไกล ในที่สุดเขาก็รู้ว่าตอนนี้ตัวเขาอยู่ ณ ที่แห่งใด
จัตุรัสตะวันตก เขตดินแดนมหาทวีปตงโจวและซีโจว เมื่อเซียวฮั่นรู้ว่าจัตุรัสตะวันตกเป็นอาณาบริเวณของผู้ใด ยิ่งทำให้ใจเขาสั่นไหวขึ้นมา
“หึ มองฟ้าและดินอะไรกันเล่า ข้าว่าดูมีลับลมคมใน ไม่รู้แสร้งทำเป็นรู้”
ขณะนั้นเองซูเจี้ยนซึ่งคอยสังเกตท่าทางเซียวฮั่นมาโดยตลอด ได้ยินเช่นนั้นจึงหัวเราะเสียงเย็นและเหน็บแนมขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เซียวฮั่นไม่ได้สนใจกับคำเหน็บแนมของซูเจี้ยน แต่กลับละสายตามองไปยังซูเสี่ยวเสี่ยว คนยิ้มพลางเอ่ยขึ้น
“ในเมื่อพวกเจ้าช่วยข้าไว้ นับว่าเรามีวาสนาต่อกัน เช่นนั้นข้าจะมอบสิ่งล้ำค่าให้แก่พวกเจ้า”
“เช่นนั้นข้าก็ต้องขอบคุณพี่เซียวแทนทุกคน”
ได้ยินเช่นนั้น ซูเสี่ยวเสี่ยวก็หัวเราะอย่างมีชีวิตชีวา สำหรับนางคิดว่าเซียวฮั่นเพียงกล่าวเล่นไม่ได้จริงจังอันใด
“ก็แค่พูดประจบเอาใจเท่านั้น!”
เมื่อเห็นลูกพี่ลูกน้องของตนเองหยอกล้อกับเซียวฮั่น ซูเจี้ยนจึงรู้สึกไม่พอใจพร้อมกับสบถเสียงเย็นหนึ่งครา สายตามองไปยังเซียวฮั่นด้วยจิตสังหารอันเต็มเปี่ยม
ซูหงไท่ที่อยู่ไม่ไกลเมื่อได้ยินพลางส่ายหน้าหัวเราะออกมาเบา ๆ และถอนหายใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เป็นวัยเยาว์ช่างดีนัก แน่นอนว่าเขาไม่ได้เอาคำของเซียวฮั่นมาใส่ใจ สำหรับเขาแล้ว เซียวฮั่นแค่เพียงกล่าวเล่นเท่านั้น
แต่ซูหงไท่กลับคิดไม่ถึงว่า หลังจากเซียวฮั่นให้ของขวัญแก่ตระกูลซู มันจะส่งผลทำให้ตระกูลซูรุ่งเรืองขึ้น กลายเป็นผู้มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ในภายหลัง
หลังจากที่อาการบาดเจ็บของเซียวฮั่นดีขึ้น กองทัพก็เดินทางได้อย่างรวดเร็ว ภายในเวลาสองวัน ก็มาถึงบริเวณเขตรอบนอกที่ค่อนข้างลึกของดินแดนรกร้างมรณะ
ที่แห่งนี้ มองไปทางใดล้วนเจอสัตว์ปีศาจระดับสาม แม้แต่สัตว์ปีศาจระดับสี่ก็มีไม่น้อย ส่วนสัตว์ปีศาจที่อยู่ในระดับห้ามีค่อนข้างน้อย ราชาสัตว์ปีศาจจัดเป็นสัตว์ปีศาจระดับสูง ส่วนใหญ่มักจะยึดครองพื้นที่เขตใจกลางป่าร้าง และปรากฏตัวออกมาบริเวณรอบนอกน้อยมาก
“ที่แห่งนี้เหมาะแก่การเป็นสถานที่ฝึกฝนของคนรุ่นเยาว์นัก”
เมื่อเห็นลูกหลานตระกูลซูต่างพากันเสาะแสวงหาสัตว์ปีศาจที่มีศักยภาพใกล้เคียงกับตนเพื่อต่อสู้ ซูหงไท่ที่อยู่ข้าง ๆ กลับเตรียมพร้อมคอยระมัดระวัง เซียวฮั่นเห็นเช่นนั้นจึงอดยิ้มไม่ได้
ซูเสี่ยวเสี่ยวชูมือขาวผ่อง ปะทะสัตว์ปีศาจระดับสองตนหนึ่งที่บินมาโจมตี นางสามารถทะลวงระดับเข้าสู่ขอบเขตแก่นแท้แล้ว การรับมือกับสัตว์ปีศาจระดับสองจึงไม่ใช่เรื่องยากอันใด
ในกลุ่มคนรุ่นเยาว์เหล่านี้ มีเพียงซูเสี่ยวเสี่ยวและซูเจี้ยนที่เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตแก่นแท้ ส่วนใหญ่แล้วคนอื่น ๆ วนเวียนอยู่ระหว่างขอบเขตก่อกำเนิดระดับกลางและสูง ด้วยอายุและระดับพลังของพวกเขาในระดับขุมอำนาจชั้นสาม เช่นนี้ก็นับว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ระดับหนึ่งแล้ว
ส่วนซูเจี้ยนกำลังเผชิญหน้ากับสุนัขปีศาจระดับสามที่โหดเหี้ยมตนหนึ่ง การต่อสู้ของทั้งสองยากที่จะตัดสิน ไม่สามารถตัดสินแพ้ชนะได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
“เจ้าหนุ่ม ดูเหมือนว่า เจ้าก็เป็นคนแห่งวิถีเต๋า ไม่ทราบว่ามาจากอาจารย์หรือสำนักใดหรือ!” ซูหงไท่ซึ่งอยู่ข้างเซียวฮั่นพลันเอ่ยปากซักถาม
“ข้าไม่มีสำนัก ข้าเพียงเดินทางตามลำพัง” เมื่อเจอคำถามของซูหงไท่ เซียวฮั่นจึงกล่าวอย่างที่ใจอยากตอบ
“เช่นนี้เอง เป็นอิสระอยู่ลำพังก็ดีเหมือนกัน”
ได้ยินดังนั้น ซูหงไท่พยักหน้าเล็กน้อย นัยน์ตาเขายังคงประกายความเคลือบแคลงใจอยู่เช่นเดิม โดยเฉพาะเรื่องที่อาการบาดเจ็บของเซียวฮั่นที่สามารถหายดีในระยะเวลาอันสั้น ทำให้เขาหวั่นใจยิ่งนัก
เซียวฮั่นย่อมรู้อยู่แล้วว่าซูหงไท่เกิดความเคลือบแคลงใจ แต่เขาไม่อยากอธิบายอันใด หากเขาอธิบาย เกรงว่าซูหงไท่ยิ่งไม่เชื่อ สู้ไม่อธิบายจะดีเสียกว่า
ภาระเร่งด่วนของเซียวฮั่น คือการทำลายกลประทับกฏแห่งสวรรค์ เพียงแต่กลประทับเช่นนี้ ใช่ว่าจะปลดได้ในทันที เขาจำเป็นต้องหาผู้ช่วยจึงจะสำเร็จ ถ้าหากว่าที่แห่งนี้คือจัตุรัสตะวันตก เช่นนั้นเขาก็สามารถหาคนที่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้
“นั่นมันท่านผู้นำตระกูลซูนี่นา ท่านก็พาลูกศิษย์มาฝึกฝนที่นี่เช่นเดียวกันหรือ”
ทันทีที่เสียงอันถากถางดังขึ้น เงาร่างคนผู้หนึ่งและกลุ่มคนพลันปรากฎบริเวณไม่ไกลนัก
คนเหล่านี้ล้วนสวมชุดคลุมยาวสีแดง กลิ่นคาวเลือดคลุ้งทั่วกาย รับรู้ได้ถึงความคลั่งไคล้ในโลหิตอย่างยิ่งยวด จึงทำให้คนทั้งหมดรู้สึกอึดอัดอย่างมาก
เมื่อเห็นคนกลุ่มนี้ สีหน้าซูหงไท่พลันแปรเปลี่ยน สมาคมเลือดสังหารและตระกูลซูจัดอยู่ในขุมอำนาจระดับสามเช่นเดียวกัน แต่พวกมันมีนิกายเลือดสังหารขุมอำนาจระดับสองหนุนอยู่เบื้องหลัง
แม้ว่าตระกูลซูจะพึ่งพาสำนักหย่านเยว่ แต่ก็เป็นเพียงสำนักย่อยเท่านั้น ต่างจากสมาคมเลือดสังหารที่เป็นสำนักภายใต้กำเนิดของนิกายเลือดสังหารโดยตรง และในยามนี้นิกายเลือดสังหารกับสำนักหย่านเยว่ก็มีปัญหาขัดแย้งกันอยู่ไม่น้อย ทำให้เมื่อสำนักของสองฝ่ายปะทะกัน บรรยากาศโดยรอบจึงตึงเครียดขึ้นมาโดยฉับพลัน
“เซวี่ยซาเจ้าสำนักแห่งสมาคมเลือดสังหารนี่เอง เด็กรุ่นเยาว์เหล่านี้รู้แจ้งในวิถีเต๋าขึ้นมาบ้างแล้ว ข้าจึงพาพวกเขามาฝึกตนที่นี่”
ซูหงไท่เอ่ยพลางยิ้มเล็กน้อย ยกมือคำนับสมาคมเลือดสังหารอย่างหนังยิ้มเนื้อไม่ยิ้ม
“การฝึกฝนนั้นย่อมดี แต่ระวังอย่าเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่แทน”
เซวี่ยซาได้ยินจึงหรี่ตา นัยน์ตาฉายแววแดงก่ำดุจเลือด ทำให้สีหน้าซูหงไท่พลันเคร่งขรึมขึ้นมาก
เซวี่ยซาเป็นยอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิขั้นต้นเช่นเดียวกันกับเขา และกลุ่มคนที่มาด้วยไม่ใช่ศิษย์รุ่นเยาว์ แต่เป็นผู้ฝึกตนระดับขอบเขตแก่นแท้และขอบเขตรวบรวมลมปราณ ผู้แข็งแกร่งระดับนี้ หากอยู่ในสมาคมเลือดสังหารต้องเป็นระดับผู้มีอำนาจเท่านั้น
ทว่าสมาคมเลือดสังหารเคลื่อนทัพนำพายอดฝีมือระดับนี้เข้ามา ซูหงไท่จึงระแวงระวังขึ้นมาทันใด หากพวกเขาออกมือ เกรงว่าคงไม่มีใครสามารถหลบหนีไปได้
โชคดีที่คนของสมาคมเลือดสังหารที่อยู่ไกลออกไปส่งสัญญาณเรียก พวกมันจึงจากไป ทำให้ซูหงไท่รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที
“ศิษย์พี่ใหญ่ เหตุใดจึงไม่จัดการพวกมัน”
เมื่อสมาคมเลือดสังหารจากไป ยอดฝีมือขอบเขตลมปราณซึ่งตามเซวี่ยซาอยู่พลันเลียเลือดที่ลิ้นตน นัยน์ตาฉายแววจ้องสังหารอย่างรุนแรง
“อย่าใจร้อน รอให้ภารกิจที่เบื้องบนมอบหมายสำเร็จเสียก่อน ค่อยจัดการก็ยังไม่สาย ข้าต้องการให้ทุกคนรู้ว่า ผู้ที่กล้าล่วงเกินนิกายเลือดสังหารจุดจบจะเป็นเช่นไร”
เซวี่ยซาหัวเราะอย่างเย็นชา ในดวงตาทอประกายความกระหายเลือด ฝูงชนแห่งสมาคมเลือดสังหารซึ่งอยู่ด้านหลังเขาได้ยินเช่นนั้น นัยน์ตาก็เผยซึ่งแววสังหารเช่นเดียวกัน
“ท่านผู้นำซู ระวังตัวไว้ก็ดี สายตาของพวกมันเจือแววจ้องสังหารเข้มข้นนัก!”
เซียวฮั่นมองคราเดียวก็สามารถรู้ได้ว่าคนของสมาคมเลือดสังหารหมายจ้องสังหารตระกูลซู แม้ตอนนี้พวกมันยังไม่ลงมือ เพียงเพราะทำเรื่องที่สำคัญกว่า แต่หากเสร็จสิ้นแล้ว ต้องย้อนกลับมาจัดการตระกูลซูเป็นแน่
ได้ยินเช่นนั้น ซูหงไท่พลันมีสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าสัมผัสได้เช่นกัน คิดว่าเปลี่ยนสถานที่กันเสียหน่อย เช่นนั้นพวกมันคงหาเราไม่เจอไปอีกพัก”
“เช่นนั้นก็ดี!”
เซียวฮั่นพยักหน้าไม่กล่าวอะไรอีก เขารู้ว่าคนของสมาคมเลือดสังหารไม่ยอมปล่อยตระกูลซูไปง่าย ๆ โดยแน่ คงต้องอาศัยว่าซูหงไท่และพรรคพวกจะโชคดีเพียงใด
ไม่นานหลังจากนั้นซูหงไท่ก็เรียกประชุม ศิษย์ในตระกูลต่างรีบพากันออกจากที่แห่งนี้ และมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือโดยใช้เวลาเดินทางเกือบสามวันเพื่อเป็นการเริ่มต้นหาสถานที่ฝึกฝนแห่งใหม่
“พี่เซียว ไม่ฝึกฝนด้วยกันหรือ”
หลังจากที่เอาชนะสัตว์ปีศาจระดับสามได้แล้ว ซูเสี่ยวเสี่ยวที่มีใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อก็มองไปยังเซียวฮั่นพร้อมคลี่ยิ้ม
“การฝึกเช่นนี้ไม่ค่อยมีผลกับข้าเท่าใดนัก” เซียวฮั่นส่ายศีรษะเบา ๆ ยิ้มพลางตอบ
“หึ ข้าว่าเป็นพวกขี้ขลาดเสียมากกว่า คงจะกลัวเป็นอาหารอยู่ในท้องของสัตว์ปีศาจ”
ได้ยินเช่นนั้น ซูเจี้ยนพลันสบถเหยียดหยามเสียงเย็น จากนั้นจึงทายารักษาบาดแผลบนแขนของตน
เมื่อเผชิญกับคำยั่วยุของซูเจี้ยน เซียวฮั่นก็ยังคงไม่ตอบโต้เขาเช่นเดิม ทำให้ความคับแค้นในใจซูเจี้ยนยิ่งมากขึ้นแต่ไม่สามารถทำอะไรได้ หากเขาลงมือกับเซียวฮั่นก็จะได้ชื่อว่ารังแกคนอ่อนแอกว่า และที่สำคัญคือเขาไม่อยากสร้างความทรงจำไม่ดีต่อหน้าลูกพี่ลูกน้องของตน
ตระกูลซูตัดสินใจตั้งค่ายในที่แห่งหนึ่ง เวลาผ่านไปสิบกว่าวันอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว แม้ว่ากลุ่มศิษย์รุ่นเยาว์จะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แต่ก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้อย่างมหาศาลเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้แม้ว่าศิษย์ทั้งหมดจะได้รับบาดเจ็บไปบ้าง แต่สีหน้าของทุกคนก็ยังคงเต็มไปด้วยความภูมิใจ เห็นได้ชัดว่ามีความสุขอย่างยิ่ง หนำซ้ำยังมีศิษย์บางคนทะลวงขอบเขตระดับใหม่ได้อีกด้วย นั่นยิ่งทำให้พวกเขาดีใจมากกว่าเดิม
ช่วงเวลาสิบกว่าวันมานี้ เซียวฮั่นล้วนแต่นั่งเงียบ ๆ ไม่ได้ไปติดตามสังเกตดูการฝึกฝนของเหล่าศิษย์ตระกูลซู ส่วนใหญ่เขาจะนั่งขัดสมาธิหลับตา ดูเหมือนพักผ่อน แต่ความจริงแล้วกำลังดูดซับพลังมรณะที่ดินแดนรกร้างมรณะตลอดเวลา
ดินแดนรกร้างมรณะมีสัตว์ปีศาจร่วงตายเป็นจำนวนมากทุกวัน ด้วยเหตุนี้จึงสามารถรวบรวมพลังมรณะได้มหาศาล สำหรับเซียวฮั่นแล้วพลังมรณะถือเป็นของดียิ่งนัก โดยเฉพาะพลังทั้งหมดของเขาที่ถูกกลประทับไว้เช่นนี้
ซูหงไท่คอยสังเกตเซียวฮั่นตลอดเวลา แต่เมื่อเขาเห็นเซียวฮั่นนั่งหลับตาทั้งวัน นานเข้าจึงเลิกตามสังเกต มีก็แต่ซูเสี่ยวเสี่ยวที่เข้าไปคุยกับเซียวฮั่น เพราะสงสัยใคร่รู้ในประวัติของเขา
ทว่าทุกครั้งเซียวฮั่นก็มักจะไม่ปริปาก แต่กลับเอ่ยเรื่องตำนานที่เคยเกิดขึ้นบนเก้ามหาทวีปกับซูเสี่ยวเสี่ยว ทำให้ซูเสี่ยวเสี่ยวสนใจฟังอย่างออกรสออกชาติ
วันนี้ไม่ต่างจากวันก่อนหน้า ลูกศิษย์ตระกูลซูยังคงฝึกฝนอยู่เช่นเดิม ส่วนเซียวฮั่นก็ยังคงนั่งขัดสมาธิ ทางด้านซูหงไท่คอยตามสังเกตเหล่าลูกศิษย์ หากว่าเกิดเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิตเขาจะได้ช่วยเหลือได้ทันท่วงที
ทันใดนั้นเซียวฮั่นพลันลืมตาขึ้น ดวงตาลึกล้ำคู่นี้เปล่งประกายแสงมรณะเข้มข้น ผู้ใดพบเจอต่างพากันหวาดกลัว ราวกับว่าในสายตาเขาทุกสิ่งอย่างล้วนม้วยมรณาไปสิ้นแล้ว
ทันทีที่เซียวฮั่นลืมตา สีหน้าของซูหงไท่พลันแปรเปลี่ยนเช่นกันเพราะสัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นที่รายล้อมพวกเขา และในกลิ่นคาวเลือดยังเจือด้วยจิตสังหารรุนแรง ที่แท้คือเหล่ายอดฝีมือแห่งสมาคมเลือดสังหารกำลังล้อมพวกเขาอยู่ !
………………..