ครองภพสยบนิรันดร์ - ตอนที่ 109
ตอนที่ 109: ซูหงไท่!
ดินแดนรกร้างมรณะเต็มไปด้วยสัตว์ปีศาจและสมบัติ ส่งผลให้ยอดฝีมือจำนวนมากฝ่าอันตรายเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ยอดฝีมือเหล่านี้มีจุดแข็ง จุดอ่อน มีตระกูล มีสำนัก บ้างเดินทางมาลำพัง บ้างก็มาเป็นกลุ่ม ปะปนกันไป
คนส่วนมากต่างมุ่งหน้ามาหาสมบัติ และมีคนรุ่นเยาว์อีกไม่น้อยที่เข้ามาในดินแดนรกร้างมรณะเพื่อฝึกประสบการณ์ของตนเองภายใต้การนำทางของผู้อาวุโส
ทว่าถึงแม้ดินแดนรกร้างมรณะจะน่าหวาดผวา แต่ตราบใดที่ระมัดระวังและไม่เข้าไปลึก ก็จะพบกับอันตรายน้อยมาก ด้วยเหตุนี้จึงเหมาะกับคนรุ่นเยาว์ที่ต้องการขัดเกลาความสามารถในการสู้รบและการรับมือเมื่อเผชิญหน้ากับอันตราย ทั้งยังสามารถฝึกฝนพลังจิตได้อีกด้วย
ดังนั้นสำนัก ตระกูล และขุมอำนาจจำนวนมากจึงยินดีที่จะนำคนรุ่นเยาว์ไปฝึนฝนในดินแดนรกร้างมรณะแห่งนี้ สำนักและตระกูลเหล่านี้ มีทั้งใหญ่ทั้งเล็ก เพียงแต่ล้วนเป็นขุมอำนาจระดับสาม มีเพียงขุมอำนาจระดับสองไม่กี่ขุมเท่านั้นที่ยินยอมให้ศิษย์ชั้นยอดในสำนักเข้ามาฝึกตนในที่แห่งนี้
สำนักหย่านเยว่เป็นขุมอำนาจระดับสองในทวีปตงโจว ส่วนซูหงไท่ผู้นำตระกูลซูเป็นยอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิ และในตระกูลซูมียอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิเพียงสามคนเท่านั้น นอกจากนี้ตระกูลซูทั้งตระกูลยังเป็นขุมอำนาจเล็กที่ไม่อาจเล็กไปได้มากกว่านี้บนมหาทวีปตงโจว
เพียงแต่อย่างไร ตระกูลซูก็เป็นขุมอำนาจระดับสาม ดังนั้นเมื่ออยู่ในดินแดนรกร้างมรณะก็นับว่ามีชื่อเสียงอยู่บ้าง ยามนี้ซูหงไท่ผู้นำตระกูลพาศิษย์ของตระกูลซูหลายคนออกเดินทางเข้าไปในดินแดนรกร้างมรณะเพื่อตั้งใจจะฝึกฝนพวกเขา
ศิษย์ของตระกูลซูเหล่านี้ล้วนแต่เป็นอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่เก่งกาจ ดังนั้นเพื่ออบรมพวกเขา ซูหงไท่ผู้เป็นผู้นำตระกูลจึงดูแลความปลอดภัยของศิษย์ทั้งหลายด้วยตนเอง อย่างไรพวกเขาก็เป็นอนาคตของตระกูลซู ไม่อาจสูญเสียไปได้แม้เพียงคนเดียว
เพียงแต่หลังจากออกเดินทางเข้าไปในดินแดนรกร้างมรณะเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม พวกเขาก็พบกับศพที่เต็มไปด้วยคราบโลหิตนอนเกลื่อนทอดยาวด้านหน้า เห็นได้ชัดว่าตายมานานมากแล้ว
“ทุกคนระวังให้ดี!”
เมื่อเห็นศพที่ทอดยาวอยู่บนพื้นอย่างแปลกประหลาด ซูหงไท่ก็พลันมีสีหน้าแข็งค้างอย่างอดไม่ได้ แม้ว่าที่แห่งนี้จะยังเป็นเขตด้านนอกของดินแดนรกร้างมรณะ ยังไม่อันตรายเท่าใดนัก แต่ก็อาจมีอันตรายเกิดขึ้น
โดยเฉพาะสัตว์ปีศาจระดับสูงที่พลัดหลงมาจากส่วนที่ลึกที่สุดของดินแดนรกร้างมรณะ หากถูกพวกมันพบเจอเข้า เกรงว่าด้วยพลังของเขา ก็คงสกัดไว้ไม่อยู่ ผลที่ตามมานั้นคงวินาศสันตะโรทั้งหมด เลวร้ายจนคาดไม่ถึง
“ท่านปู่ คนผู้นี้ดูเหมือนจะยังไม่ตายใช่ไหม? เขายังหายใจรวยรินอยู่”
ทันใดนั้น เสียงอันไพเราะก็ดังขึ้น สาวน้อยคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างซูหงไท่ชี้นิ้วออกไปยังเงาร่างที่เต็มไปด้วยคราบเลือดพลางเอ่ยขึ้นมา
สาวน้อยชุดดำผู้นี้อายุสิบแปดปี รูปร่างสูงยาวสะโอดสะอง งดงามดุจบุปผา นับว่าเป็นโฉมสะคราญผู้หนึ่ง
“น้องหญิง คนผู้นี้ไม่รู้ว่าดีหรือร้าย หากพวกเราฝ่าอันตรายไปช่วยเหลือเขา เกรงว่าจะไม่สมควรอย่างยิ่ง ในความคิดของข้า พวกเราไปทางอ้อมกันเถิด”
หลังจากฟังคำของสาวน้อยชุดดำ ชายฉกรรจ์หนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ในชุดคลุมสีเหลืองกำลังถือหอกที่ยืนอยู่ข้างหลังนางก็รีบห้ามไว้ทันที
เมื่อสาวน้อยชุดดำได้ยินดังนั้น ก็มุ่นคิ้วอันงดงามอย่างอดไม่ได้พลางเอ่ยทันที “ว่ากันว่าช่วยชีวิตคนดีกว่าสร้างเจดีย์อยู่เจ็ดขั้น อีกนัยหนึ่ง ท่าทางเขาเช่นนี้ ต่อให้เป็นคนไม่ดีก็ทำอันตรายอะไรพวกเราไม่ได้ ”
“ฮ่า ๆ เด็กน้อยเอ๋ย ที่ซูเจี้ยนกล่าวนั้นไม่ผิด ถึงอย่างไรก็ต้องระวังเอาไว้ก่อน เพียงแต่การช่วยชีวิตคนหนึ่งชีวิตดีกว่าสร้างเจดีย์อยู่เจ็ดขั้น ในเมื่อพวกเราพบเขาแล้ว ก็ไม่อาจเห็นคนใกล้ตายแล้วไม่ช่วย”
ซูหงไท่ลูบเคราสีเทาของตนพลางหัวเราะเล็กน้อย
แน่นอนว่าการที่ซูหงไท่ให้คำมั่นสัญญากับหลานสาวซูว่าจะออกมือช่วยชีวิตนั้น ไม่ใช่ไม่ได้ตรึกตรองมาก่อน เงาร่างที่อยู่ข้างหน้าดูเยาว์วัยมาก ทั้งยังได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นจึงไม่เป็นอันตรายต่อพวกเขา จะช่วยก็ไม่เห็นเป็นอะไร
“แต่!”
ซูเจี้ยนได้ยินดังนัั้นก็เตรียมเอ่ยปาก เพียงแต่ถูกขัดจังหวะโดยซูหงไท่ เห็นดังนั้นซูเจี้ยนจึงทำอะไรไม่ถูก
การที่พวกเขาเข้ามาฝึกฝนหาประสบการณ์ที่ดินแดนรกร้างมรณะ เดิมทีก็มีอันตรายเต็มไปหมดทุกหนแห่ง ยามนี้ยังต้องมาช่วยเหลือผู้ป่วยบาดเจ็บสาหัส สิ่งนี้จะไม่ยิ่งอันตรายและวุ่นวายมากขึ้นได้อย่างไรกัน
ภายใต้การช่วยเหลือของศิษย์ตระกูลซูสองคน ซูหงไท่จึงให้โอสถฟื้นฟูแก่เงาร่างที่ได้รับบาดเจ็บนี้ โอสถฟื้นฟูคือโอสถรักษาระดับสามที่ใช้รักษาผู้ป่วย ซูหงไท่นำโอสถระดับนี้ออกมาช่วยคนแปลกหน้าถือเป็นการกระทำที่ใจกว้างอย่างแท้จริง
“แค่ก ๆ !”
เนื่องด้วยโอสถฟื้นฟู เงาร่างนั้นก็ไอขึ้นมาอย่างรุนแรงทันที พลังชีวิตสีเขียวโอบล้อมเงาร่างนี้ไว้ เห็นได้ชัดว่าโอสถฟื้นฟูเริ่มรักษาอาการบาดเจ็บแล้ว
“พวกเราทำสุดความสามารถแล้ว จะฟื้นหรือไม่ฟื้นก็ขึ้นอยู่กับโชคของเจ้า”
กล่าวได้ว่า อาการบาดเจ็บของคนผู้นี้รุนแรงมาก ในใจของซูหงไท่ก็ยังไม่มั่นใจ อย่างไรอาการบาดเจ็บเช่นนี้ แม้แต่เขาเองก็ยากที่จะประคับประคอง
เงาร่างนี้คือเซียวฮั่นที่ถูกพลังทั้งหมดผนึกไว้ ภายใต้กลประทับกฎแห่งสวรรค์ พลังทั้งหมดของเขาถูกผนึก ยังดีที่เขาสามารถสำแดงร่างเทพศักดิ์สิทธิ์อมตะ ดังนั้นแม้จะได้รับบาดเจ็บอย่างหนักในมรสุมอากาศ แต่ก็ยังรอดชีวิตมาได้
แม้พลังทั้งหมดของเซียวฮั่นจะถูกผนึกไว้ แต่ร่างเทพศักดิ์สิทธิ์อมตะยังคงอยู่ และสิ่งนี้หมายความว่า แม้แต่การโจมตีสุดกำลังของยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ราชันก็ไม่มีทางทำลายกายหยาบของเขาได้
แต่ทว่าเซียวฮั่นกลับหมดหนทางใช้พลังใด ๆ และไม่แตกต่างจากคนทั่วไป อย่างไรนั่นก็คือกลประทับระดับกฎแห่งสวรรค์ เมื่อเผชิญหน้ากับกลประทับชนิดนี้ ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถปลดผนึกได้อย่างง่ายดาย แม้แต่เขาเองก็ไม่มีวิธี
แม้กระทั่งยอดฝีมือขอบเขตเทพแท้จริงเมื่อเผชิญหน้ากับกลประทับเช่นนี้ก็ยังทำได้เพียงถูกกลประทับหยุดพลังของตน ท้ายที่สุดก็กลายเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีแม้แต่แรงจะเชือดไก่
“เพื่อจะกำจัดข้าถึงกับมาไม้นี้เชียวรึนี่”
เมื่อรับรู้สติกลับคืน เซียวฮั่นจึงเลิกเปลือกตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ฉับพลันในดวงตามีสาวน้อยรูปโฉมงดงามหยาดเยิ้มรูปร่างสะโอดสะองกำลังใช้ดวงตางามหยดจ้องมองเขาอยู่
“ท่านปู่ เขาฟื้นแล้ว!”
เมื่อสาวน้อยซูเห็นเซียวฮั่นลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ ก็รีบเอ่ยกับซูหงไท่อย่างดีอกดีใจทันที
“ฮ่า ๆ ดูเหมือนว่าพลังชีวิตของเจ้าหนุ่มคนนี้สูงล้ำไม่เบา” ได้ยินดังนั้น ซูหงไท่ก็เอ่ยพลางยิ้มตาหยี
ทันทีที่เซียวฮั่นฟื้นขึ้นมา เขาก็คิดจะใช้จิตเทพสำรวจสภาพของตน แต่เมื่อจิตโคจร พลังแห่งจิตวิญญาณอันมากมายมหาศาลของตนกลับถูกผนึกไว้ จึงไม่มีทางใช้พลังใด ๆ ออกมาได้เพียงเสี้ยว
แต่ถึงไม่ใช้จิตเทพ ตัวเซียวฮั่นก็รู้สึกได้ว่าอาการบาดเจ็บของตนนั้นสาหัสมาก ราวกับว่าทั่วทั้งร่างพังทลายก็มิปาน เห็นได้ชัดว่ากระดูกทั้งร่างได้แตกสลายเป็นชิ้น ๆ
หากไม่ใช่เพราะร่างเทพศักดิ์สิทธิ์อมตะ เกรงว่าเซียวฮั่นคงตกตายไปแล้ว เพียงแต่เพราะพลังวิญญาณอันมากมายมหาศาลในร่างกายตนได้ถูกผนึกไว้ ความเร็วในการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของเขาจึงช้ามาก มิเช่นนั้นด้วยอาการบาดเจ็บนี้ เพียงพริบตาเดียวก็ฟื้นคืนดังเดิมแล้ว
“เจ้าหนุ่ม ไม่ทราบว่าเจ้ามีชื่อเสียงเรียงนามว่าอันใด? เหตุใดจึงได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้?”
เมื่อเห็นเซียวฮั่นค่อย ๆ ได้สติ ซูหงไท่ก็เดินไปข้างหน้าพลางถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
“ข้าชื่อเซียวฮั่น ขอบคุณท่านที่ช่วยชีวิตข้า”
เมื่อเผชิญหน้ากับการซักถามของซูหงไห่ เซียวฮั่นจึงตอบกลับเพียงครึ่งประโยคแรก ส่วนเหตุใดจึงได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ไม่ได้ตอบกลับไป
เมื่อซูหงไท่เห็นเซียวฮั่นไม่อยากตอบจึงไม่ได้ถามอะไรมาก คนยิ้มพร้อมกับเอ่ยขึ้น “อย่าได้ถือสา เมื่อเห็นผู้ตกยากเราก็แค่ช่วยเหลือ ที่สำคัญที่สุดคือชีวิตของเจ้าเอง บาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าจะยังฟื้นคืนสติได้”
ได้ยินดังนั้นเซียวฮั่นเพียงคลี่ยิ้ม ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ เขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนักเช่นนี้เพราะเกิดจากมรสุมอากาศ แม้ว่าจะไม่สามารถฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิต อย่างไรเขาก็ได้บรรลุร่างเทพศักดิ์สิทธิ์อมตะขอบเขตเล็ก ๆ แล้ว หากคิดจะสังหารเขาก็นับว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
และเนื่องด้วยการรวมกลุ่มเข้าไปในตระกูลซูของเซียวฮั่น ความเร็วในการเดินทางจึงช้าลงอย่างมาก ศิษย์ตระกูลซูจำนวนไม่น้อยบ่นพึมพำอย่างไม่พอใจ เพียงแต่เมื่อนึกถึงว่าเซียวฮั่นเป็นผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส พวกเขาก็ไม่ได้ลงไม้ลงมือ เพียงแค่เอ่ยอย่างไม่พอใจออกมาเท่านั้น
เมื่อเซียวฮั่นได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้คิดอันใด ยามนี้เขาถูกศิษย์ตระกูลซูสองคนหามบนเปลอย่างง่ายดาย คนทั้งร่างหลับตาลงแล้วฟื้นฟูอาการบาดเจ็บอย่างช้า ๆ
แน่นอนว่าหากการพึ่งพาแต่กายหยาบ เกรงว่าคงต้องใช้เวลานานมาก แม้พลังของเซียวฮั่นจะถูกผนึกไว้ แต่ขอบเขตระดับพลังของเขากลับไม่ได้ถูกยับยั้ง ดังนั้นการควบคุมพลังธาตุทั้งห้าและวิถีเต๋าจึงไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก
เซียวฮั่นที่ดูเหมือนกับนอนหลับตา ในความเป็นจริงกำลังลอบดูดซับพลังมรณะที่มีอยู่ทั่วดินแดนแห่งนี้ และหลังจากพลังมรณะเหล่านี้ถูกดูดเข้ามาในร่างกายของเขา ก็จะเปลี่ยนเป็นพลังชีวิตไร้ที่สิ้นสุดมารักษาอาการบาดเจ็บได้ ดังนั้นถึงอาการบาดเจ็บของเขาจะรุนแรงมาก แต่ความเร็วในการรักษาก็เร็วมากเช่นกัน
หลังจากอาการบาดเจ็บใกล้จะหายดีแล้ว เซียวฮั่นก็สามาถเดินเหินได้อย่างอิสระ ด้วยเหตุนี้หลังจากเห็นเซียวฮั่นฟื้นตัวจนเกือบหายในเวลาอันสั้น ในใจของซูหงไท่ก็เกิดความตกตะลึง เขารู้ชัดแจ้งเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของเซียวฮั่น กระดูกทั่วร่างแตกสลาย อาการบาดเจ็บเช่นนี้ เว้นแต่จะเป็นโอสถที่สูงกว่าระดับห้า มิเช่นนั้นก็ไม่สามารถฟื้นฟูได้ในเวลาอันน้อยนิด
หรือยังมีความเป็นไปได้อีกอย่าง นั่นก็คือชายหนุ่มผู้นี้เป็นยอดฝีมือที่มีพลังอันลึกซึ้ง แต่จุดนี้ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะซูหงไท่สำรวจเซียวฮั่นมาแล้ว ในร่างของเขาไม่มีคลื่นพลังวิญญาณใด ๆ เห็นได้ชัดว่าเป็นคนธรรมดา ทั้งยังเป็นคนธรรมดาที่ไม่เคยสัมผัสกับการบำเพ็ญเพียร มิเช่นนั้นคงต้องสัมผัสถึงพลังใด ๆ ได้สักน้อยแล้ว
ดังนั้นซูหงไท่จึงประหลาดใจมากว่าเซียวฮั่นฟื้นฟูอาการบาดเจ็บอย่างรวดเร็วได้อย่างไร สำหรับเรื่องนี้เขาครุ่นคิดเป็นร้อยครั้งก็มิอาจเข้าใจ ส่วนศิษย์ตระกูลซูคนอื่น ๆ กลับไม่แปลกใจอะไร ในความคิดของพวกเขา เซียวฮั่นสามารถฟื้นฟูได้เร็วเช่นนี้ก็เพราะโอสถฟื้นฟูทั้งสิ้น อย่างไรโอสถฟื้นฟูก็เป็นโอสถรักษาระดับสาม เมื่อได้กินโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์รักษาไปหนึ่งเม็ดก็จะฟื้นคืนสู่สภาพเดิม
แน่นอนว่าความคิดนี้เป็นเพียงความคิดที่อยู่ในใจของศิษย์ที่มีพลังขอบเขตก่อกำเนิดเท่านั้น สำหรับซูหงไท่ โอสถฟื้นฟูระดับสามผลไม่ได้มีผลลัพธ์น่าทึ่งเยี่ยงนี้ อย่างมากก็รักษาอาการบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ไม่สามารถกระทำเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน!
…………………