ครองภพสยบนิรันดร์ - ตอนที่ 107
107: หนึ่งกระบี่ไร้ข้า!
สิ่งที่ต้องจ่ายออกไปนับว่าคุ้มค่า เพราะต่อให้ราคาสูงกว่านี้ ตระกูลเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดก็เข้าใจดีว่าวันนี้ไม่ว่าราคาใด พวกเขาก็ต้องจ่าย
แต่ถึงแม้จะจ่ายราคานี้ออกไป ในใจของพวกเขาก็ยังไร้ซึ่งความเชื่อมั่น เพราะเซียวฮั่นนั้นแข็งแกร่งเกินไป แม้จะเผชิญหน้ากับห้าวิญญาณรวมเป็นหนึ่งก็ยังไม่สะทกสะท้าน สิ่งนี้ทำให้ในใจของพวกเขาหดหู่อย่างอดไม่ได้ เพียงแต่หลังจากอัญเชิญกริชเทพสังหารศาสตราเทพศักดิ์สิทธิ์วิเศษ พวกเขาถึงได้มีความมั่นใจขึ้นมาบ้าง
กริชเทพสังหารคือศาสตราเทพศักดิ์สิทธิ์ของเย่จู่เทียนซึ่งเป็นบรรพบุรุษของพวกเขา ผู้เป็นยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ราชันที่โด่งดัง และกริชเทพสังหารก็คือศาสตราที่บรรพบุรุษของพวกเขาทุ่มแรงกายหล่อหลอมขึ้นมา ถึงขนาดลือกันว่ามียอดฝีมือขอบเขตเทพแท้จริงมาช่วยในการหลอม กล่าวได้ว่ากริชเทพสังหารคือไพ่ตายใบสุดท้ายของตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์
การปรากฏตัวของกริชเทพสังหารทำให้อากาศพลันแข็งค้าง อานุภาพข่มขวัญหลั่งไหลออกมาจากเงาร่างยักษ์และกริชเทพสังหารอย่างไม่ขาดสาย ยังผลให้ยอดฝีมือจำนวนมากตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว เงามหึมาซึ่งถือกริชเทพสังหารในยามนี้ เกรงว่าคงสามารถต่อสู้กับยอดฝีมือเทพศักดิ์สิทธิ์ทรราชได้อย่างสูสี ส่วนเซียวฮั่นจะสามารถเอาชนะได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับไพ่ตายของเขาแล้วว่าจะแข็งแกร่งเพียงใด
“เทพสังหารโจมตี!”
ไร้ซึ่งความลังเล ไร้ซึ่งความหวั่นไหว มือกุมกริชเทพสังหาร เงายักษ์ตะโกนออกมาด้วยความพิโรธหนึ่งเสียง จากนั้นเทพสังหารวิถีทำลายระดับราชันก็สำแดงออกมา
ด้วยการกวัดแกว่งของกริชเทพสังหาร โลกและสวรรค์ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนภายใต้สายตาผู้คนนับไม่ถ้วน รอยแตกร้าวของมิติอันน่าหวาดผวาแตกระแหงทั่วทั้งมหาทวีปหนานโจว ภายใต้การโจมตีของกริชเทพสังหาร เพียงพอจะบดมหาทวีปหนานโจวทั้งทวีปจนแหลกละเอียด
“หมื่นกระบี่ซ่อนคม!”
เมื่อเผชิญหน้ากับการจู่โจมอันน่าหวาดผวานี้ รัศมีกระบี่ในดวงตาของเซียวฮั่นพลันเปล่งประกายวาบ ยามนี้เขาได้ผันแปรเป็นจักรพรรดิท่ามกลางกระบี่ รัศมีกระบี่นับไม่ถ้วนมารวมตัวกันรอบ ๆ และก่อตัวเป็นการตั้งรับที่แข็งแกร่งที่สุด
กระบี่มีสี่ขอบเขต มีกระบี่ในมือ แต่ใจไร้ซึ่งกระบี่คือผู้งมงายกระบี่ มีกระบี่ในมือ และมีกระบี่อยู่ในใจคือผู้ใช้กระบี่ หากในมือไร้กระบี่ แต่ในใจมีกระบี่ เช่นนี้เรียกเทพศักดิ์สิทธิ์กระบี่ ทว่ามือไร้กระบี่ และในใจก็ไร้กระบี่ด้วย เช่นนี้ก็คือเทพกระบี่
ไม่ว่าจะเป็นภพก่อนหรือภพนี้ เซียวเฟิงได้บรรลุคนและกระบี่รวมกันเป็นหนึ่ง อยู่เหนือพันธนาการของขอบเขตวิถีกระบี่ไร้เทียมทาน โดยเฉพาะในภพนี้ เซียวเฟิงได้บรรลุถึงขั้นที่สูงยิ่งกว่าอย่างกระบี่คือกระบี่ ข้าคือข้า กระบี่มิใช่กระบี่ ข้ามิใช่ข้า กล่าวได้ว่าความลึกซึ้งของเขาในวิถีกระบี่ได้บรรลุขั้นสุดยอด เป็นระดับที่ผู้คนมิอาจไล่ตามทันได้
ระหว่างที่นึกคิดก็สามารถกลายเป็นวิถีเต๋าไร้เทียมทาน ไม่ว่าเคล็ดกระบี่ใดก็สามารถเลือกใช้ได้ตามใจประสงค์ และหมื่นกระบี่ซ่อนคมนี้ คือเคล็ดกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งมีไว้ปกป้องเจ้าของ รอเพียงหนึ่งกระบี่ซึ่งเปล่งประกายที่สุดเท่านั้น
แม้การจู่โจมของเทพสังหารจะทลายสวรรค์ดับพสุธา แต่หมื่นกระบี่ซ่อนคมของเซียวฮั่นนั้นกลับมิได้เคลื่อนไหว ปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามสะเทือนฟ้าโหมคลื่นยักษ์ ส่วนเขายังคงยืนนิ่งเฉกเช่นก้อนหินโง่เขลา
เมื่อพลังแห่งการทำลายล้างของกริชเทพสังหารกวาดล้างไปทั่วทั้งมหาทวีปหนานโจว ไม่รู้ว่ามียอดฝีมือกี่คนตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว แม้การโจมตีนี้จะเทียบไม่ได้กับสงครามอันน่าหวาดผวาในดินแดนโบราณ แต่ก็นับได้ว่าทำให้โลกตกตะลึงอย่างแน่นอน
“หนึ่งกระบี่ไร้ข้า!”
…………..
**ฉึบ**
“อั่ก!”
ขณะที่ผู้คนนับไม่ถ้วนกำลังตกใจกับการจู่โจมของกริชเทพสังหาร รัศมีเย็นเยือกพลันวาบผ่านท้องนภาในทันใด และรัศมีอันหนาวเหน็บนี้ก็มาได้อย่างไม่คาดฝันเพียงนั้น เจิดจ้ากระจ่างตาเพียงนั้น
หนึ่งกระบี่ไร้ข้า เมื่อกระบี่นี้ออกไป สังหารเทพผีปีศาจ! และโค่นเซียน!
กระบี่อันแวววาวได้ทำลายพลังการโจมตีของเทพสังหารโดยตรง เมื่อรัศมีกระบี่สะท้านฟ้าปรากฏขึ้นมา ไม่รู้ว่ามีกี่สายตาที่ยังแข็งค้างอยู่ในยามนี้ แม้แต่เงาร่างมหึมาก็มีสีหน้านิ่งตะลึงไปชั่วขณะ เงาร่างทั้งห้าสายซึ่งอยู่ในเงาร่างมหึมาล้วนจ้องเขม็งไปยังเบื้องหน้า
“กระบี่นี้! เกรงว่าคงไม่มีใครทัดเทียมได้!”
เย่อู่เทียน บรรพบุรุษรองของตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์พึมพำออกมา เพียงชั่วครู่หว่างคิ้วของเขาก็ปรากฏรอยกระบี่หนึ่งสายเจาะทะลวง และเช่นเดียวกันกับเขา ยามนี้คนอื่นอีกสี่คนก็ปรากฏรอยกระบี่ที่ระหว่างคิ้ว
หนึ่งกระบี่ไร้ข้า สิ่งนี้คือกระบี่ที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าหมื่นกระบี่ดับโลกา เป็นเคล็ดกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดที่เซียวฮั่นครอบครอง และกระบี่เช่นนี้ มิอาจใช้ถ้อยคำใด ๆ มาบรรยายได้ แม้แต่คำว่าบรรลุถึงขั้นสุดยอดก็ยังนำมาอธิบายไม่ได้ กระบี่เล่มนี้ถึงจุดสูงสุดของวิถีกระบี่แล้ว เกรงว่านอกจากตัวเซียวฮั่นเอง ก็ไม่มีผู้ใดอยู่เหนือกว่า
“แกร่ก!”
เนื่องด้วยการปรากฏตัวของกระบี่สะท้านโลกันต์ หว่างคิ้วของเงายักษ์ค่อย ๆ ปรากฏรอยร้าวขึ้น รอยกระบี่สายนี้ได้แบ่งเงายักษ์และกริชเทพสังหารที่กุมอยู่ในมือออกเป็นสองส่วน สิ่งที่ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนก็ยังมีห้ามิติเล็ก ๆ เหนือศีรษะของเงายักษ์ที่ได้หลอมรวมกันเป็นมิติใหญ่ รวมถึงยอดฝีมือขอบเขตทรราชและราชันทั้งหมดที่อยู่ภายในมิติใหญ่นั้นด้วย
ยามที่รัศมีกระบี่สะท้านโลกันต์ปรากฏ คนเหล่านี้ล้วนตกตายไปจนสิ้น สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในดวงตาของพวกเขากลับเป็นสิ่งที่ทำให้โลกตกตะลึง กระบี่สะท้านฟ้าเล่มนี้ มิอาจใช้คำว่าอัศจรรย์มาอธิบายได้ กล่าวได้ว่าพวกเขาสามารถตายภายใต้กระบี่เล่มนี้ กระทั่งเป็นเกียรติแก่พวกเขาด้วย
หนึ่งกระบี่ไร้ข้า ไร้กระบี่ไร้ข้า หนึ่งกระบี่ไร้คู่ต่อกร! ภายใต้กระบี่ ยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ห้าคน ยอดฝีมือขอบเขตราชันนับร้อย และยอดฝีมือขอบเขตทรราชนับพันล้วนต้องตกตายทั้งสิ้น และกระบี่เล่มนี้ ไม่เพียงแต่ผ่าแยกกายหยาบของพวกเขา แม้แต่จิตวิญญาณก็ยังถูกแยกเป็นสองส่วนด้วยหนึ่งกระบี่ กระบี่เช่นนี้เป็นตัวแทนของวิถีกระบี่ไร้เทียมทาน แม้แต่เทพผีปีศาจยังต้องโลหิตสาดกระเซ็นไปสามพันลี้
เมื่อรัศมีของกระบี่สะเทือนฟ้าเล่มนี้หายไป รัศมีกระบี่ยาวร้อยล้านลี้ที่ตัดขวางกับปราณกระบี่เปล่งแสงส่องประกายไปบนเก้าทวีป แม้แต่ยอดฝีมือที่อยู่ห่างออกไปนับร้อยล้านลี้ก็ยังรู้สึกได้ถึงปราณกระบี่อันน่าหวาดผวาที่ตัดขวางกับเก้าชั้นฟ้า
ภายใต้ปราณกระบี่นี้ ไม่รู้ว่ามียอดฝีมือกี่คนที่ตัวสั่นเทาไปด้วยความหวาดหวั่น แม้จะเป็นเพียงปราณกระบี่ แต่กลับทำให้คนทั้งหมดล้วนไม่มีทางเผชิญหน้า ราวกับว่าตราบใดที่มีปราณกระบี่สายนี้ ชีวิตของพวกเขาก็จะถูกช่วงชิงไปก็มิปาน
ภายใต้กระบี่สะเทือนฟ้า ทั่วทั้งโลกและสวรรค์หลงเหลือเพียงความเงียบสงัด ในแววตาของผู้คนนับไม่ถ้วนมีเพียงความตกตะลึง หนึ่งกระบี่ที่ไม่มีทางเอาชนะได้ กระบี่เล่มนี้อยู่เหนือทุกสิ่งไปเสียแล้ว ในโลกหล้าอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเพียงเซียวฮั่นเท่านั้นที่สามารถสำแดงเดชของกระบี่เล่มนี้ออกมาได้
ร่างสูงยืนตระหง่าน ชุดขาวโพลนราวหิมะ ยามนี้เซียวฮั่นยืนอยู่ในความว่างเปล่าอย่างเงียบงัน ประหนึ่งรูปปั้นที่ตั้งอยู่ตรงนั้นมาแต่โบราณกาล
“ความเปล่าเปลี่ยวของข้า ผู้ใดเลยจะรู้!”
แม้ว่าจะแสดงอิทธิฤทธิ์ของกระบี่สะท้านโลกาออกมา ทว่าเซียวเฟิงกลับไม่มีความปีติยินดีแม้แต่น้อย ในด้านวิถีกระบี่ เขาได้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว ทว่ามีเพียงความเปล่าเปลี่ยวเดียวดายเท่านั้น เพราะบนโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ไม่มีผู้ใดสามารถดวลกระบี่กับเขาได้อีก
เซียวฮั่นในยามนี้เปรียบเสมือนกับต้นเหมยที่อยู่บนยอดเขาหิมะสูงหมื่นจั้ง ตั้งตระหง่านต้านลม ผมดำสนิทโบกปลิวพลิ้วไหวไปตามสายลม รอบกายแผ่ซ่านความอ้างว้างและความเดียวดายอันเลือนราง
ถึงแม้ว่าเซียวฮั่นจะได้ถือกำเนิดมาอีกครา แต่ก็ยังคงเป็นเทพกระบี่ที่มีความเปล่าเปลี่ยวที่สุด เพียงแต่ภพนี้เขามีเป้าหมายใหม่ที่ต้องไขว่คว้า หากเป้าหมายนี้สำเร็จลุล่วง บางทีเขาอาจจะยังคงกลายเป็นเทพกระบี่ผู้โดดเดี่ยวที่มีความเหงาอยู่เคียงข้าง
แน่นอนว่า ความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวนี้ ไม่ใช่อารมณ์ที่เปล่าเปลี่ยว สิ่งนี้คือความเหงาและเปล่าเปลี่ยวในวิถีกระบี่ของเขา เป็นความเหงาที่ไร้คู่ต่อกรและคู่ใจ
เมื่อสงครามยุติลง เซียวฮั่นจากไปโดยลำพัง ตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ถูกกำจัดนับแต่นั้น ยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดล้วนสิ้นชีพ ยอดฝีมือมากกว่าเก้าในสิบของตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ล้วนตกตายทั้งสิ้น หลังจากสงครามครานั้น แม้ตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์จะยังมีลูกหลานรอดชีวิตอยู่บนโลก แต่กลับสิ้นชื่อไปเสียแล้ว
และผลของสงครามครานี้ ยอดฝีมือที่เป็นประจักษ์พยานในสงครามต่างก็ปิดปากเงียบ ไม่สุงสิงกับผู้ใด แต่ในใจของทุกคนไม่มีทางลบเลือนกระบี่สะเทือนฟ้าอันน่าหวาดผวานั้นออกไปได้ เมื่อนึกถึงกระบี่เช่นนี้ขึ้นมา ในใจของยอดฝีมือทั้งหลายเหล่านั้นก็ล้วนหวาดกลัว
เนื่องด้วยการล่มสลายของตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ มหาทวีปหนานโจวทั้งทวีปก็กลายเป็นเงียบสงัดวังเวง ขุมอำนาจจำนวนมากต่างเงียบเชียบลงไป
เรือนร้อยสมุนไพร ขุมอำนาจที่อยู่เหนือกว่าระดับหนึ่งของมหาทวีปหนานโจว มีตำแหน่งเป็นเจ้ายุทธจักรไร้เทียมทาน หลายแสนปีมานี้ไม่มีผู้ใดสามารถเขย่าตำแหน่งของมันได้ นอกจากขุมอำนาจเทพแท้จริงที่กำเนิดภายใต้ชื่อจักรพรรดิร้อยสมุนไพร ยังมีสิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือเรือนร้อยสมุนไพรยังมีบรรพบุรุษที่เก่าแก่ที่สุดท่านหนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่
และบรรพบุรุษท่านนี้ ชื่อเสียงเรียงนามดังกึกก้องไปทั่วทั้งมหาทวีปหนานโจว เพราะเขาถูกขนานนามว่าเป็นอาจารย์หลอมโอสถไร้เทียมทานที่ใกล้เคียงกับเทพศักดิ์สิทธิ์โอสถที่สุด
ส่วนชื่อแซ่นั้น เกรงว่าคงมีน้อยคนที่ล่วงรู้ เพราะแม้แต่ในเรือนร้อยสมุนไพรเองก็ยังมีคนรู้ไม่มากนัก พวกเขารู้เพียงว่ามีบรรพบุรุษท่านหนึ่งซึ่งยังมีชีวิตอยู่ ทั้งยังพักอาศัยอยู่ในเรือนร้อยสมุนไพร
ในโลกใบเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยปราณวิญญาณทั่วทั้งโลกและสวรรค์ ต้นของโอสถวิญญาณสามารถพบเห็นได้ทั่วไป ภายในนั้นไม่ขาดแคลนโอสถศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งหากมองอย่างละเอียด ยังจะพบว่ามีโอสถวิญญาณหลายต้นที่แผ่กำจายท่วงทำนองเต๋าอยู่ และโอสถวิญญาณเหล่านี้คือโอสถเทพแท้จริงที่สามารถทำให้ผู้คนมากมายบ้าคลั่งได้
ยามนี้ ชายชราในชุดขาวสายตาอ่อนโยนกำลังต้มชาพลางยิ้มตาหยี เสียงอันไพเราะแผ่ออกมาจากกลิ่นหอมของชาอย่างไม่ขาดสาย หลังจากปล่อยให้คนได้ดมกลิ่น ก็จะรู้สึกสดชื่นขึ้นมา
“เย่าเฉิน ผ่านมาหลายปีเจ้าก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ชาของเจ้ายังรสเยี่ยมเช่นเคย”
อากาศสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นเงาร่างสายหนึ่งก็ปรากฏและนั่งลงทันทีโดยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา พร้อมกับบรรจงยกจอกชาตรงหน้าขึ้นมาอย่างระมัดระวังแล้วลิ้มรสอย่างพิถีพิถัน
“ฮ่า ๆ แก่แล้วก็ทำได้เพียงเจียดเวลาพักผ่อน เพลิดเพลินกับครอบครัวที่ได้อยู่กันพร้อมหน้า” ชายชราได้ยินดังนั้นก็เอ่ยพลางยิ้มตาหยีทันที เมื่อเอ่ยจบก็ยกจอกชาอย่างระมัดระวังแล้วลิ้มรสช้า ๆ
“เจ้าสุขสบายแล้ว ส่วนข้ายังไม่มีชีวิตที่ดีถึงเพียงนี้” เซียวฮั่นหัวเราะจากนั้นก็ค่อย ๆ วางจอกชาในมือลง
“หลิงเทียน เจ้าคงไม่ได้มาเพียงเพื่อเยี่ยมกระดูกแก่ ๆ ของข้าใช่ไหม?” ชายชราค่อย ๆ วางจอกชาลง ก่อนจะเอ่ยพลางยิ้มตาหยี
ได้ยินดังนั้น เซียวฮั่นก็ถึงกับยิ้มขึ้นมา คนที่รู้จักชื่อนี้มีน้อยมาก เมื่อภพก่อนเขามีนามว่าเซียวหลิงเทียน เพียงแต่ภพนี้เขาชื่อว่าเซียวฮั่น แน่นอนว่าเขายังเคยชินกับการที่คนอื่นเรียกเขาว่าเซียวเฟิง เพราะไม่ว่าจะเซียวหลิงเทียนหรือเซียวฮั่น ทั้งหมดล้วนเป็นชื่อของผู้อื่น ไม่ใช่ชื่อของเขา เขาเพียงแค่แอบอ้างร่างกายผู้อื่นเท่านั้น
“สิ่งที่เกิดขึ้นที่ดินแดนโบราณก่อนหน้านี้ นอกจากเจ้าแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดกล้าขยับเขยื้อนดินแดนโบราณ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมาเกิดอีกภพ”
ขณะมองไปยังเซียวเฟิงที่เกิดใหม่อีกภพ ในใจของเย่าเฉินก็รู้สึกตกตะลึงไปสิบส่วน เพราะเขานึกไม่ถึงว่าในโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลจะมีผู้ใดสามารถทำให้เซียวเฟิงเกิดใหม่ได้ นอกเสียจากหัวขโมยเหล่าเทียน
“เรื่องนี้ไม่มีสิ่งใดน่าแปลกใจ อย่างไรข้าก็ไม่ใช่เทพที่ทำได้ทุกอย่าง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าแม้แต่เทพก็ยังตกตายได้” เซียวฮั่นยกกาน้ำชารินใส่จอกชาของตนพลางยิ้ม จากนั้นก็บรรจงลิ้มรสไปเรื่อย ๆ
“ฮ่า ๆ กล่าวอย่างสัตย์จริง เมื่อเทียบกับเทพที่มีอำนาจเปี่ยมล้น ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีความสามารถยิ่งกว่า เพราะเจ้าทำให้ผู้คนเหลือเชื่อได้ยิ่งกว่าเทพ” เย่าเฉินส่ายศีรษะพลางหัวเราะเสียงเบาอย่างอดไม่ได้
“ใช่แล้ว เจ้ายังมิได้บอกกล่าวจุดประสงค์การมาเลยไม่ใช่หรือ มีเรื่องอันใดให้ข้าช่วยก็เอ่ยมาเถิด” เย่าเฉินก็รินน้ำชาอีกครั้ง และขณะที่จิบชาอยู่ก็ได้เอ่ยขึ้นมา..
………………..