ครองภพสยบนิรันดร์ - ตอนที่ 103
103: หนึ่งหมัดสังหาร!
“แม้ข้าน้อยจะเป็นสตรีอ่อนแอ แต่มิใช่ว่าใครจะสามารถข่มเหงรังแกได้ ในเมื่อผู้อาวุโสต้องการบีบบังคับข้า ข้าก็มีแต่ต้องขอคำชี้แนะจากท่านผู้อาวุโสแล้ว” จางหลิงหยวนยกมือเปล่าขึ้น จากนั้นพลังวิญญาณก็แผ่ซ่านไปทั่วร่าง
หลังจากได้รับเจดีย์หลิงหลงศาสตราแห่งเทพแท้จริง ภายใต้ความช่วยเหลือของเจดีย์หลิงหลง พลังของจางหลิงหยวนจึงเพิ่มขึ้นไม่น้อย จนยามนี้ได้มาถึงขอบเขตทรราชระดับสูงแล้ว
และเจดีย์หลิงหลงก็เป็นสมบัติเผ่าปีศาจ จางหลิงหยวนเองก็มีสายเลือดของเผ่าปีศาจ สำหรับนางแล้ว กล่าวได้ว่าในโลกนี้คงไม่มีสมบัติชิ้นใดเหมาะสมกับนางเท่าสิ่งนี้
“เช่นนั้นพวกข้าก็คงต้องขอล่วงเกิน!”
ได้ยินดังนั้น ยอดฝีมือของตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ทุกคนต่างก็มีสีหน้าหมองคล้ำลงไปในบัดดล สีหน้าคนทุกผู้เยือกเย็นขึ้นมาอย่างฉับพลัน
ราวกับพวกเขาตระหนักถึงผลลัพธ์นี้เอาไว้อยู่แล้วบางส่วน เพียงแต่การที่ถูกจางหลิงหยวนปฏิเสธต่อหน้าต่อตา จึงทำให้พวกเขาข่มอารมณ์ไว้ไม่อยู่ อย่างไรพวกเขาก็เป็นตัวแทนของตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์
“ทุกอย่างในวันนี้ข้าน้อยจะรับไว้เอง ตระกูลจางล้วนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หวังว่าท่านผู้อาวุโสจะปล่อยตระกูลจางไป!”
เมื่อเห็นยอดฝีมือทั้งหมดของตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ล้อมตนไว้ จางหลิงหยวนก็สูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ เฮือกหนึ่ง จากนั้นเสียงอันไพเราะน่าฟังก็ดังขึ้น
“ย่อมได้ พวกเราจะไม่แตะต้องตระกูลจางแม้เพียงปลายเล็บ เทพธิดาหลิงหยวนจงวางใจในเรื่องนี้”
ได้ยินดังนั้น ขุมอำนาจยิ่งใหญ่หลายขุมต่างพยักหน้าตอบรับ แม้แต่ตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้ปฏิเสธคำขอของจางหลิงหยวน ถึงฆ่าคนไปก็ไร้ประโยชน์ สิ่งที่พวกเขาต้องการคือเจดีย์หลิงหลง ไม่จำเป็นต้องทำให้ตระกูลจางลำบากใจ
ถึงอย่างไรตระกูลจางและขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายก็มิได้เป็นศัตรูคู่แค้น แม้จะมีการทำมาค้าขายระหว่างกัน พวกเขาก็จะไม่ใช้โอกาสนี้มาทำลายตระกูลจาง มิเช่นนั้นหากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ภาพลักษณ์ของพวกเขาจะดูย่ำแย่ ถึงอย่างไรขุมอำนาจทั้งหลายในที่นี้ล้วนเป็นขุมอำนาจยิ่งใหญ่ที่โด่งดังในมหาทวีปหนานโจว
“เช่นนั้นต้องขอขอบคุณท่านผู้อาวุโสไว้ตรงนี้ ต่อไปหลิงหยวนจำต้องล่วงเกินแล้ว!”
เมื่อเสียงเอ่ยเนิบช้าจบลง คิ้วของจางหลิงหยวนพลันเกิดประกายแสงวาบผ่าน จากนั้นเจดีย์หลิงหลงก็เปล่งประกายระยับระหว่างคิ้วของนางแล้วโผล่ขึ้นบนยอดศีรษะ
เนื่องด้วยการปรากฏขึ้นของเจดีย์หลิงหลง ยังผลให้พลานุภาพของเทพอันน่าหวาดผวากระจายไปทั่วโลกและสวรรค์ ยอดฝีมือที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตราชันล้วนหมอบคลานลงไปกับพื้นเนื้อตัวสั่นเทา ยามนี้แม้แต่ยอดฝีมือขอบเขตราชันก็ยังต้องค้อมกายลง มิอาจหาญยืดตัวตรงขึ้นมา
ภายใต้พลานุภาพเทพอันไร้เทียมทานนี้ เมืองผลศักดิ์สิทธิ์ทั้งเมืองต่างตกอยู่ในความเงียบสงัด นอกจากเงาคนที่ยืนไม่กี่เงาแล้ว คนอื่น ๆ ก็หมอบลงกับพื้น ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว
“ศาสตราแห่งเทพแท้จริง สมบัติไร้เทียมทาน!”
ขณะที่เจดีย์หลิงหลงปรากฏขึ้น ยอดฝีมือที่ยืนอยู่ทั้งหมดต่างล้วนอิจฉาตาร้อนขึ้นมาทันใด สิ่งนี้คือศาสตราแห่งเทพแท้จริง แม้แต่ตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ที่มีเทพศักดิ์สิทธิ์ถึงห้าคนก็ไม่เคยมีครอบครองแม้แต่ชิ้นเดียว กระทั่งในมหาทวีปหนานโจว ก็มีเพียงเรือนร้อยจักรพรรดิที่มีศาสตราแห่งเทพแท้จริง ทั้งยังมีเพียงหนึ่งชิ้นเท่านั้น
และหากยอดฝีมือระดับขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์มีศาสตราแห่งเทพแท้จริงไว้ในครอบครอง เกรงว่าทั่วทั้งมหาทวีปหนานโจวคงไม่มีผู้ใดเทียบเทียม ด้วยเหตุนี้ แม้แต่ยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังจ้องเจดีย์หลิงหลงอย่างอิจฉาริษยา อยากได้มาอยู่ในมือเสียเดี๋ยวนี้
“ลงมือ!”
ไม่พูดพร่ำทำเพลงใด ๆ มือนับพันนับหมื่นโบกสะบัด ยอดฝีมือขอบเขตราชันหลายคนล้วนตะโกนอย่างพิโรธ รวบรวมกฎแห่งพลังพุ่งตรงไปยังเจดีย์หลิงหลง
หากยอดฝีมือขอบเขตราชันรวบรวมกฎแห่งพลังและปล่อยออกมา นั่นก็เพียงพอที่จะทำลายเมืองผลศักดิ์สิทธิ์ทั้งเมือง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงจางหลิงหยวนผู้เป็นคนรุ่นหลังที่มีเพียงพลังขอบเขตทรราชระดับสูงคนเดียว
“ครืน!”
“อั่กกก…!”
แต่เมื่อตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์พุ่งไปตรงหน้าของจางหลิงหยวน ภาพอันน่าหวาดผวาสุดขีดก็ปรากฏขึ้น เห็นเพียงชั้นหนึ่งของเจดีย์หลิงหลงทอประกายระยิบระยับ ทันใดนั้นยอดฝีมือขอบเขตราชันสิบกว่าคนก็ถูกสังหาร แม้แต่เสียงกรีดร้องก็ยังไม่ทันได้ส่งเสียงออกมา กลายเป็นละอองโลหิตปลิวว่อนเต็มทั่วท้องนภาทันที
“ตูม! ตูม! ตูม!”
เมื่อเห็นภาพอันน่าหวาดผวานี้ ยอดฝีมือที่เดิมทีรายล้อมจางหลิงหยวนไว้ต่างพากันถอยหลังไปหลายก้าวด้วยความหวาดกลัว แม้แต่ผู้คุมกฎตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ผู้มีพลังขอบเขตกึ่งเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังถอยหลังไปหลายก้าวด้วยสีหน้าหวาดผวาอย่างหักห้ามไม่ได้
“มันคือพลังแห่งสมบัติที่ปกป้องเจ้าของ หากไม่มีพลังเหนือสามัญ อย่าคิดรนหาที่ตาย!”
ระหว่างที่เสียงของยอดฝีมือที่หลบซ่อนอยู่ดังขึ้นอย่างช้า ๆ จิตใจของใครหลายคนล้วนหวาดกลัวขึ้นมาทันใด ที่เคยหลงอยู่ในความละโมบก็ได้สติขึ้นมาหลายส่วน
ท้ายที่สุดเจดีย์หลิงหลงก็คือศาสตราแห่งเทพแท้จริงไร้เทียมทาน ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใดอยากถือก็ถือได้ตามใจชอบ มีเพียงยอดฝีมือขอบเขตเทพแท้จริงเท่านั้นที่สามารถแสดงพลังอันยิ่งใหญ่ที่สุดของศาสตราชนิดนี้ออกมาได้โดยสมบูรณ์ แม้แต่ผู้สูงส่งขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังปล่อยพลังได้เพียงเจ็ดส่วน
และในฐานะที่เจดีย์หลิงหลงเป็นศาสตราแห่งเทพแท้จริง หากต้องการปลดปล่อยพลังของมันก็จำต้องใช้พลังวิญญาณมหาศาล เกรงว่าผู้สูงส่งขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่สามารถใช้สมบัติชนิดนี้เป็นเวลานาน และจางหลิงหยวนซึ่งมีเพียงพลังขอบเขตทรราชระดับสูง ย่อมไม่อาจขับเคลื่อนให้เจดีย์หลิงหลงปลดปล่อยการโจมตีแข็งแกร่งออกมาได้
เพียงแต่สมบัตินั้นมีวิญญาณ หากมีผู้ใดประสงค์ร้ายต่อเจ้าของของมัน มันก็จะปกป้องเจ้าของ สุดชีวิต และหากคิดจะทำลายการป้องกันของสมบัติระดับเจดีย์หลิงหลง เกรงว่าคงมีเพียงผู้สูงส่งขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ออกมือเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ทำลายได้
หลังจากเห็นพลังของเจดีย์หลิงหลง ก็ยิ่งทำให้คนรู้สึกละโมบมากขึ้น แม้แต่ผู้สูงส่งขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ที่หลบซ่อนอยู่ก็ยังคิดแผนร้าย ถึงเจดีย์หลิงหลงจะปกป้องเจ้าของ แต่ทว่าไม่มีแหล่งพลังที่ใช้ได้ไม่หมดสิ้น ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องถูกช่วงชิง
ณ เมืองเทพแท้จริงโบราณ เจดีย์หลิงหลงสามารถอาศัยพลังของเมืองเทพแท้จริงโบราณทั้งเมือง แต่ยามนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว หลังจากเจดีย์หลิงหลงยอมรับเจ้าของ พลังที่สามารถปล่อยออกมาได้นั้นล้วนขึ้นอยู่กับพลังของเจ้าของ และด้วยพลังและความแข็งแกร่งของจางหลิงหยวน เกรงว่าแม้แต่อานุภาพหนึ่งในร้อยส่วนของเจดีย์หลิงหลงก็ไม่สามารถปลดปล่อยออกมาได้
“ตูมมมมม!”
อานุภาพศักดิ์สิทธิ์น่าหวาดหวั่นกวาดล้างทั่วเวหา มือยักษ์ข้างหนึ่งที่หลบซ่อนอยู่ในความมืดมิดชูขึ้นสู่นภา ก่อนจะพุ่งไปคว้าเจดีย์หลิงหลงโดยตรง ภายใต้อานุภาพศักดิ์สิทธิ์อันน่าหวาดผวานี้ ทั้งโลกและสวรรค์ล้วนสั่นสะท้าน
เมื่อเห็นมือยักษ์ข้างนี้ยื่นออกมาจากความมืด ไม่รู้ว่ามียอดฝีมือกี่คนที่เผยสีหน้ายำเกรงเกินจะเปรียบออกมา บนเก้ามหาทวีป ในสายตาของยอดฝีมือทั่ว ๆ ไปนั้น ผู้สูงส่งขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์เปรียบได้กับการดำรงอยู่เฉกเช่นเทพเซียน ยามปกติยังเป็นเทพมังกรเห็นหัวมิเห็นหาง ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงยามที่ยอดฝีมือระดับนี้ออกมือ
มือยักษ์ครอบคลุมทั้งโลกและสวรรค์ ภายใต้มือข้างนี้ แม้แต่โลกและสวรรค์ก็ถูกกุมไว้ในอุ้งมือ แต่แสงแห่งสมบัติของเจดีย์หลิงหลงยังคงเปล่งประกายต่อต้านฝ่ามือข้างนี้อย่างเด็ดเดี่ยว
“หึ!”
เมื่อเห็นเจดีย์หลิงหลงต้านทานมือของตน เจ้าของมือยักษ์ก็แค่นเสียงเย็นชาขึ้นมาทันใด กฎแห่งพลังฟ้าดินกลอกกลิ้งอย่างฉับพลัน และจางหลิงหยวนก็มีสีหน้าซีดขาวเพราะเจดีย์หลิงหลงถูกโจมตี กระทั่งสามารถเห็นเลือดเริ่มทะลักออกมาจากมุมปากของนางอย่างไม่ขาดสาย
เมื่อเห็นภาพนี้ ยอดฝีมือจำนวนไม่น้อยต่างมีสีหน้าเกรงกลัว ก่อนจะลอบรวบรวมพลัง ขอเพียงรอให้การป้องกันเจ้าของของเจดีย์หลิงหลงถูกทะลวง พวกมันก็พร้อมจะลงมือช่วงชิงในทันที
“ผู้ใดอาจหาญลงมือคนของข้า เช่นนั้นข้าก็จะทำให้มันรู้ด้วยตัวเองว่าสิ่งใดที่เรียกว่าเสียใจในภายหลัง!”
ฉับพลันนั้นเอง เสียงที่มาพร้อมกับความเย็นเยียบหลายส่วนดังขึ้นอย่างเนิบช้า ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ชายหนุ่มชุดขาวปรากฏตัวขึ้นที่ข้างกายของจางหลิงหยวน
ชายหนุ่มยืนตรงตระหง่าน ชุดขาวโพลนราวหิมะ ผมดำสนิทเยี่ยงหมึก รูปโฉมหล่อเหลาเกินจะเปรียบ และในยามนี้ใบหน้าของชายหนุ่มก็ประดับไว้ซึ่งรอยยิ้มเยือกเย็น ทำให้คนที่มองล้วนมีอาการเส้นผมและขนลุกชันอย่างห้ามไม่ได้
เมื่อชายหนุ่มผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น ผู้สูงส่งขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์หลายคนที่หลบซ่อนอยู่ต่างก็หรี่ตาลงอย่างฉับพลัน บนใบหน้าของคนทั้งร่างเผยซึ่งสีหน้าหวาดผวาสุดขีด แม้แต่ร่างของพวกมันยังสั่นเทาขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ท่าน…ท่านไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว”
ทันทีที่จางหลิงหยวนซึ่งมีใบหน้าซีดขาวเห็นเงาร่างของเซียวฮั่น ดวงหน้างามหยดย้อยก็ได้เผยรอยยิ้มดีใจสุดขีด
เซียวฮั่นไม่ได้ตอบจางหลิงหยวน สายตาทอดลงบนความว่างเปล่า เสียงเฉยชาพลางเอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ
“ในเมื่อลงมือกับผู้คนของข้า เช่นนั้นพวกเจ้าก็เตรียมตัวรับมือกับเพลิงโทสะของข้าเสีย”
มังกรย่อมมีเกล็ดย้อน และเกล็ดย้อนของเซียวฮั่นก็คือญาติพี่น้องและสหายรอบตัวเขา ไม่ว่าจะเป็นใครที่หาญกล้าลงมือ มันผู้นั้นก็ต้องเตรียมตัวรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่าเสียใจในภายหลัง และคนที่รู้จักนิสัยของเซียวฮั่น จะรู้ดีว่าเขามีชื่อเสียงเรื่องการปกป้องพรรคพวกของตนเอง
“คนรุ่นเยาว์มักเลือดร้อนหาได้ผิดแปลก แต่เช่นนี้ชักจะมากเกินไปแล้ว” ผู้สูงส่งขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเจ้าของมือยักษ์ได้ยินดังนั้นก็เอ่ยด้วยเสียงเยือกเย็น
“หากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ราชันยังจะพอไว้หน้า แต่เพียงเทพศักดิ์สิทธิ์โบราณผู้หนึ่ง แม้แต่ฝ่ามือเดียวของข้าก็ยังต้านรับไม่ได้!”
เซียวฮั่นกวาดสายตาไปในความว่างเปล่าคราหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างเรียบ ๆ
“โอหัง! ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ! รนหาที่ตาย!”
บัดนี้ ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่คิดว่าเซียวฮั่นกำลังรนหาที่ตาย อย่างที่รู้ว่าคนที่เขากำลังเผชิญอยู่นั้นคือผู้สูงส่งขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังเป็นยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์โบราณ ยอดฝีมือเยี่ยงนี้ กระทั่งในขุมอำนาจระดับหนึ่งก็ยังเป็นปรมาจารย์ที่อาวุโสที่สุด แม้ว่าจะไม่ใช่บรรพบุรุษ แต่ก็มีฐานะรองลงมา
แต่ยามนี้ผู้สูงส่งขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์บางส่วนที่หนีกลับมาจากดินแดนโบราณก็สามารถเดาจุดจบได้โดยสิ้นเชิง ถึงพวกเขาจะไม่รู้ว่าเหตุใดยักษ์ใหญ่ไร้เทียมทานอย่างเซียวฮั่นถึงต้องการเดินเหินในโลกมนุษย์ แต่พวกเขากลับรู้อย่างแจ่มแจ้งว่า แม้ผู้สูงส่งขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ในที่นี้จะรวมพลังกัน เกรงว่าก็ยังไม่สู้ชายหนุ่มคนนี้ที่อยู่เบื้องหน้าเพียงคนเดียว ถึงขนาดที่ชายหนุ่มผู้นี้ดีดนิ้วก็สามารถกำจัดพวกเขาได้
อย่างไรชายหนุ่มคนนี้ก็เพิ่งจะสร้างสงครามพินาศปฐพีอันน่าหวั่นเกรง ทั้งยังปรากฏตัวอย่างปลอดภัยต่อหน้าคนทั้งหมด สิ่งนี้หมายถึงอะไร? ผู้สูงส่งขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ที่หลบหนีออกจากดินแดนโบราณเหล่านั้นไม่กล้าแม้แต่จะคิด
“หึ! ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ต่อให้ตาแก่อย่างข้าจะยืนให้โจมตีหมื่นฝ่ามือ เกรงว่าเด็กอย่างเจ้าก็ทำให้ข้าบาดเจ็บไม่ได้แม้เพียงนิด!”
คนแค่นเสียงเยือกเย็น ผู้สูงส่งขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นยังคงไม่แสดงตัวออกมา แต่เขากลับมั่นใจอย่างยิ่งว่าเซียวฮั่นไม่ใช่อย่างที่วิพากษ์วิจารณ์กัน คิดจะเอาชนะด้วยฝ่ามือเดียวนั้น เว้นแต่ว่าจะเป็นยอดฝีมือที่อยู่สูงกว่าขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ราชัน หาไม่แล้วต่อให้เป็นยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์สวรรค์ก็ไม่สามารถทำได้
“แค่เทพศักดิ์สิทธิ์โบราณ ฝ่ามือเดียวก็เพียงพอแล้ว!”
เสียงเอ่ยเย็นชาดังขึ้น จากนั้นเซียวฮั่นก็กำหมัด ก่อนจะปล่อยหมัดออกไปในความว่างเปล่า
“ตูม!”
หมัดจู่โจมออกไป ภายใต้สายตาแข็งค้างของคนทั้งหมด ท้องนภาพลันถูกทะลวงจนเกิดเป็นโพรงมืดมหึมา ในโพรงดำทะมึนนั้น พลังทำลายล้างอันน่าหวาดผวากำลังทำลายทุกสิ่ง และผู้สูงส่งขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นก็อยู่ในโพรงสีดำนั้นเช่นกัน
“ไม่!”
เสียงคำรามอันน่าหวาดกลัวเสียงหนึ่งดังขึ้น ภายใต้สายตาหวั่นเกรงนับไม่ถ้วน ร่างของผู้สูงส่งขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ท่านนี้ได้รวมกับอากาศธาตุกลายเป็นความว่างเปล่า สุดท้ายมีเพียงจิตวิญญาณเท่านั้นที่หลบหนีออกมาได้
“ตาย!”
แต่จิตวิญญาณของยอดฝีมือผู้นี้ยังไม่ทันได้หลบหนี พลังแห่งความตายก็แผ่คลุมจิตวิญญาณของยอดฝีมือผู้นี้ ท้ายที่สุดเสียงกรีดร้องอย่างหวาดผวาของมันก็ดังขึ้น จิตวิญญาณกลายเป็นละอองฝุ่นสีดำเป็นจุด ๆ และปลิวหายไปในสายลม
“ตายแล้วหรือ?”
“ตายแล้วจริง ๆ หรือ?”
ยามนี้ ในใจของทุกคนล้วนมีคำถามนี้ ถึงขนาดคนทั้งหมดยังไม่ฟื้นคืนสติ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา น่าตกตะลึงและน่าหวาดผวาเกินไป
เพียงหมัดเดียว เพียงปล่อยหมัดสุ่มสี่สุ่มห้าก็ทำลายกายหยาบของยอดฝีมือเทพศักดิ์สิทธิ์โบราณ เพียงคำเดียวก็สังหารจิตวิญญาณของยอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์โบราณ สิ่งนี้ช่างน่าเหลือเชื่อเสียนี่กระไร นี่คือความน่าหวาดกลัวระดับไหนกัน !
……………..