ครองภพสยบนิรันดร์ - ตอนที่ 102
102: ห้าปราณรวมศูนย์!
“ท่านพ่อ ท่านผู้อาวุโส เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะหลิงหยวน เช่นนั้นก็ให้หลิงหยวนเป็นผู้จบมันเถิด อย่าได้เอาตระกูลของเราไปเกี่ยวข้องเลย!”
ตอนนี้ตระกูลจางกำลังปรึกษาหารือกันอยู่ภายในห้องโถงใหญ่ การเอ่ยออกมาของจางหลิงหยวนทำให้ผู้อาวุโสในตระกูลที่ได้ยินคำกล่าวของนางต่างก็มีสีหน้าจนปัญญา โดยเฉพาะจางเป่ยชวนที่มีสีหน้าอับจนยิ่งกว่าผู้ใด
ตัวคนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองของล้ำค่า เดิมทีแล้วการได้ครอบครองศาสตราแห่งเทพแท้จริงอันสูงส่งล้วนเป็นเรื่องดีงามสำหรับตระกูลจาง แต่หากผู้อื่นล่วงรู้เรื่องนี้เข้าก็จะกลายเป็นหายนะสำหรับพวกเขาแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ตระกูลจางกำลังตกต่ำลงเช่นนี้
นี่ถือเป็นความโหดร้ายในโลกของผู้ฝึกตน หากผู้ที่ได้รับศาสตราแห่งเทพแท้จริงชิ้นนี้ไปคือเย่เฉียนเทียน เกรงว่าคงไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรออกมา แต่ความจริงกลับโหดร้ายถึงเพียงนี้ และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา จางหลิงหยวนก็ได้ประจักษ์แล้วว่าสิ่งใดที่เรียกว่าความโหดร้ายของโลกผู้ฝึกตน
“เจ้าส่งมอบเจดีย์หลิงหลงไปเสียเถิด เป็นเช่นนี้เจ้าจะปกป้องตนเองได้”
เมื่อไม่มีวิธีอื่นแล้ว ท้ายที่สุดจางเป่ยชวนจึงกัดฟันเอ่ยขึ้นมา แม้ว่าศาสตราเทพแห่งแท้จริงจะเป็นสิ่งที่ล้ำค่าอย่างมาก แต่เทียบกับชีวิตของตนเองแล้ว ต่อให้ศาสตราแห่งเทพแท้จริงจะล้ำค่ามากเพียงใดก็จำต้องมีชีวิตอยู่เพื่อใช้มัน
“ศาสตราแห่งเทพแท้จริงนี้เป็นของขวัญที่เซียวฮั่นมอบให้ หลิงหยวนไม่ได้เป็นผู้ครอบครองมันโดยตรง!”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโน้มน้าวของจางเป่ยชวน จางหลิงหยวนก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าแล้วเอ่ยออกมา
เมื่อเห็นคำตอบของจางหลิงหยวน จางเป่ยชวนก็ถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา ทว่าเขากลับไม่ได้บังคับฝืนใจบุตรสาวของตนเอง เพราะนี่คือสิ่งที่นางเลือกแล้ว ต่อให้เขาจะเป็นบิดาของนางแต่เขาก็ไม่มีอำนาจที่จะก้าวก่ายได้
“พรุ่งนี้คือวันครบกำหนดวันสุดท้ายแล้ว หลิงหยวน เจ้าเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน หากไม่ยอมส่งมอบศาสตราแห่งเทพแท้จริง เกรงว่าขุมกำลังขนาดใหญ่ทั้งหลายคงไม่ยอมรามือเป็นแน่”
จางฉีหยุนซึ่งเป็นบรรพบุรุษที่อาวุโสที่สุดในตระกูลจางหันไปเอ่ยกับจางหลิงหยวนช้า ๆ ถึงแม้ว่าเขาจะมีพลังอยู่ในขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ราชันขั้นกลาง แต่ด้วยสถานการณ์ของตระกูลจางในยามนี้ อย่าว่าแต่ขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์ราชันขั้นกลางอย่างเขาเลย แม้แต่ยอดฝีมือขอบเขตเทพแท้จริงก็เกรงว่าคงไม่อาจปกป้องจางหลิงหยวนได้เช่นกัน
“ขอบคุณท่านที่เป็นห่วง หลิงหยวนตัดสินใจแน่แล้ว”
จางหลิงหยวนยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยจนเผยให้เห็นรอยยิ้มงดงาม จางหลิงหยวนในยามนี้ยังคงเป็นหญิงสาวงามที่ชวนใจสั่นอยู่เหมือนเดิม แต่ในใจของนางกลับมีการตัดสินใจที่แน่วแน่เอาไว้แล้ว พรุ่งนี้บางทีนางอาจจะต้องบอกลาโลกใบนี้ไปก็เป็นได้
หลังจากที่เซียวฮั่นออกมาจากพื้นที่ของชนเผ่าเจี้ย เขาก็ไม่ได้รีบออกไปจากแดนมายาในทันที แต่เขากลับหาสถานที่บางแห่งแล้วนั่งขัดสมาธิเข้าหากัน ณ ที่แห่งนั้น
ในดินแดนอันกว้างไกลไร้ที่สิ้นสุดแห่งนี้ ย่อมเป็นดินแดนที่สร้างขึ้นมาจากลำต้นของต้นไม้โลก แต่ลำต้นของมันมีขนาดใหญ่เกินไป ดังนั้นมันจึงกลายเป็นดินแดนอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาแทน
เซียวฮั่นนั่งขัดสมาธิเข้าหากันก่อนจะโบกมือออกไปหนึ่งครา จากนั้นแหวนฟ้าดินที่อยู่ในมือเซียวฮั่นก็เปล่งแสงสว่างออกมาพร้อมกับขวดหยกห้าสีที่ลอยขึ้นมาเบื้องหน้าของเขา
“ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน! พลังต้นกำเนิดห้าสายครบแล้ว!”
เซียวฮั่นมองไปยังพลังต้นกำเนิดทั้งห้าสายที่อยู่เบื้องหน้า ก่อนจะยกยิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ในภพก่อน นอกจากพลังต้นกำเนิดไม้ที่เขาไม่ได้รับ พลังต้นกำเนิดอีกสี่สายเขาล้วนสำรองเอาไว้ในภพนี้เรียบร้อย
แต่เดิมนั้น เซียวฮั่นเข้าไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่าเจี้ยเพื่อแสวงหาพลังต้นกำเนิดไม้ แต่ใครจะคิดว่าเขาจะเข้าไปผิดทางโดยบังเอิญ สถานที่ที่เขาเข้าไปไม่ใช่คลังสมบัติที่กักเก็บแหล่งพลังงานไม้ แต่เป็นสถานที่ที่ชนเผ่าเจี้ยใช้เก็บสมบัติล้ำค่าเอาไว้ ดังนั้นเซียวฮั่นจึงบังเอิญได้รับสมบัติล้ำค่าชิ้นนั้นมาโดยไม่ตั้งใจ
แต่เนื่องจากเซียวฮั่นไม่ได้แหล่งพลังงานไม้ที่ต้องการ ภพนี้เขาจึงจำเป็นต้องเดินทางมายังชนเผ่าเจี้ยอีกครั้ง พลังทั้งห้าสายนั้นจะขาดไม่ได้แม้แต่เพียงอย่างเดียว ไม่อย่างนั้นสมดุลจะถูกทำลาย และผลที่จะตามมาก็จะร้ายแรงเกินกว่าจะจินตนาการได้
วิถีจักรพรรดิถูกโคจรขึ้นมา จากนั้นเหนือศีรษะของเซียวฮั่นก็มีดอกไม้ค่อย ๆ เบ่งบานออกมาอย่างช้า ๆ แต่เพราะสงครามครั้งใหญ่ก่อนหน้าจึงทำให้ดอกไม้ดอกนั้นหม่นแสงลง
“ห้าปราณรวมศูนย์ ควบคุมหยินหยางเป็นตาย!”
เซียวฮั่นสูดหายใจเข้าไป ทันใดนั้นพลังต้นกำเนิดทั้งห้าสายก็ถูกเซียวฮั่นดูดซับเข้าไปในร่าง จากนั้นทั้งร่างของเขาก็มีแสงสว่างห้าสีเปล่งประกายออกมาอย่างบ้าคลั่งก่อนที่พลังทั้งห้าสายจะไหลทะลักออกมาไม่หยุด
ห้าปราณรวมศูนย์ ห้าสายรวมเป็นหนึ่ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของเซียวฮั่น ดังนั้นในครั้งนี้เขาจึงสามารถทำมันได้อย่างราบรื่นและง่ายดาย เพียงแค่ครึ่งวันก็สามารถทำสำเร็จ เซียวฮั่นหลอมพลังต้นกำเนิดทั้งห้าสายผสานกลายเป็นพลังทั้งห้าโดยสมบูรณ์
“พลังห้าสายส่งเสริมหยินหยาง เป็นตายเพียงจิตนึกคิด!”
เซียวฮั่นรวบรวมพลังก่อนที่ดวงตาของเขาจะเบิกโพลงขึ้นมา พริบตาเดียวดวงตาของเขาก็คล้ายจะมีกระแสความเป็นและความตายไหลทะลักออกมา
ดวงตาข้างขวาของเซียวฮั่นอัดแน่นไปด้วยพลังชีวิตอันไร้ที่สิ้นสุดราวกับเพียงปรายตามองก็สามารถทำให้คนตายฟื้นคืนชีพกลับมาได้ ส่วนดวงตาข้างซ้ายก็เต็มไปด้วยพลังแห่งความตายอันไร้ที่สิ้นสุด คล้ายเพียงปรายตามองก็สามารถทำให้ดินแดนแห่งหนึ่งกลายเป็นดินแดนแห่งความตายได้ทันใด
เมื่อพลังแห่งความเป็นและความตายไหลทะลักออกมา จุดลมปราณหยินหยางรวมถึงทวารแห่งความเป็นและความตายที่อยู่ภายในร่างกายของเซียวฮั่นก็ถูกปลดปล่อยออกมา
ขั้นที่สองของวิชาเทพอมตะนิรันดร์ก็คือการเปิดผนึกจุดลมปราณทั้งแปดและทวารทั้งแปด เซียวฮั่นสามารถเปิดผนึกทวารและความเป็นกับความตายได้แล้ว นอกจากนี้เขายังสามารถเปิดผนึกจุดลมปราณหยินหยางและจุดลมปราณผ่อนผันและควบคุมได้อีกด้วย
หลังจากเปิดผนึกทวารทั้งสี่และจุดลมปราณทั้งสี่แล้ว ประโยชน์ที่เซียวฮั่นได้รับย่อมต้องมากมายมหาศาล พลังวิญญาณของเขาในยามนี้ไม่ได้แห้งเหือดอีกต่อไป เพียงแค่คิดขึ้นมาเขาก็สามารถกระตุ้นพลังฟ้าดินได้แล้ว หลังจากที่เขาเปิดผนึกทวารแห่งความเป็นและความตาย คนสามารถควบคุมความเป็นและความตายได้ด้วยความคิดเท่านั้น
“ทวารแห่งความเป็นและความตายรวมทั้งจุดลมปราณหยิงหยางได้ถูกเปิดผนึกออกมาแล้ว ต่อไปเป็นการเปิดทวารแห่งความหวาดกลัวและความสงบ และจุดลมปราณฟ้าดินด้วย”
เมื่อได้รับพลังแห่งความเป็นและความตายมาแล้ว เซียวฮั่นก็เอ่ยออกมาเบา ๆ
ทวารแห่งความหวาดกลัวอยู่เบื้องบน ขณะที่ทวารแห่งความสงบอยู่เบื้องล่าง หากทั้งสองสิ่งนี้ถูกเปิดผนึกออกมาจิตวิญญาณก็จะมั่นคง ลมปราณทั้งสองอย่างที่สอดคล้องกันนี้ก็คือพลังฟ้าดินที่เซียวฮั่นต้องการนำมารวมกัน
กล่าวได้ว่าระหว่างวิชาทั้งสอง เช่นวิชาเทพอมตะนิรันดร์และวิชาวิถีจักรพรรดิ ล้วนเติมเต็มซึ่งกันและกัน อีกทั้งยังเป็นยอดวิชาอันสูงส่งทั้งคู่ สิ่งนี้เรียกได้ว่าเส้นทางสามพันสายต่างมาบรรจบกัน ณ จุด ๆ หนึ่ง ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นวิชาเทพอมตะนิรันดร์หรือวิชาวิถีจักรพรรดิ ทั้งสองอย่างนี้เมื่อฝึกฝนจนถึงจุดสุดยอดก็จะทำให้ก้าวเข้าไปสู่วิถีสูงสุดซึ่งมีร่างอมตะไม่เจ็บไม่ตายทั้งสิ้น
แต่ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวของทั้งสองวิชานี้คือ วิชาหนึ่งฝึกโดยวิญญาณ ขณะที่อีกวิชาหนึ่งฝึกโดยกายเนื้อ วิชาหนึ่งจะทำให้วิญญาณไม่ดับสูญ ขณะที่อีกวิชาจะทำให้กายเนื้อไม่แหลกสลาย และเมื่อหลอมรวมเข้าด้วยกันก็จะกลายเป็นร่างอมตะอย่างแท้จริง
ความเป็นอมตะนั้นก็คือการฆ่าไม่ตาย ต่อให้ถูกบดขยี้จนกลายเป็นผุยผงก็สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ไม่มีวันตาย ไม่มีวันดับสูญ
หากเซียวฮั่นสามารถฝึกวิชาเทพอมตะนิรันดร์และวิชาวิถีจักรพรรดิไปจนถึงขั้นสูงสุดได้ เขาก็จะกลายเป็นผู้เดียวที่จะคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ แม้ว่าฟ้าดินจะล่มสลาย สวรรค์จะดับสูญ หรือแม้แต่วัฏฏะแห่งการเวียนว่ายตายเกิดจะถูกทำลายไปจนสิ้น เขาก็ยังจะอยู่รอดปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน เป็นอมตะไม่มีวันตายและมีชีวิตยืนยาวชั่วนิรันดร์
แต่ไม่ว่าจะเป็นเทพอมตะนิรันดร์หรือวิถีจักรพรรดิ หากต้องการฝึกฝนไปจนถึงขั้นสูงสุดล้วนเป็นเรื่องยากเสียยิ่งกว่ายาก ราวกับจะให้มนุษย์ธรรมดาปีนป่ายขึ้นไปบนสวรรค์
ในภพก่อนเซียวฮั่นสามารถฝึกฝนวิชาเทพอมตะนิรันดร์ถึงเพียงขั้นที่สอง และยังคงไม่อาจก้าวไปถึงขั้นที่สามซึ่งเป็นขั้นสูงสุดได้ ดังนั้นในภพนี้หากเซียวฮั่นอยากฝึกวิชาเทพอมตะนิรันดร์และวิชาวิถีจักรพรรดิควบคู่กันไปจนถึงขั้นสูงสุดย่อมถือเป็นเรื่องที่ยากจนเกินกว่าจะจินตนาการได้
แต่เซียวฮั่นในยามนี้กลับก้าวขึ้นไปถึงขั้นตอนที่สำคัญที่สุดแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่อาจหวนกลับ และทำได้เพียงเดินหน้าต่อไปจนถึงที่สุดหรือไม่ก็แหลกสลายลงไปกลางทางเท่านั้น
“ทวารทั้งสี่และจุดลมปราณทั้งสี่ ต่อไปคือการเปิดผนึกทวารแห่งความกลัวและความสงบ รวมทั้งจุดลมปราณฟ้าดิน เช่นนั้น จากนี้ไปสมควรเดินทางไปยังมหาทวีปจงโจว”
ดวงตาของเซียวฮั่นเปล่งประกายขึ้นมาก่อนที่เขาจะตั้งเป้าหมายใหม่ให้การเดินทางของตนเอง
แน่นอนว่าต่อให้ไม่มีวิชาเทพอมตะนิรันดร์เพื่อเปิดผนึกจุดลมปราณฟ้าดิน แต่เซียวฮั่นก็ยังจะเดินทางไปยังมาหาทวีปจงโจวอยู่ดี เพราะเขาต้องการจะรวบรวมบุปผาฟ้าดิน
นอกจากนี้มหาทวีปจงโจวยังเป็นทางเข้าสู่สี่ทวีปใหญ่อีกด้วย ดังนั้นหากเซียวฮั่นอยากจะเดินทางไปยังสี่ทวีป ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จำเป็นต้องเดินทางไปยังจงโจวเป็นอันดับแรก
“จัดการเรื่องตระกูลจางเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยกลับไปยังตงโจว จากนั้นค่อยจัดการเรื่องวิหารสวรรค์แล้วเดินทางไปยังจงโจว”
เซียวฮั่นคำนวณเวลาแล้วอดขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ เวลาที่เหลืออยู่มีไม่มากแล้ว ตอนนี้เขาไม่สามารถเสียเวลามากมายไปกับเก้ามหาทวีปได้อีก เพราะบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้ายังมีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่าต้องสะสาง
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เซียวฮั่นก็ไม่ชักช้าเสียเวลา ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะถูกกระตุ้นหายไปจากจุดเดิม เมื่อเงาร่างของเขาปรากฏตัวขึ้นมาก็ออกไปจากแดนมายาและปรากฏตัวขึ้นบนเกาะทรายอีกครั้งแล้ว
เกาะทรายตั้งอยู่ทางมหาสมุทรแดนใต้ อยู่ห่างจากตระกูลจางหลายล้านลี้ ระยะห่างนี้ถือว่าไกลแสนไกล ต่อให้เป็นยอดฝีมือขอบเขตทรราชยังต้องใช้เวลาในการเดินทางหลายสิบปีเลยทีเดียว แต่แน่นอนว่าระยะทางเท่านี้ เมื่อเทียบกับมหาทวีปหนานโจวที่มีพื้นที่กว้างไกลไร้ที่สิ้นสุดหลายร้อยล้านลี้ ย่อมถือเป็นระยะทางอันแสนสั้น
ระยะทางเท่านี้จึงไม่นับว่าเป็นอันใดสำหรับเซียวฮั่น เพราะต่อให้ไกลสุดขอบฟ้าก็เหมือนใกล้เพียงก้าวเดียว ขอเพียงเซียวฮั่นสะบัดมือออกไปเบา ๆ มิติตรงหน้าเขาก็จะแตกสลายก่อนที่ร่างทั้งร่างของเขาจะเดินทะลุเข้าไปในอุโมงค์มิติ จากนั้นเพียงก้าวเดียว ระยะทางหลายร้อยล้านลี้ก็ถูกร่นเข้ามาในฉับพลัน
ด้านหน้าตระกูลจางในยามนี้คล้ายมีพายุลูกใหญ่กำลังมาเยือน พื้นที่ทั้งหมดต่างเต็มไปด้วยความกดดัน และแล้วเงาร่างงดงามชวนใจสั่นของจางหลิงหยวนก็ค่อย ๆ ก้าวเดินออกมาจากประตูใหญ่ของตระกูลจางท่ามกลางสายตานับไม่ถ้วน
ใบหน้าของนางงดงามทั้งยังมีพลังวิญญาณมากล้นจนน่าตกใจ จางหลิงหยวนในยามนี้ราวกับเทพเซียนองค์หนึ่ง ทำให้ผู้คนตั้งไม่รู้เท่าไรหลงใหลไปตาม ๆ กัน
“เทพธิดาหลิงหยวน สมแล้วที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในสี่สาวงามแห่งมหาทวีปหนานโจว แต่น่าเสียดายจริง ๆ ”
เมื่อเห็นเงาร่างอันงดงามของจางหลิงหยวนที่อยู่ในชุดคลุมสีฟ้า ยอดฝีมือจำนวนไม่น้อยต่างรู้สึกเสียใจขึ้นมาในทันใด
“เทพธิดาหลิงหยวน เจ้าเลือกดีแล้วใช่หรือไม่?”
ยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งจากตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์กำลังยืนอยู่ด้านนอกประตูใหญ่ของตระกูลจาง และผู้นำของพวกเขาก็คือผู้คุมกฎว่านเชียนแห่งตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์
นอกจากนี้ว่านเชียนยังเป็นยอดฝีมือขอบเขตกึ่งเทพศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย ในตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์นั้น นอกจากหัวหน้าตระกูลและเหล่าอาวุโสของตระกูลแล้ว เขาคือคนที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดและมีฐานะสูงส่งที่สุด
กล่าวได้ว่าที่ตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ส่งว่านเชียนออกมา ถือว่าเป็นการไว้หน้าตระกูลจาง อีกทั้งยังแสดงให้เห็นว่าตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเพียงใด
ไม่ใช่เพียงแค่ผู้คุมกฎว่านเชียนเท่านั้น ท่ามกลางความมืดมิดยังมียอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์จากตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งอยู่ด้วย นอกจากนี้หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันอันใดขึ้นมายอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์อีกสามคนของตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ก็จะเดินทางมาสมทบได้ทุกเมื่อ
เมื่อตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์กระทำถึงเพียงนี้ ขุมอำนาจชั้นหนึ่งอื่น ๆ จึงได้ส่งยอดฝีมือชั้นสูงมาร่วมสังเกตการณ์ด้วยเช่นกัน ดังนั้นในเงามืดยังมียอดฝีมืออีกมากมายเท่าใดก็ไม่อาจรู้ได้ แต่สิ่งเดียวที่มั่นใจได้ก็คือ ยามนี้โดยรอบตระกูลจางมียอดฝีมือขอบเขตเทพศักดิ์สิทธิ์แฝงตัวอยู่เป็นจำนวนมาก คำตอบของจางหลิงหยวนในเวลานี้นับเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง หากนางตอบรับข้อเสนอของตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ สิ่งที่พวกเขาจะต้องเผชิญหน้าต่อไปย่อมไม่ใช่ตระกูลจาง แต่กลับกลายเป็นตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์แทน
แต่หากจางหลิงหยวนปฏิเสธข้อเสนอ คนทุกผู้ก็ไม่จำเป็นต้องสนใจตระกูลจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป และผู้ใดจะสามารถครอบครองเจดีย์หลิงหลงซึ่งเป็นศาสตร์ตราแห่งเทพแท้จริงได้ ก็คงต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน !
…………….